top of page
black-01.png

Search Results

126 results found with an empty search

  • The American West Coast เที่ยวอเมริกาฝั่งตะวันตก

    พระเจ้าคงจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษตอนที่สร้างดินแดนส่วนนี้ของโลกขึ้นมา เพราะชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาที่ตระหง่านรับคลื่นลมจากมหาสมุทรแปซิฟิคอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้ช่างเปี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์เหลือล้นจนน่าอิจฉาจริงๆทั้งหาดทราย ภูผา ป่าสน ทะเลสาบและอากาศที่เย็นสบายกำลังดี ที่นี่มี พลังงานบางอย่างที่ดึงดูดเราอย่างมาก แค่เพียงหลับตาภาพ Roadtrip บนถนนที่เลาะเลี้ยวไปตามเนินผาริมทะเล คลอเคล้าเสียงเพลง West Coast hip hop ก็แว่บเข้ามาทำให้อารมณ์ดีได้แล้ว . ทริปนี้เราจะพาคุณ #hop ไปทำความรู้จักกับ West Coast ของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เหนือจรดใต้ จาก Seattle ไปจน San Diego เลยทีเดียว วันนี้ขอวางภาพกว้างๆให้เพื่อนๆรับมวลพลังรวมๆของที่นี่กันเอาไว้ก่อนแล้วในโพสต์ต่อๆไปเราจะทยอยเจาะจุดสำคัญๆกันเนอะ . พร้อมกันแล้วยังงงงงง พร้อมแล้วไป #hop กันเลย! #letshoparoundtheamericanwestcoast (แฮชแท็คยาวไปไหนเนี่ย...^^) งั้นใช้ #LetsHoparoundUSA แทนแล้วกันนนนเนอะ ทริปนี้เราไปกันคนละรอบ รอบแรก บินไปลง Seattle แล้วขับรถเที่ยวเรื่อยๆจนมาถึง San Francisco รอบที่สอง บินไปลง San Francisco เที่ยวไปเรื่อยๆลงมาถึง San Deigo และวกเข้า Los Angeles เราใช้เวลาเที่ยวรอบละประมาณ 15 วัน ค่าใช้จ่ายคร่าวๆประมาณ 3,000-4,000 USD ต่อคน ถ้าไปกะเพื่อนหลายๆคนก็ยิ่งช่วยแชร์ค่าเช่ารถที่พักและอาหารการกินต่างๆ ก็จะยิ่งถูกลง ถ้านับรวมกันขับรถจากเหนือสุด Seattle ถึง ใต้สุด San Diego ก็ประมาณ 1,256 ไมล์ Seattle, Washington เมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ Washington ที่มีชื่อเล่นว่า Evergreen State หรือรัฐที่เขียวตลอดกาล เพราะที่นี่อุดมไปด้วยป่าไม้และการเกษตร เรียกว่ามาที่เดียวได้ครบรสทั้งเมือง ภูเขา และทะเล ชมโพสต์เต็มได้ที่ > https://www.hoparound.co/post/seattle นอกจาก Landmark อย่างหอคอย Space Needle ที่สูงเด่นอยู่กลางเมืองแล้ว Seattle ยังมีตลาดสดเก่าแก่อย่าง Pike Place Market ที่กลายมาเป็นอีก icon ชื่อดังของเมือง และที่อยู่ติดกับตลาดนี้เองก็เป็นที่ตั้งของ Starbucks สาขาแรก (เท่าที่ยังเหลืออยู่) Pike Place Market Location: https://goo.gl/maps/BpBd6mqhqjuWQJPS9 ใช่แล้ว... ที่นี่เป็นทั้งบ้านเกิดและสำนักงานใหญ่ของ Starbucks แต่ไม่เพียงเท่านั้น ทั้ง Microsoft และ Amazon ต่างก็เลือก Seattle เป็นศูนย์บัญชาการใหญ่เช่นกัน โดยเฉพาะ Amazon ที่รุกหนัก กว้านซื้อที่ดินกลางเมือง สร้างเป็น Campus ของตัวเองที่ประกอบไปด้วยอาคารกว่า 45 หลัง ที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็น The Amazon Spheres สวนพฤกษชาติในอาคารทรงกลมที่ใช้เป็นพื้นที่ให้พนักงานมาเดินหาแรงบันดาลใจในการคิดงาน (คนนอกก็เข้าได้นะ แต่ต้องจองคิวล่วงหน้า) Portland, Oregon ที่นี่คือเมืองต้นตำรับฮิปสเตอร์ เมืองแห่งดอกกุหลาบ เมืองปลอดภาษี ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ Nike และนิตยสาร Kinfolk เมืองแห่งกิจกรรมเดินเขา-เข้าป่า-แคมปิ้ง และร้านน้องข้าวมันไก่ Portland เป็นเมืองใหญ่ขนาดเล็กที่มีเสน่ห์ล้นเหลือ อาหารดี กาแฟดี ขนมดี ผู้คนเป็นมิตร ออกนอกเมืองไปนิดก็เจอทั้งภูเขาหิมะ แม่น้ำ น้ำตก และชายหาดที่สวยมหัศจรรย์ ชมโพสต์เต็มได้ที่ > https://www.hoparound.co/post/portland ที่นี่ยังมีร้าน Powell’s Books ร้านหนังสืออิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย Location: https://goo.gl/maps/fZbaBSnwShLULUwMA โดยไม่ทันรู้ตัว คุณอาจจะแปลกใจที่ Portland กลายมาเป็นเมืองโปรดของคุณท่ามกลางความสงบเรียบง่ายเหมือนกับเราก็ได้ Stumptown Coffee Roasters ร้านกาแฟชื่อดังของที่นี่ Location: https://goo.gl/maps/SD81oybuS18mC6iEA Portland Women's Forum | State Scenic Viewpoint Location: https://goo.gl/maps/tg5BjEhEWdXVgmk59 Lake Tahoe Lake Tahoe เป็น Alpine Lake ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ — Alpine Lake หมายถึงทะเลสาบที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 5,000 ฟุต (ประมาณ 1.5km) ขึ้นไป — อยู่บนเทือกเขา Sierra Nevada ที่กั้นระหว่างรัฐ California กับ Nevada ถ้าขับรถจาก San Francisco ก็จะใช้เวลาประมาณ 3.5 ชั่วโมงขึ้นมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากสูงมากๆแล้วยังสวยมากๆด้วย ทะเลสาบแห่งนี้นั้นขึ้นชื่อเรื่องน้ำสีฟ้าที่ใสปิ๊งและความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ในแต่ละฤดูกาลก็จะมีเสน่ห์ต่างกันไป ที่นี่จึงดึงดูดนักกิจกรรมเอ้าท์ดอร์ผู้หลงไหลความงามของป่าเขาลำเนาไพร แต่เชื่อเราเถอะ แค่ได้มาสูดอากาศและถ่ายรูปไปอวดเพื่อนๆก็คุ้มมากแล้ว ชมโพสต์เต็มได้ที่ > https://www.hoparound.co/post/lake-tahoe Location: https://goo.gl/maps/9yffZ2oojPrheNZW9 Yosemite National Park ขับรถต่อลงทางใต้บนเทือกเขาเดียวกัน และเส้นทางที่หวาดเสียวเคี้ยวคดมากกกกเกือบ 3 ชั่วโมง เราก็จะพบกับภาพผาหินแกรนิต El Capitan ที่คุ้นตากันดีสำหรับคนที่ใช้ iMac แต่นั่นเทียบไม่ได้เลยกับของจริงที่อลังการและโคตรตราตรึงใจ จากจุดชมวิว Tunnel View ตรงนี้ เรายังสามารถเห็นน้ำตก Bridalveil Falls ที่ตกฟุ้งเป็นสายจากที่สูง สวยราวกับผ้าคลุมผมเจ้าสาว ที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติและเป็นมรดกโลกที่อุดมสมบูรณ์อย่างมาก เรายังเจอน้องหมีเดินเล่นเลย ต้นซีคัวยาเก่าแก่ขนาดมหึมา รวมไปถึงทุ่งหญ้าเขียวขจีที่แซมด้วยดอกหญ้าหลากสีและมีสัตว์ป่ามาวิ่งเล่นก็เป็นอีกไฮไลท์ของที่นี่ ชมโพสต์เต็มได้ที่ > https://www.hoparound.co/post/yosemite-national-park Location: https://goo.gl/maps/4S3yrz2b8A591k6K6 San Francisco สะพาน Golden Gate สีแดงที่ทอดยาวเป็นกิโลคงเป็นภาพจำอันดับหนึ่งของเมืองศูนย์กลางการค้าแห่ง California ตอนเหนือแห่งนี้ เราตกหลุมรักบ้านเรือนสไตล์ Victorian สีสันน่ารักบนเนินสูงบ้างเตี้ยบ้าง และรถรางโบราณที่วิ่งรับส่งผู้คน China Town ของที่นี่น่าจะใหญ่ที่สุดในอเมริกา และเป็นชุมชนคนจีนนอกเอเชียที่ใหญ่ที่สุด แต่ในช่วงทศวรรษหลังมานี้ชุมชนชาว Tech ก็ขยายตัวใหญ่โตไม่แพ้กันที่ Silicon Valley ทางตอนใต้ของเมือง หอคอย Coit Tower สีขาวบนยอดเนินสูงก็อาจจะทำให้หลายคนนึกขึ้นได้ว่าที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดของร้านไอติมยี่ห้อดังที่มีสาขามากเมืองไทย ชมโพสต์เต็มได้ที่ > https://www.hoparound.co/post/san-francisco Monterey/Carmel Highlands ลงใต้มาจาก San Francisco เพียง 2 ชั่วโมงนิดๆ พร้อมวิวสวยๆและเมืองเล็กๆให้แวะกินกาแฟระหว่างทาง เราก็จะพบกับความยิ่งใหญ่อันงดงามของคลื่นที่ถาโถมเข้ากระแทกโขดผาหินบน Cabrillo Highway (SR 1) ยิ่งเมื่อถึงจุดที่มีสะพานดีไซน์เท่ๆเชื่อมเส้นทางเข้าด้วยกันความมหัศจรรย์ก็ยิ่งทวีคูณ เราเห็นศิลปินมาตั้งกระดานวาดรูประหว่างเดิน hiking ลงสีกันสวยหยด ส่วนเราเองก็ถ่ายรูปกันไม่หยุดเลย อันที่จริงเราสามารถขับรถต่อบน Highway นี้ได้ยาวผ่าน Big Sur และชมวิวสวยๆตลอดทางไปจนถึง Los Angeles เลยทีเดียว Highway 1 / Bixby Creek Bridge Location: https://goo.gl/maps/SE8ewT7LEvkVhUkC9 The California Sea Otter State Game Refuge Location: https://goo.gl/maps/mZHKHGup7unMuHht6 Monterey Plaza Hotel & Spa Location: https://goo.gl/maps/qVuhGrxtoemaTsEn6 Tidal Coffee Location: https://goo.gl/maps/GPNHDcai85pmBUGR8 Los Angeles พี่ใหญ่สุดในบรรดาเมืองต่างๆบน West Coast แหล่งกำเนิดอุตสาหกรรมบันเทิง Hollywood และ Pop Culture ต่างๆมากมาย ทำให้ LA อู้ฟู่กลายเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของอเมริกาที่มีครบครันในทุกสิ่งอย่าง ฉะนั้นทั้งไลฟ์สไตล์ แฟชั่น อาหาร ช็อปปิ้ง และความ Glam ต่างๆ ที่นี่มีให้คุณอย่างเหลือเฟือดกอุดมแน่นอน แม้กระทั่งชุมชนคนไทยที่นี่นั้นก็มีขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกา และกินพื้นที่ถึง 6 บล็อคถนนด้วยกัน ผังเมืองของ LA นั้นแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ถนนที่ขนาบด้วยต้นปาล์มสองข้างทาง และบ้านหรูของเหล่าคนดังใน Beverly Hills เป็นเพียงฉากหน้าที่เราเห็นได้จากในสื่อทั่วไป LA มีซอกมุมที่น่าค้นหาอีกเยอะมาก รวมถึงย่านชิลล์ๆติดทะเลอย่าง Santa Monica ที่เราประทับใจในบรรยากาศสวนสนุกด้วยทุกอย่างเข้ากันอย่างกับในหนังเลย ชมโพสต์เต็มได้ที่ > https://www.hoparound.co/post/los-angeles Location: https://goo.gl/maps/Tpg2vs5zUFMUB8Gt7 Downtown Los Angeles Location: https://goo.gl/maps/opNpGxcU7mLTWKDS9 The Last Bookstore Location: https://goo.gl/maps/9a2tabPuUwvHQfSs9 The Broad Location: https://goo.gl/maps/b4UC5wrZoRq5vKEfA Santa Monica Beach Location: https://goo.gl/maps/cWhoHzSMpUX7kLr49 Palm Springs เมืองตากอากาศและบ้านพักคนชรา (และมีเอ้าท์เล็ตแบรนด์เนม!) เราใช้ที่นี่เป็นจุดพักเพื่อออกไปสำรวจบริเวณรอบๆอย่าง อุทยานต้นไม้ประหลาด Joshua Tree ที่มาพร้อมกับฉากโขดหินเท่ๆแปลกตาอย่างกับมีใครมาจัดวางไว้อย่างนั้นแหละ Location: https://goo.gl/maps/GZ7xgNBYLiwfBYAR7 Joshua Tree National Park Location: https://goo.gl/maps/vLeCLZC4JnTuLCrJ9 Salvation Mountain อีกที่หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจาก Palm Springs นั้นก็คือ “Salvation Mountain” งานอาร์ทบนเนินดินที่โดดเด่นไปด้วยสีสันและแนวคิดที่รับอิทธิพลมากจากยุค hippie เป็นผลงานของ Leonard Knight (ผู้พักอาศัยอยู่แถวนั้น) ที่สร้างจากวัสดุธรรมชาติและสีไร้สารตะกั่วนับพันแกลลอนเลยทีเดียว ผลงานชิ้นนี้ตั้งอยู่ใน Slab City ซึ่งเคลมตัวเองว่าเป็น “พื้นที่แห่งอิสรภาพผืนสุดท้ายในอเมริกา” และเป็นแหล่งที่พักอาศัยของบรรดาอดีตฮิปปี้ คนต่อต้านสังคม รวมไปถึงคนที่หนีหนี้โดยต่างมาจับจองที่ดินอยู่กันโดยไม่มีกฎหมายรองรับ Location: https://goo.gl/maps/yVHXEJ5Qjx8XMwGL7 San Diego เมืองใหญ่อันดับ 2 ของรัฐ California ที่ติดกับชายแดน Mexico และมีบรรยากาศสบายๆ เราเอ็นจอยการขี่สกู๊ตเตอร์ชมเมืองที่ดูน่ารักกว่าที่คิด ที่นี่เป็นที่ตั้งของฐานทัพเรืออเมริกันขนาดใหญ่ มีชายหาดที่เหมาะแก่การเล่นเซิร์ฟ และเราชอบ Little Italy ที่นอกจากอาหารอิตาเลียนแล้ว เรายังสามารถเดินเล่นได้เพลินๆเพราะมีทั้งร้านเสื้อผ้าแนวๆ แผ่นเสียงอินดี้ งานฝีมือ และตลาดนัด Mercato Farmers’ Market ที่มีของน่ากินและงานฝีมือมาขาย Location: https://goo.gl/maps/fPuHvoVvxXaUeaLq7 Little Italy Location: https://goo.gl/maps/UGPswr5gg2RUiWhC7 ยินดีด้วยครับ! คุณเพิ่งจบการ #hop ไปกับอภิมหาทริปที่ปกติคงต้องใช้เวลาเป็นเดือนถึงจะเที่ยวเต็มอิ่ม แต่วันนี้เราพาคุณไปครบได้ภายใน 1 โพสต์เท่านั้น โลกนี้ช่างกว้างใหญ่และสวยงามจริงๆ ติดตามร่วม #hop ไปกับเราในโพสต์ย่อยเจาะแต่ละสถานที่ท่องเที่ยวกันต่อๆไปเร็วๆนี้นะคร้าบบบบ . #LetsHoparoundUSA #LetsHoparound #Travel #USA #WestCoast #RoadTrip #America #โรดทริปอเมริกา #ขับรถเที่ยวอเมริกา #เที่ยวอเมริกา #รีวิวอเมริกา #ไปอเมริกาใช้งบเท่าไหร่ . FB/IG: @hoparound.co Website: www.hoparound.co

  • MOCA BANGKOK ศิลปะไทยร่วมสมัย

    MOCA BANGKOK ขับเคลื่อนศิลปะไทยไปข้างหน้า บนถนนกำแพงเพชร 6 ไม่ไกลจากสนามบินดอนเมือง เราจะพบกับอาคารดีไซน์สวยสะอาดตา ที่กระซิบบอกถึงความเป็นไทยยุคใหม่ให้ทุกคนได้รับรู้ ที่นี่คือที่ตั้งของ Museum of Contemporary Art (MOCA) พิพิธภัณฑ์ที่คุณบุญชัย เบญจรงคกุล ตั้งใจปลุกปั้นให้เป็นสถานที่จัดแสดงงานศิลปะอันวิจิตรและปราณีตของศิลปินไทยร่วมสมัย ซึ่งมีศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีเป็นผู้บุกเบิก ทั้งยังเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงมีพระอัจริยภาพด้านศิลปะอีกด้วย ภายในอาคารมีนั้นตกแต่งอย่างโอ่โถง และเกลี้ยงเกลา เรารับรู้ได้ถึงการออกแบบที่ผ่านกระบวนการคิดมาเป็นอย่างดี ไม่น้อยไป ไม่มากไป ในโถงชั้น G ซึ่งมีเพดานสูงถึง 33 เมตรนี้มีรูปหล่อของอาจารย์ศิลป์ตั้งตระหง่านต้อนรับอยู่ ราวกับจะบอกว่าศิลปะร่วมสมัยของไทยที่จัดแสดงในอาคารแห่งนี้นั้น มีจุดเริ่มต้นจากตรงนี้นะ นี่คือผู้แผ้วถางให้ศิลปะยุคใหม่เบ่งบานในประเทศไทย ชิ้นงานศิลปะชั้นครูจาก collection ส่วนตัวของคุณบุญชัยเองกว่า 800 ชิ้น ได้ถูกนำมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว จัดแสดงโดยเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆในแต่ละชั้นตั้งแต่ชั้น 2 ไล่ขึ้นไปจนถึงชั้น 5 ซึ่งจะมีงานศิลป์จากชาติอื่นๆทุกมุมโลกมาวางเทียบเคียงกันด้วย ราวกับจะบอกว่าผลงานของศิลปินไทยนั้นสามารถยืดหยัดทัดเทียมศิลปินสากลได้อย่างน่าภาคภูมิใจ นอกจากนี้ ยังมีงานนิทรรศการชั่วคราวที่หมุนเวียนมาแสดงให้เราๆได้ชมอยู่เสมออีกด้วย โดยที่ปัจจุบัน จะมีงานของ Sylvie Blum : Naked Beauty ที่ขยายเวลาจัดแสดงจนถึงวันอาทิตย์ที่ 28 มิ.ย. นี้ และงาน Raining โดยคุณ Nino Sarabutra ที่เป็นห้องมืดไฟสีน้ำเงิน เต็มไปด้วยหัวใจพอร์ซเลนนับพันชิ้นห้อยเรียงรายอยู่อย่างงดงามเพื่อเทิดพระเกียรติในหลวง ร.9 หลังจากชมรูปสวยๆและงานศิลป์ของไทยที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครแล้ว เรารู้สึกชื่นชมความสามารถและภูมิใจในศิลปินไทย และหวังว่าจากจุดนี้ต่อไป จะเป็นช่วงเวลาที่ศิลปินไทยรุ่นต่อๆไปจะได้ฝากผลงานที่มีคุณค่าและเป็นตัวของตัวเองตามแต่ละยุคสมัย เอาเข้าจริงๆเราก็เริ่มเห็นศิลปินไทยหลายๆคนเริ่มฉายแววในเวทีโลกกันแล้ว ขอบคุณ MOCA มากๆครับ ที่สร้างสถานที่ดีงามแบบนี้ให้เราได้มาเยี่ยมชม ถ้าเพื่อนๆ #hopsters กำลังหาทางเลือกอื่นๆนอกจากการเดินเสียเงินช็อปปิ้งในห้าง หรือไปถ่ายรูปตามคาเฟ่ต่างๆแล้ว ลอง #hop เปลี่ยนบรรยากาศมาเสพงานศิลป์ที่นี่ดูสิ มันดีต่อใจนะ MOCA Museum of Contemporary Art 499 ถนนกำแพงเพชร 6, ลาดยาว, จตุจักร, กรุงเทพ 10900 เปิด 10:00-18:00 น. ปิดทุกวันจันทร์ ค่าเข้าชม บุคคลทั่วไป 250 บาท ผู้ถือบัตรนักเรียน นักศึกษา 100 บาท ข้อมูลเพิ่มเติม 02-0165670 . FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co . #LetsHoparound #Bangkok #LetsHoparoundBangkok #InspiringStuff #MOCABangkok #Moca #Museum #Artgallerythailand #ArtspaceBangkok #Museumofcontemporaryart #MuseumofcontemporaryartBangkok #Thailand #เที่ยวกรุงเทพ #ศิลปะร่วมสมัย #พิพิธภัณฑ์ #พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย #พิพิธภัณฑ์ในกรุงเทพ

  • Lifestyle ใหม่ในกรุงเก่า

    Lifestyle ใหม่ในกรุงเก่า วันวานอันรุ่งโรจน์ของอยุธยานั้นเป็นฉากหลังอันเลอค่าให้กับวิถีชีวิตของคนมาหลายยุคสมัย ที่จริงแล้วทั้งความเก่าและความใหม่ต่างก็ยังประโยชน์ซึ่งกันและกัน เป็น Win-Win Situation ที่ช่วยต่อชีวิตให้รากเหง้าอันเก่าแก่ได้แตกกิ่งก้านผลิดอกออกผลต่อไป และช่วยให้ชีวิตยุคใหม่ได้งอกงามอย่างน่าภูมิใจบนประวัติศาสตร์ที่รุ่มรวยสง่างาม ต้องยอมรับว่างานดีไซน์ร้านรวงใหม่ๆที่ทยอยเกิดขึ้นมาในอยุธยานั้น ยิ่งดูน่าสนใจมากขึ้นอีกหลายเท่าเมื่อถูก contrast ด้วยความขลังของโบราณสถานอันทรงคุณค่า วันนี้ hoparound.co อาสาพาเพื่อนๆไปแวะจิบกาแฟที่คาเฟ่ใหม่ 3 แห่งในเมืองหลวงเก่าของเรากัน แล้วก็อย่าเอะอะกันไปนะ เพราะที่อยุธยาอนุญาตให้นั่งทานที่ร้านได้ด้วยน้าาาา Tewa Cafe Ayutthaya คาเฟ่ใหม่ล่าสุด เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงสัปดาห์ ดีไซน์มินิมอลแต่ปนความหวานเล็กน้อย อยู่ใกล้สถานีรถไฟอยุธยาและวัดพิชัยสงคราม ที่สำคัญมีวิวแม่น้ำป่าสักให้ดูเพลินๆบนชั้น 2 ด้วย มีเสิร์ฟทั้งขนม อาหารและเครื่องดื่ม โดยไม่ลืมที่จะสอดแทรกความเป็นไทยลงไปในสินค้าด้วย Basic Space Coffee ร้านกาแฟเงียบๆและเรียบง่าย ร้านเก่าที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว และเพิ่งปรับปรุงใหม่ได้ไม่นาน เราชอบการดีไซน์ร้านที่ดูไม่เอะอะ กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ตัวสินค้าเน้นกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆเป็นหลัก เราแอบได้ยินลูกค้าประจำเข้ามาถามหาขนมด้วยแต่ทางร้านแจ้งว่าหมดแล้ว (น่าจะอร่อยนะเนี่ย) Summer Coffee Company ร้านกาแฟรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับแบรนดิ้งมาก โดดเด่นด้วยสีเหลืองสดใส พลังงานแห่งความเยาว์วัยเข้มข้นมาก ที่นี่เน้นกาแฟ และเครื่องดื่มครีเอทีฟหลายเมนู รวมไปถึงเมล็ดกาแฟที่คัดสรรมาอย่างดีและอุปกรณ์การชงที่บ้าน ส่วนเบเกอรี่ที่นี่ก็มีครัวซองต์รสชาติแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เช่น ไส้สาหร่าย หรือสังขยาใบเตย

  • The origins of central since 1950 : เซ็นทรัล ดิ ออริจินัล สโตร์

    ย้อนรอยสู่รากฐานเซ็นทรัลที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1950 ผ่านนิทรรศการ ‘The origins of central since 1950’ เซ็นทรัล: ดิ ออริจินัล สโตร์ Central The Original store ตั้งอยู่บนถนนสายแรกของประเทศไทย ตึกสองคูหา 5 ชั้นอันโดดเด่นนี้ นับเป็นจุดบรรจบอย่างลงตัวของความเก่าและใหม่ ผสานความเป็นเซ็นทรัลในยุคบุคเบิกเข้ากับบริบทในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัวที่สุด สะท้อนความมุ่งมั่นของครอบครัวจิราธิวัฒน์ที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวกรุง และคนในชุมชน พร้อมเชื่อมโยงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของย่านเจริญกรุงในช่วงกลางศตวรรษเข้ากับประบบการณ์ที่ร่วมสมัยเพื่อต้อนรับลูกค้าในทุกเจเนอเรชั่น ร้านค้าแห่งแรกของเซ็นทรัลนี้เป็นที่รู้จักในฐานะร้านจำหน่ายหนังสือนำเข้าและนิตยสารจากต่างประเทศ ซึ่งในยุคนั้นชาวกรุงเทพฯ และชาวต่างชาติมักจะมาที่นี่เพื่อซื้อสินค้านำเข้าหรือมองหาไอเดียและแรงบันดาลใจใหม่ๆจากต่างประเทศ เปรียบได้ว่าที่นี่คือประตูสู่โลกกว้างและแหล่งวัฒนธรรมนานาชาติสำหรับชาวไทยในย่านนั้นยังมีแจ๊สบาร์และร้านอาหารมากมาย ทำให้ถนนเจริญกรุงซึ่งเป็นถนนที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเป็นการเปิดตัวอย่างมันทางการของเซ็นทรัล: ดิ ออริจินัล สโตร์ ถือเป็นการนำตำนานแห่งเซ็นทรัลจากยุค 1950 กลับมาอีกครั้งในรูปแบบที่ทันสมัย เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมแห่งใหม่ที่นำเสนอนิตยสารและหนังสือในบริบทของยุค สินค้าที่ระลึก นิทรรศการ ห้องสมุด ศูนย์บริการค้นคว้าข้อมูล พื้นที่จัดกิจกรรม ร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์ดนตรี เป้นสถานที่แฮงเอาท์สำหรับชาวกรุงยุคใหม่ อาคารขนาดเล็ก 5 ชั้น ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่โดยสถาปนิกแนวมินิมัลลิสต์ชาวเบลเยียม "Vincent Van Duysen" วินเซนต์ แวน ดอยเซน ถือเป็นดครงการแรกของเขาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประกอบไปด้วย ชั้น L1 ร้านค้า คาเฟ มิวสิคบาร์ และลานคอร์ทยาร์ด ภาพสะท้อนแห่งความเป็นเอกภาพ พื้นที่โถงที่ชั้นหนึ่งปลุกความรุ่งเรืองของย่านเจริญกรุงให้กลับมารุ่งโรจน์โดดเด่นอีกครั้ง ต้อนรับผู้มา เยือนด้วยคาเฟ พร้อมจัดแสดงสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือและผลิตภัณฑ์ที่สอดแทรกความสนุกสนาน ผ่านเรื่องราวตํานานของกลุ่มเซ็นทรัลและประวัติศาสตร์ของย่านนี้ พบกับสินค้าย้อนยุคที่มาพร้อมลวดลาย กราฟิกร่วมสมัย และไอเทมที่ใช้งานได้จริงในยุคใหม่ สอดแทรกไปด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทางประวัติศาสตร์ ยุคหลังสงครามอยู่ทั่วพื้นที่ นอกจากนี้ ลานคอร์ทยาร์ดของอาคารยังเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน สะท้อนให้เห็น ขนบประเพณีของตึกแถว และเชื่อมโยงไปสู่บรรยากาศเคล้าเสียงดนตรีที่เหนือกาลเวลาที่ ศิวิไล ซาวนด์ คลับ SIWILAI Café ศิวิไล คาเฟ่ นําเสนอวัฒนธรรมกาแฟไทยที่มีการคัดสรรเมล็ดกาแฟจากแหล่งปลูกต่างๆ ใน ภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาให้เลือกตามแต่ละช่วง โดยมุ่งหวังให้เป็น สถานที่ที่นักชิมกาแฟสามารถเรียนรู้รสชาติของกาแฟจากแหล่งปลูกต่างๆ ในประเทศไทยและสัมผัสสุนทรียะ ของกาแฟผ่านรสชาติละเอียดซับซ้อนที่แตกต่างกันไป นอกจากกาแฟยังมีอาหารที่เน้นการใช้วัตถุดิบใน ประเทศเป็นหลัก โดยมีอาหารเช้าไทยแบบคอมฟอร์ทฟูด และอาหารไทย-จีนเป็นจานซิกเนเจอร์และอาหาร ทานง่ายจานสากลต่าง ๆ โดยปัจจุบัน SIWILAI Café มีทั้งสิ้น 2 สาขา และคงคอนเซ็ปต์ของความยั่งยืนและ วัฒนธรรมที่กลมกลืนไปกับชุมชน SIWILAI SOUND CLUB ศิวิไล ซาวนด์ คลับ SIWILAI SOUND CLUB (S.S-C) บาร์เหนือกาลเวลาที่ยกระดับการฟังดนตรีให้ได้อรรถรส ของเสียงในรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด ถือเป็นธุรกิจน้องใหม่ล่าสุดของกลุ่มแบรนด์ศิวิไล ด้วยระบบเสียงที่ออกแบบ มาโดยเฉพาะจาก OJAS ตัวบาร์แบ่งเป็น 2 ชั้น โดยชั้นล่าง (ไลฟ์รูม) เป็นศูนย์รวมของสุดยอดนักดนตรี แจ๊สจากทั้งฝั่งไทยและต่างประเทศ ขับกล่อมด้วยเสียงเปียโนและโอบล้อมด้วยบรรยากาศเป็นกันเองที่จะ นําพาทุกท่านไปสู่สุนทรียภาพและอิสรภาพที่แท้จริงแห่งการฟังดนตรี บนชั้น 2 กับ ออดิโอไฟล์ บาร์ (Audiophile Bar) กับแนวคิดที่ว่า "เสียงใดก็ตามที่เวียนกลับมาย่อมให้คุณภาพ เสียงที่ดีกว่าเดิม" (what goes around has a better Sound) ครบถ้วนด้วยระบบเสียง High-fidelity แบบวิน เทจ และคอลเล็กชันแผ่นเสียงไวนิลส่วนตัว ในส่วนนี้ของบาร์จะเป็นที่ปรารถนาของบรรดาผู้หลงใหลในมนต์ เสน่ห์ของแผ่นเสียง เครื่องดื่มของแต่ละชั้นได้รับการรังสรรค์ให้มีเอกลักษณ์สอดคล้องล้อไปกับเสียงดนตรีและ บรรยากาศที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีพร้อมมอบประสบการณ์อัน สุดประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน ชั้น L2 ห้องสมุดธุรกิจค้าปลีก ปลูกฝังความรู้สู่การต่อยอด เราส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด พื้นที่ชั้นนี้จึงนําเสนอ เดอะ โคโลฟอน รีเทล ไลบรารี่ (The Kolophon Retail Library) ห้องสมุดที่จะมาปลดล็อกองค์ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีกในทุกแง่มุม ทั้งหลักการทางธุรกิจ กฎหมาย การตลาด การประชาสัมพันธ์ ศาสตร์และศิลป์การจัดหน้าร้าน ไปจนถึงการ ออกแบบและสถาปัตยกรรมของห้างร้าน ห้องสมุดแห่งนี้ให้บริการด้วยระบบจ่ายเมื่อใช้ (Pay-per-use) และ ระบบสมาชิก มีบริการค้นคว้าข้อมูลเชิงลึก พร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย อาทิ โปรแกรมการเรียนรู้ โปรโมชั่น และกิจกรรมอื่นๆ ที่จะเพิ่มพูนความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับที่มาและหัวข้อต่างๆ ด้านการค้าปลีก รวมถึงความท้าทาย ในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ ชั้น L3 เซ็นทรัล สเปซ ประวัติศาสตร์ที่ประจักษ์ได้ด้วยสายตา เซ็นทรัล สเปซ (Central Space) พาคุณไปเจาะลึกเรื่องราวของกลุ่มเซ็นทรัล ที่ถ่ายทอดออก มาในรูปแบบของนิทรรศการชุดที่สะท้อนเรื่องราวยุคแรกก่อตั้ง ความหมายและเรื่องราวของเซ็นทรัลที่มีผลต่อไลฟ์สไตล์ของชาวกรุง จากย่านสู่ย่าน จากระดับประเทศจนถึงในระดับเวทีนานาชาติ เรานําเสนอเรื่องราวหลากหลายมิติในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้ไปสนุกไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ และเปิดโอกาสให้กับนิทรรศการอื่นๆ มาใช้พื้นที่ได้อีกด้วย ชั้น L4 พื้นที่จัดอีเวนต์ จุดหมายที่รอคอยให้บรรดาผู้หลงใหลงานศิลป์มาชื่นชมนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยในสเปซที่สวยงามลงตัว ไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปิน ช่างภาพ หรือนักจัดกิจกรรมต่างๆ พื้นที่พิเศษแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนจะได้แสดงออก และจัดแสดงผลงานสุดสร้างสรรค์ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ชั้น L5 ร้านอาหาร อักษร (Aksorn) ร้านอาหารใหม่แห่งแรกในรอบทศวรรษของเชฟเดวิด ทอมป์สัน (David Thompson) บนชั้น บนสุดของ เซ็นทรัล: ดิ ออริจินัล สโตร์ จะพาคุณย้อนเวลาไปลิ้มรสชาติแห่งอดีตกาลผ่านอาหารจานอร่อย ด้วยสูตรต้นตํารับจากตําราอาหารไทยโบราณที่ตีพิมพ์ในช่วงระหว่างทศวรรษที่ 50 - 70 ที่เชฟเดวิดสะสมไว้ โดยเขาจะรังสรรค์และปรับเปลี่ยนเมนูอยู่เป็นประจํา เพื่อให้ตอบโจทย์รสนิยมที่ไม่หยุดนิ่งของคนในยุคปัจจุบัน ด้วยการผสมผสานเรื่องราวและยุคสมัยของแต่ละตําราอาหารที่คัดสรรมา เข้ากับขั้นตอนการรังสรรคทุกเมน ร้านอาหารอักษรพร้อมมอบประสบการณ์รสชาติความอร่อยจากในอดีตให้ทุกคนได้ลิ้มลองแล้ววันนี้ เวลาเปิด-ปิด ชั้น 1 Shop, SIWILAI Café วันอังคาร – อาทิตย์ 10.00 – 18.00 น. ชั้น 1 SIWILAI Sound Club วันอังคาร- อาทิตย์ 18.00 – 01.00 น. ชั้น 2 Retail Library วันอังคาร – อาทิตย์ 10.00 -18.00 น. ชั้น 3 Central Space วันอังคาร – อาทิตย์ 10.00 -18.00 น. ชั้น 4 Event I Exhibition วันอังคาร – อาทิตย์ 10.00 -18.00 น. ชั้น 5 Aksorn Restaurant วันอังคาร- อาทิตย์ 18.00 -22.00 น. . 1266 ถนนเจริญกรุง แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพฯ เวลาทำการ เปิดบริการวันพุธ-อาทิตย์ 11.00-19.00 น. โทร. 0-2267-0412 Website: www.centraltheoriginalstore.com Facebook: central.theoriginalstore Instagram: central.theoriginalstore . #LetsHoparound #LetsHoparoundBangkok #CentralTheOriginalStore #Central #InspiringStuff

  • Aesop: In Two Minds ที่ออกแบบมาเพื่อผิวผสม

    Hoparound’s favorites: ชาว Hopsters ผิวผสมฟังทางนี้เลยยยย เรามีสกินแคร์รับหน้าร้อนตัวใหม่ล่าสุดที่เราปลื้มมานำเสนอ เพราะในที่สุด Aesop แบรนด์โปรดของเรา (ทางแบรนด์เค้าให้อ่านว่า “เอสอป” นะจ๊ะ) ก็มีผลิตภัณฑ์สำหรับผิวผสมโดยตรงออกมาซะที หลังจากปล่อยให้คนผิวผสมอย่างเราน้อยใจอยู่นาน แต่ก็คุ้มค่าการรอคอยเพราะออกมาทีเดียวครบเซ็ต 3 ตัวเลย สกินแคร์ซีรี่ส์นี้เค้ามีชื่อเท่ๆว่า In Two Minds งานเปิดตัวก็คงคอนเส็ปต์ความอาร์ทที่ลุ่มลึก ใส่ใจในรายละเอียดตามจริต Aesop ทุกประการ เรียกว่าแทบจะถอดแบบมาจาก Regional Event ที่ฮ่องเลยก็ว่าได้ เริ่มด้วยงาน art installation โต๊ะลอยได้ที่มีแรงบันดาลใจมาจากสภาวะสมดุลของผิว ไปจนถึงของว่าง 3 ก็ยังเลือกมาให้ผสมกันทั้งขนมไทยและฝรั่ง (ก็งานสำหรับผิวผสมนี่เนอะ) แม้แต่ไวน์ก็ยังติดฉลากแบรนด์ Aesop เองทั้งหมด ที่เราประทับใจก็คือการที่จัดให้ทดลองโปรดักท์กับนักสาธิตผลิตภัณฑ์แบบประกบตัวต่อตัวกันเลยทีเดียว มาเข้าเรื่องตัวผลิตภัณฑ์กันดีกว่า สิ่งที่ wow ตั้งแต่แรกเห็นก็คือตัวกล่องที่ดีไซน์สวยงามแปลกตา เหมาะอย่างยิ่งที่จะเอาไปเป็นของขวัญสร้างความประทับใจ แพคเก็จจิ้งมีการสื่อถึงผิวผสม ด้วยการสร้างเท็กซ์เจอร์ที่แตกต่างบนผิวกล่อง ทั้งการลงสี แปะทองเปลว และปะกระดาษสา โดยที่แต่ละกล่องนั้นก็ไม่เหมือนกันเลย เราจึงเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นงาน handmade (หรือเปล่า?) อย่างที่สองที่เป็นจุดเด่นมากๆของ Aesop ก็คือกลิ่นหอมธรรมชาติจนเราเคลิ้มเรากับอยู่ในสปาชั้นดี สำหรับเรากลิ่นของ Aesop นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอมควักเงินจ่ายเลยก็ว่าได้ มันมีผลต่อระดับความฟินจริงๆนะ พืชสมุนไพรดาวเด่นของซีรี่ส์นี้น่าจะเป็นต้นวิทช์ ฮาเซล (Witch Hazel) ต้นไม้สรรพคุณแน่นที่ปลูกมากแถบทวีปอเมริกาเหนือ ที่โดดเด่นเรื่องการปลอบประโลมผิว ให้ความชุ่มชื้น และควบคุมความมันไปในคราวเดียวกัน เริ่มกันที่ตัว In Two Minds Facial Cleanser (1,850 บาท) ที่เน้นการทำความสะอาดและปลอบประโลมผิวด้วยสมุนไพร นอกจากวิทช์ ฮาเซล แล้วยังมีใบเสจ โรสแมรี่ ลาเวนเดอร์ และโมรอคคันคาโมไมล์ หลังจากที่ได้ทดลองใช้แล้ว เรารู้สึกว่าผิวเราสะอาดสดชื่นโดยที่ไม่แห้งตึงนะ เรื่องกลิ่นคงไม่ต้องพูดถึง ถูกใจเลยแหละ ต่อกันที่ In Two Minds Facial Toner (2,100 บาท) การปรับสภาพผิวด้วยโทนเนอร์นั้นเป็นขั้นตอนที่หลายคนมักมองข้าม ทั้งที่จริงแล้วสำคัญมาก เพราะจะช่วยผิวให้พร้อมรับการบำรุง เมื่อก่อนเราก็เคยข้ามสเต็ปนี้ แล้วก็งงว่าทำไมผิวตรงแก้มยังแห้งเป็นขุยทั้งๆที่ใช้ moisturizer อย่างดี สำหรับ Toner ของ Aesop ตัวนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการระคายเคือง ช่วยผลัดเซลล์ผิว และสมานผิวอย่างอ่อนโยนอีกด้วย ส่วนตัวถึงแม้เราจะเป็นคนผิวผสม แต่เราจะรู้สึกหนักหน้าจากความมันได้ง่ายมาก การได้ใช้มือตบ Toner ใสๆเบาๆลงไปที่ผิวหน้า ก็ทำให้สดชื่นตื่นตัวได้ดีจริงๆนะ หรือใครจะเทใส่แผ่นสำลีแล้วกดบนผิวเบาๆก็ได้นะ แต่เราขี้เกียจ ก็เลยใช้มือเลย สุดท้าย In Two Minds Facial Hydrator (2,250 บาท) เข้มข้นกว่าซีรั่ม แต่เบาบางกว่าครีม ในบรรดา 3 ตัวที่ออกใหม่นี้ เราปลื้มตัวนี้มากที่สุด ใครไม่มีผิวผสมคงไม่เข้าใจว่าการจะหา moisturizer ที่เนื้อถูกใจนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ข้นไปก็หนักผิว เบาไปก็เอาไม่อยู่ แต่ตัวนี้ของ Aesop นี่เรียกว่าสมดุลพอดี เรารู้สึกถึงความเข้มข้นในความนุ่มเบา ซึมเร็วและรู้สึกว่าผิวอุ้มน้ำทันที และที่สำคัญกลิ่นหอมของ Aesop ไม่เคยทำให้เราผิดหวังจริงๆ หลังจากที่เราได้ทดลองใช้มานานกว่าสัปดาห์ ผิวส่วนที่มันของเราอาจจะไม่ได้มันน้อยลงนะ แต่เรารู้สึกสบายผิวขึ้นเยอะเลย อย่างน้อยสิ่งที่เราสังเกตได้ชัดก็คืออาการคันยิบๆและผื่นแดงที่มักจะมาช่วงอากาศร้อนๆก็เบาลงไป ขุยแห้งตามแนวแก้มที่เคยมีก็ดูเหมือนจะลดน้อยลงจนเกือบหมดไปเลยแหละ ใครสนใจจะทดลองผลิตภัณฑ์ In Two Minds บนผิวตัวเองก่อนซื้อมาใช้ ก็เชิญได้ที่เคาน์เตอร์เอสอปทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายนนี้เป็นต้นไปน้า . Where to buy: Aēsop counter at Central Department Store Website: www.central.co.th/th/aesop, www.aesop.com . FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co . #Aesop #AesopThailand #AesopSkincare #LetsHoparound #รีวิวAēsopInTwoMinds #ผิวผสม #รีวิวเอสอป #InTwoMinds #รีวิวเครื่องสำอางค์#ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

  • ศิลปะ x ศรัทธา x หัวใจ หอแสดงงานศิลปะแห่งใหม่ที่พัทยา "ปิยะศิลปาคาร"

    หอแสดงงานศิลปะปิยะศิลปาคาร: ศิลปะ x ศรัทธา x หัวใจ หากเพื่อนๆลองไปถามคนท้องที่พัทยา ก็คงจะมีน้อยคนมากที่จะรู้จักหอแสดงงานศิลป์แห่งนี้ นอกจากจะมีร้านคาเฟ่ One Day Esthetic ให้จิบกาแฟ มุมเก๋ๆให้ถ่ายรูป และ course ศิลปะน่าเรียนแล้ว ที่นี่ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกเพียบจนเราเองก็เริ่มเล่าไม่ถูก เพราะหอศิลป์แห่งนี้คือจุดหลอมรวมของศิลปะ ศรัทธาในองค์รัชกาลที่ 5 และสายใยความรักระหว่างลูกๆกับคุณพ่อศิลปินผู้ล่วงลับไปแล้ว วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไป #hop ชมโลกแห่งศิลปะที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและแรงบันดาลใจกันที่พัทยา เพียงอ่านจากชื่อ “ปิยะศิลปาคาร” ก็น่าจะเดาได้ไม่ยากว่าสถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อจัดแสดงงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระปิยมหาราช (รัชกาลที่ 5) นั่นเอง แต่อะไรที่ทำให้คุณนิตย์ ดวงดี ศิลปินมากฝีมือผู้รังสรรค์ผลงานทั้งหมดที่จัดแสดงอยู่ที่นี่ รู้สึกผูกพันกับพระองค์ท่านจนถึงขั้นอุทิศชีวิตและฝีมือสร้างสรรค์งานทั้งหมดเพื่อเทิดพระเกียรติองค์รัชกาลที่ 5 จากหนุ่มสงขลาผู้หลงไหลในศิลปะ แม้ไม่เคยมีโอกาสได้เรียนศิลปะเลยแต่คุณนิตย์ก็ผลักดันตัวเองจนได้เป็นช่างวาดโปสเตอร์คัทเอ้าท์หน้าโรงหนัง เป็นบันไดต่อยอดให้ได้ไปวาดรูปเหมือนให้กับทหาร GI อเมริกันที่ฐานทัพเรือสัตหีบในยุคสงครามเวียดนาม จนได้รู้จักกับชาวเยอรมันที่ชักชวนให้ไปอยู่แฟรงค์เฟิร์ต และกลายเป็นคนไทยคนแรกๆที่ได้เรียนรู้เทคนิคการทำกรอบรูปแบบยุโรป (และพัฒนาสไตล์ของตัวเองจนได้มาเปิดแกลอรี่กรอบรูปที่พัทยาในเวลาต่อมา ทุกวันนี้งานกรอบรูปของคุณนิตย์ก็ยังปรากฏให้เห็นได้ในสถานที่สาธารณะต่างๆเช่น สถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นต้น) และได้เรียนรู้เทคนิคการเพ้นท์รูปจากยุโรปสมใจ จนคุณอาร์ลูกสาวคนเล็กของคุณนิตย์บอกว่าฝีแปรงของคุณพ่อนั้นมีสไตล์คล้ายกับ Rembrandt ศิลปินชาวดัทช์เลยทีเดียว ครั้งแรกที่คุณนิตย์ได้เจอเหตุการณ์ที่ทำให้เริ่มผูกพันกับองค์พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ก็คือในช่วงที่ยังเป็นช่างรับจ้างเขียนรูปและภรรยายังต้องขายส้มตำเลี้ยงชีพอยู่แถวงามวงศ์วาน วันดีคืนดีก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอาเหรียญบาทในยุคร.5 ที่เลิกใช้ไปแล้วมาเสนอขายให้กับภรรยาของคุณนิตย์ในราคา 30 บาท แต่ตอนนั้นเพิ่งขายส้มตำได้ 10 บาท จึงขอต่อรองชดเชยส่วนที่ยังขาดด้วยการเลี้ยงข้าวเหนียวไก่ย่างไปหนึ่งอิ่ม ต่อมาจึงได้รู้ว่าเหรียญนั้นเป็นรุ่นที่ Henri-Auguste Patey ศิลปินนักปั้นเหรียญชาวฝรั่งเศสในตำนานเป็นผู้สร้างขึ้น นับตั้งแต่นั้นมาทั้งชีวิตของคุณนิตย์ก็มีเรื่องราวให้ต้องผูกพันกับองค์รัชกาลที่ 5 แบบไม่คาดฝันมาโดยตลอด หลังจากได้เหรียญมาไม่นาน อยู่ๆก็มีลูกค้าคนหนึ่งมาตามหาคุณนิตย์เพราะอยากให้วาดรูปพระองค์ท่านทั้งที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่ลูกค้าฝันว่ามีควันพุ่งออกมาจากบ้านแล้วมีเสียงบอกทางว่าถ้ามาซอยนี้แล้วจะเจอช่างวาด เขาจึงลองเดินทางตามมาดู และก็ได้มาเจอกับคุณนิตย์จริงๆ คุณนิตย์จึงจุดธูป 1 กำมือแล้วอธิษฐานขอปวารณาตัวรับใช้พระองค์ท่านตั้งแต่บัดนั้น และก็ได้เลี้ยงชีพด้วยการวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ของร.5 เรื่อยมาจนมีลูกค้าเป็นคนใหญ่คนโตของประเทศหลายต่อหลายคน อีกครั้งที่คุณนิตย์รู้สึกว่าพระบารมีของพระองค์ท่านได้ช่วยเขาเอาไว้ก็คือเมื่อภรรยากำลังจะถึงกำหนดคลอดลูกคนเล็ก (คุณอาร์) แต่ครอบครัวกลับไม่มีเงินจ่ายค่าทำคลอดเลย สุดท้ายก็รอดพ้นมาได้ด้วยเงินมัดจำจากลูกค้าที่มาว่าจ้างให้วาดรูปรัชกาลที่ 5 คุณนิตย์จึงศรัทธาและศึกษาเรื่องราวของพระองค์ท่านตลอดมา นอกจากงานวาดแล้ว คุณนิตย์ยังได้สร้างงานปั้นรูปเหมือนของพระองค์ไว้ด้วย และตัวอาคารหอแสดงงานศิลปะปิยะศิลปาคารแห่งนี้ คุณนิตย์ก็เป็นผู้ออกแบบเองเช่นกัน ยิ่งไปกว่านี้คุณนิตย์ยังเป็นนักคัดลายมือ นักคิด นักเขียน และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางศิลปะรอบด้านที่ไม่ธรรมดาจริงๆ คุณนิตย์มักจะได้รับการนิยามให้เป็น “สารพัดช่าง” ผู้มากฝีมือ แต่เรารู้สึกว่าท่านเป็น “ศิลปินตัวจริง” ที่สมควรจะได้รับการ recognized มากกว่านี้ ที่จริงแล้วหอศิลป์แห่งนี้สร้างเสร็จมาตั้งแต่พ.ศ. 2537 แต่ไม่เคยได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการให้คนนอกได้เชยชมเลย จนในวันนี้ที่เวลาล่วงเลยมากว่า 26 ปี และคุณนิตย์ ดวงดีก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว เรายินดีอย่างยิ่งที่ลูกๆของคุณนิตย์ตัดสินใจชุบชีวิตผลงานของคุณพ่อ และสานต่อความฝันด้วยการขัดสีฉวีวรรณให้อาคารทรงเสน่ห์แห่งนี้ได้กลับมาสร้างแรงกระเพื่อมทางศิลปะให้กับคนรุ่นต่อไปอีกครั้ง นอกจากผลงานของคุณนิตย์ที่จะจัดแสดงถาวรที่นี่แล้ว (เปิดให้ชมเต็มรูปแบบวันที่ 23 ตุลาคม 2563 นี้) ลูกๆของคุณนิตย์ซึ่งก็เป็นศิลปินเช่นกัน ก็มีแผนจะจัดนิทรรศการหมุนเวียนผลงานของศิลปินท่านอื่นๆในชั้นบนของอาคาร รวมถึงเปิดพื้นที่ว่างให้เช่ากับศิลปินทั่วไปด้วย หรือหากใครสนใจจะลงเรียนคอร์สวาดเขียน ลงสี (ทั้งเพื่อประโยชน์ทางศิลปะและเพื่อสื่อสารไอเดียทางธุรกิจ) หรือแม้กระทั่งเบสิคกีตาร์ ที่นี่ก็เปิดสอนด้วยเช่นกันในราคา 3,500-5,000 บาท One Day Esthetic คาเฟ่ เบเกอรี่ เครื่องดื่ม และของคาวหวานสารพัด การได้มาเยี่ยมเยือนหอแสดงงานศิลปะปิยะศิลปาคารในครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นอีกมุมหนึ่งที่ต่างไปของพัทยาซึ่งมาในรูปแบบของผลงานศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นและสานต่อด้วยหัวใจ เราชื่นชมความเป็นศิลปินเข้มข้นที่มีอยู่จิตวิญญาณของคุณนิตย์ ดวงดี และรู้สึก inspired ในความมานะที่จะเรียนรู้และสู้ชีวิตของคนยุคก่อน รวมถึงตื้นตันในความรักที่ลูกๆมีให้คุณนิตย์ด้วย นอกจากจะเป็นจุดเช็คอินใหม่ที่เพื่อนๆสามารถแวะมาเยี่ยมชมและถ่ายรูปสวยๆได้แล้ว เราหวังว่าเพื่อนๆจะได้รับพลังดีๆจากเรื่องราวของหอศิลป์แห่งนี้เหมือนที่เราได้รับเช่นกัน หอแสดงงานศิลปะปิยะศิลปาคาร Piya Silapakarn Art Exhibition Hall เปิด 8:30-18:00 น. ปิดทุกวันจันทร์ ข้อมูลเพิ่มเติม 0944273939 Facebook Page: One Day Esthetic Facebook Page: หอแสดงงานศิลปะ ปิยะศิลปาคาร . FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website:www.hoparound.co . #LetsHoparound #Pattaya #LetsHoparoundPattaya #Lifestyle #Cafe #PiyaSilapakarnArtExhibitionHall #Onedayesthetic #Arthouse #Arthousepattaya #Artgallerythailand #Artspacepattaya #Ecostyle #Cafeinpattaya #WorkfromHome #เที่ยวพัทยา #คาเฟ่ในพัทยา #พัทยา #คาเฟ่ในชลบุรี #แกลเลอรี่ในพัทยา #แกลเลอรี่ในชลบุรี #ที่เที่ยวในพัทยา #แกลเลอรี่

  • Akha Ama Living Factory อาข่า อาม่า เชียงใหม่

    แม้ตอนนี้หน้าหนาวจะผ่านไปแล้ว แต่เชียงใหม่ก็ยังมีที่ให้เรา #กระโดดโลดเที่ยว กันได้อย่างอิ่มอกอิ่มใจได้ทั้งปี เอาล่ะ ชาว #hopsters ทั้งหลาย บัดนี้เราจะพาคุณมาเสพกาแฟไทยที่ดังไกลถึงยุโรป แกล้มเรื่องราวสุดยอดแรงบันดาลใจเบื้องหลังความสำเร็จที่ใช้ “ใจบันดาลแรง” ของเขากันที่ Akha Ama Living Factory อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ที่เพิ่งเปิดให้เข้าชมเมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมานี้เอง เรื่องราวของ “อาข่า อามา” นั้นทั้งน่าทึ่งและน่าภูมิใจมากจริงๆ เริ่มตั้งแต่ที่มาของแบรนด์ที่เกิดขึ้นจากสำนึกรักบ้านเกิดของคุณลี (ชื่อจริงคือ “อายุ จือ ปา”) ชาวเขาเผ่าอาข่า และความมุ่งมั่นที่เขาอยากจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวอาข่าที่ปลูกกาแฟพันธุ์พระราชทานจากในหลวงร.9 กันมาหลายรุ่นเป็นเวลาเกือบ 50 ปี แต่ผลผลิตก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับเสียที โดยที่ตอนเริ่มต้นโปรเจ็คท์นี้เมื่อปี 2552 ความรู้เรื่องกาแฟของคุณลีแทบไม่มีเลยก็ว่าได้ การเดินทางของอาข่า อามา (คงพอจะเดากันได้ว่า ‘อามา’ แปลว่า ‘แม่’ และผู้หญิงในโลโก้ก็คือคุณแม่ของคุณลีนั่นเอง) เริ่มต้นด้วยความอยากรู้ว่าคุณภาพกาแฟที่ชาวอาข่าผลิตได้นั้นอยู่ในระดับไหน คุณลีและทีมจึงช่วยกันระดมสมองหาวิธีพิสูจน์ จนลงเอยด้วยการเปิดหน้าร้านกาแฟแถวช้างเผือก ในเมืองเชียงใหม่ให้ลูกค้าได้เข้ามาลิ้มลองในปี 2553 พร้อมกันนั้นก็ส่งตัวอย่างเมล็ดกาแฟออกไปให้นักชิมกาแฟไทย รวมถึงร้านกาแฟ และร้านอาหารในประเทศทดลองใช้ แต่ผลลัพธ์กลับน่าผิดหวัง เพราะคนไทยในสมัยนั้นยังมีอคติลบๆกับเมล็ดกาแฟของไทยอยู่มาก แค่เพียงได้ยินว่าเป็นกาแฟไทย ต่างก็ปฏิเสธกันแบบไม่ต้องคิดกันแทบทุกราย เมื่อแสงแห่งความหวังในประเทศเริ่มริบหรี่ ประตูอีกบานที่ใหญ่กว่าก็ค่อยๆเปิดออก เพราะในปีเดียวกันนั้นเองทีมคุณลีก็ตัดสินใจส่งผลผลิตของตนไปยังเวทีคัดสรรในยุโรปที่ชื่อว่า SCAE (Specialty Coffee Association of Europe) หรือสมาคมกาแฟพิเศษแห่งยุโรป และถูกคัดเลือกให้เข้ารอบ 21 รายสุดท้ายจาก 2000 กว่ารายที่ส่งเข้ามาประกวดจากทั่วโลก ขั้นตอนการคัดเลือกนั้นก็เข้มงวดสมกับมาตรฐานยุโรป ตั้งแต่การตรวจหาสารตกค้าง และประเมินความสมบูรณ์ของเมล็ดในห้อง Lab โดยละเอียด รวมไปถึงการทดสอบรสชาติแบบ Blind Test คือไม่เปิดเผยชื่อผู้ส่งเข้าประกวดให้กรรมการทราบเพื่อความยุติธรรม แม้ผลลัพธ์จะน่าพอใจอย่างมาก แต่ทีมอาข่า อามาก็ยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น พวกเขาอยากจะยืนยันว่าคุณภาพของเขานั้นดีจริงๆไม่ใช่แค่ฟลุก จึงส่งไปที่เวทีเดิมซ้ำอีก 2 ครั้งในปี 2554 และ 2555 ผลก็คืออาข่า อามานั้นได้รับคัดเลือกทุกปี จนในปีต่อๆมาทางคณะกรรมการ SCAE นั้นก็ได้เชิญอาข่า อามา มาเป็นพาร์ทเนอร์ถาวรกับเวทีนี้โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือกอีกต่อไป เมื่อเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ รสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟอาข่า อามาก็ออกฤทธิ์ทำให้คนไทยเริ่มตาสว่างขึ้นมาเห็นคุณค่ากาแฟไทยมากขึ้น ในปี 2556 อาข่า อามาจึงขยับขยายไปเปิดอีก 1 สาขาที่บริเวณคูเมืองใกล้วัดพระสิงห์ โดยเริ่มมีการติดตั้งเครื่องคั่วของตัวเองไว้ในร้านเป็นครั้งแรกอีกด้วย ในระยะเวลา 3-4 ปีแรกนี้ที่พวกเขาได้ลองผิดลองถูก ค่อยๆสะสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับกาแฟเพิ่มเติมทีละเล็กละน้อยตั้งแต่การปลูก การคั่ว ไปจนถึงการชง ทำให้ทีมอาข่า อามามั่นใจว่าองค์ความรู้ที่ถูกต้องนี่เองที่จะช่วยเหลือเกษตรกรบ้านเกิดได้อย่างยั่งยืน สำหรับ Akha Ama Living Factory บนพื้นที่กว่า 5 ไร่นี้ที่เราพามาเยี่ยมชมในวันนี้ ก็เป็นการตอกย้ำความสำคัญขององค์ความรู้ และการเกื้อหนุนกันและกันเพื่อความยั่งยืนซึ่งเป็นแก่นของแบรนด์ ที่แห่งนี้นับเป็นอีกก้าวที่กล้าหาญของอาข่า อามาโดยทางทีมใช้เวลาการเตรียมงานและซื้อที่ดินกันมาตั้งแต่ปี 2557 จนมาแล้วเสร็จเมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมานี้เอง ที่นี่เป็นมากกว่าร้านกาแฟเก๋ๆให้คนมาเช็คอินตามกระแส เพราะพวกเขาตั้งใจให้ Akha Ama Living Factory นี้เป็นบ้านที่เปิดเพื่อแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับกาแฟและอาหารที่ยั่งยืน โดยมีการสาธิตการคั่วกาแฟ (ในวันอาทิตย์ อังคาร และศุกร์) และเร็วๆนี้จะมี Workshop ให้ชิมกาแฟเพื่อแยกกลิ่นพื้นฐานที่อบอวลอยู่ในเมล็ดกาแฟอย่างถูกต้องตามหลักสากล นอกจากนี้ช่วงกลางปีก็จะเริ่มก่อสร้างโรงครัวซึ่งจะนำเสนอวิถีที่ยั่งยืนเกี่ยวกับอาหารอีกด้วย ในวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา พวกเขาก็ได้เปิดให้ใช้พื้นที่บ้านหลังใหม่หลังนี้ เพื่อจัดงาน Good Seeds Good Food Festival ครั้งที่ 3 ซึ่งเน้นไปที่วิถีการเกษตรแบบออร์แกนิค การสร้างอาชีพทางการเกษตร และอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพาะปลูกได้ฟรีๆสำหรับ “กลุ่มคนไร้บ้าน” เพื่อเป็นรายได้ให้กับผู้ด้อยโอกาสอีกด้วย แม้ความสำเร็จของอาข่า อามา จะเดินทางมาได้ไกลจนถึงจุดนี้ พวกเขาก็ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะขยายร้านกาแฟในแบรนด์ตัวเองเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทางทีมคอนเฟิร์มว่าอาข่า อามายังคงชัดเจนในวิสัยทัศน์ที่ตั้งใจจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อเกษตรกรกับลูกค้า และใช้องค์ความรู้ที่ถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาอาชีพของเกษตรกรที่ปลูกกาแฟให้ดีขึ้นตามแนวทางที่ในหลวงร.9ได้ทรงริเริ่มไว้ให้เมื่อเกือบ 50 ปีก่อนให้ยั่งยืนต่อไป ต้นไม้จะเติบโตยิ่งใหญ่ได้ ย่อมต้องมีรากที่ลงลึกแข็งแรง ต้นไม้ที่ชื่อ อาข่า อามา ต้นนี้ก็เช่นกัน ลูกค้าอย่างเราๆ ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าจะช่วยอุดหนุนเป็นน้ำ เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ต้นนี้เติบใหญ่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป ในวันนี้ชาว hopsters คงได้รับคาเฟอีนทางใจจากเรื่องราวของอาข่า อามาที่เราเลือกมานำเสนอไปเต็มที่แล้ว การช่วยๆกันแชร์เรื่องราวนี้ออกไปก็คงจะยิ่งทำให้ความตั้งใจดีๆส่งแรงกระเพื่อมออกไปในวงที่กว้างมากขึ้นเรื่อยๆนะครับ www.akhaama.com www.facebook.com/akhaamacoffee FB/IG @hoparound.co Website www.hoparound.co #LetsHoparound #LetsHoparoundChiangmai #chiangmai #cnx #AkhaAma #Coffee #รีวิวAkhaAmaLivingFactory #อาข่าอ่ามาลิฟวิ่งแฟคโตรี่ #ร้านกาแฟเชียงใหม่ #โรงคั่วกาแฟเชียงใหม่ #อาข่าอ่ามา #รีวิวAkhaAma #โรงคั่วกาแฟ #เที่ยวเชียงใหม่ #รีวิวเชียงใหม่ #เชียงใหม่ไปไหนดี

  • ประตูไปที่ไหนก็ได้ของ KangHee Kim

    ช่วงโควิดที่ผ่านมา หลายคนอาจรู้สึกอึดอัดที่ตัวเองต้องติดแหง่กอยู่กับที่ออกไปไหนก็ไม่ได้ ราวกับถูกจองจำจนเหมือนคนไร้อิสระภาพ นั่นคือความรู้สึกที่อยู่ในใจของ KangHee Kim มาเป็นเวลากว่าครึ่งชีวิตของเธอ เพราะศิลปินชาวเกาหลีผู้นี้ ถูกพาตัวมาอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยเหตุบางประการทำให้เธอไม่ได้สัญชาติและขอกรีนการ์ดไม่ได้ จึงต้องติดแหง่กอยู่ในกรงกฎหมาย DACA - Deferred Actions for Childhood Arrivals ที่อนุโลมให้เธออยู่ในประเทศได้ แต่ถ้าออกไปเมื่อไหร่ก็จะกลับเข้ามาอีกไม่ได้ เธอจึงรู้สึกเหมือนถูกจองจำให้อยู่ในอเมริกาอย่างไม่รู้จุดจบ ดอกไม้อันบอบบางสามารถงอกงามขึ้นมาได้จากธุลีดินที่ดูสกปรกฉันใด งานศิลป์ที่ส่องแสงให้เราอบอุ่นในใจก็สามารถสะพรั่งขึ้นมาได้จากความมืดมนฉันนั้น ผลงานของ KangHee Kim ที่ดูเรียบง่ายแต่ทรงพลังจนคุณอาจเผลอได้ยินหัวใจตัวเองฮัมเพลงเบาๆนั้นเกิดจากการตัดสินใจที่จะไม่หมกมุ่นอยู่กับข้อจำกัดของตน แต่เลือกที่จะมองให้เห็นความงามที่มีอยู่ในชีวิตของเธอ ภาพฉากธรรมดาๆที่เราเห็นแบบผ่านตาอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นผนังห้อง หน้าต่างบ้าน กำแพงตึก ไปจนถึงกิ่งไม้ เสาไฟ หรือสัญญาณไฟจราจร ถูกนำมาโฟโต้ช็อปใส่ภาพทิวทัศน์ ก้อนเมฆที่กำลังเรืองแสงอาทิตย์ หรือสายรุ้งสีสดใสลงไปในจังหวะที่พอเหมาะพอเจาะ ทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ชมผลงานของเธอ ราวกับว่า KangHee Kim กำลังจะบอกกับโลกให้รู้ว่าความหวังนั้นปรากฏให้เห็นอยู่ทุกที่ถ้าเรารู้จักมอง ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ หลายคนอาจจะอยู่ในสภาวะเบื่อหน่าย หดหู่ หรือแม้กระทั่งสิ้นหวัง เราหวังว่างานของ KangHee Kim ที่เรานำมาเสนอในวันนี้ จะช่วยแง้มเอาความสดใสเข้าไปเติมให้กับชีวิตของทุกคนได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ไม่แน่นะ ถ้าใจเราเปิดกว้าง เราอาจจะได้เห็น ‘ประตูไปที่ไหนก็ได้’ ของเราเองปรากฏมาตรงหน้าก็ได้ All images ©KangHee Kim : Street Errands FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co #KangHeeKim #LetsHoparound #InspiringStuff #ArtandDesign #Collage #Surrealist #Photograph #StreetPhotograph #NewYork #ศิลปะ #ภาพ #งานศิลปะ #ศิลปิน #ศิลปินเกาหลี #แรงบันดาลใจ #คอลลาจ #StreetErrands #Inspiration

  • Site of Reversible Destiny กิฟุ

    Site of Reversible Destiny อาคารทรงแปลกสีหวานเจี๊ยบ ดูเผินๆก็ช่างเหมาะจะเป็นโลเคชั่นถ่ายรูปคู่รักในช่วงวาเลนไทน์เสียเหลือเกิน ตัวสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาให้ลวงตาก็ยิ่งทำให้ ”สถานที่แห่งโชคชะตาที่พลิกกลับได้” นี้เต็มไปด้วยมุมถ่ายรูปล้ำๆไม่ซ้ำใคร ทั้งเอ้าท์ดอร์และอินดอร์ ที่สำคัญเรายังไม่ค่อยเห็นคนไทย #hop มาที่นี่กันเลย . แต่เดี๋ยวก่อน... ทำไมชื่อที่นี่จึงแปลกจังนะ เห็นแหววๆแบบนี้ แท้ที่จริงสถานที่แห่งนี้สร้างมาจากแนวคิดที่ลึกซึ้งมากของศิลปิน/สถาปนิกชั้นครู 2 ท่านที่ต่างก็ล่วงลับไปแล้ว คือ Shusaku Arakawa ชาวนาโงย่า และ Madeline Gins ชาวนิวยอร์ค . ทั้งคู่เชื่อว่าโชคชะตาของมนุษย์ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วนั้น สามารถที่จะถูกเปลี่ยนแปลงและพลิกผันดันกลับได้ หรือพูดง่ายๆก็คือ มนุษย์ฝืนชะตาฟ้าได้ กระทั่งความตายที่ทั้งคู่เชื่อว่าสักวันมนุษย์ก็จะสามารถเอาชนะได้ แม้ว่าทั้งสองท่านจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันนั้นก็ตาม (Arakawa เสียชีวิตในปี 2010 และ Gins ในปี 2014 ตามลำดับ) วิธีการเดินทางมาที่นี่ จากนาโกย่า Meitetsu Nagoya Station(Kansai Line Local Yokkaichi ) > Kuwana Station (เปลี่ยนรถไฟเป็น Yoro Tetsudo Local Ogaki) มุ่งหน้าไปทาง > Yōrō Station ให้ลงสถานี Yōrō Station ใช้เวลาเดินทางประมาณ​ 1 ชม. 30 นาที จากนั้นเดินเท้าไปอีกประมาณ 10-12 นาที ที่นี่เปิด เวลา 09.00 - 17.00 น. หยุดวันจันทร์ ซื้อตั๋วเข้าชมกันก่อนเลย คนละ 770 เยน มากันที่ตึกแรก Reversible Destiny Office - Yoro เป็นตึกไฮไลท์ของที่นี่เลย Arakawa และ Gins จงใจออกแบบสถานที่แห่งนี้ให้เต็มไปด้วยมุมมองน่าพิศวงงงงวย เพราะต้องการจะสื่อว่าความเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพของ space และท่วงท่าของร่างกายเรานั้น สามารถกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในมโนสำนึกของเราได้ และเมื่อจิตใจของเรามีมุมมองและความเชื่อใหม่ๆ เราก็จะสามารถเอาชนะ หรือเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเราได้ในที่สุด ลึกล้ำไหมล่าาาา The Mechanism of Meaning (กลไกแห่งความหมาย) แต่ก็ใช่ว่าจู่ๆทั้งสองท่านนี้จะมีแนวคิดนี้ขึ้นมานะครับ ทั้งคู่ใช้เวลาทำงานร่วมกันในโปรเจ็คท์วิจัยที่ชื่อว่า The Mechanism of Meaning (กลไกแห่งความหมาย) มาตั้งแต่ปี 1963 และร่วมด้วยช่วยกันหาคำตอบเชิงปรัชญามามากว่า 30 ปี จนกระทั่งในช่วงปี 90’s Site of Reversible Destiny แห่งนี้จึงถือกำเนิดขึ้นใน Yoro Park จังหวัด Gifu ซึ่งอยู่นอก Nagoya ไปทางทิศตะวันตก ตึกที่สอง Critical Resemblance House ที่ด้านบนของตึกเป็นแผนที่จำลองของจังหวัด กิฟุด้วย บนพื้นในโซนนี้จะเพ้นเป็นแผนที่คร่าวๆ ของเมืองในแต่ประเทศเช่น นิวยอร์ค ปารีส ปักกิ่ง รวมไปถึงกรุงเทพฯ ด้วย ในรูปนี้มีชื่อ WAT BAWONNWET - KLONG ... BANG LAMPHOO... หากเพื่อนๆกำลังมองหาที่ถ่ายรูปเก๋ล้ำไม่ซ้ำใคร และที่มากกว่านั้นคือได้รับแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตกลับไปด้วย เราแนะนำให้มาที่นี่เลย เพื่อนๆสามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน เพราะนอกจาก SoRD แล้ว ที่นี่ยังมีโซนอื่นๆของ Yoro Park ที่มีขนาดมหึมาและทีทั้งวัด ศาลเจ้า น้ำตก และสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยแมกไม้ร่มรื่น แต่อย่าลืมพกอาหารติดตัวมาด้วยนะครับเพราะเราไม่เห็นร้านอาหารเลย อ้อ! แล้วก็ใส่รองเท้ารัดส้นที่เดินสะดวกไม่ลื่นนะครับ เพราะเส้นทางนั้นแทบไม่มีทางเรียบให้เดินและต้องปีนป่ายหลายจุด ช่วงนี้โลกเรากำลังคุกรุ่นไปด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมากมาย เพื่อนๆดูแลตัวเองกันด้วยนะครับ อย่างน้อยงานศิลปะเชิงสถาปัตยกรรมจากคนรุ่นก่อนที่เรานำเสนอในวันนี้ ก็ยังคอยช่วยย้ำเตือนว่า ไม่ว่าจะโชคชะตาของเราจะเป็นอย่างไร ถ้าเราตั้งใจจริงๆ เราจะสามารถปรับเปลี่ยนมันได้เสมอ และยิ่งถ้าเรารวมพลังกัน พรุ่งนี้ที่ดีกว่าย่อมอยู่ไม่ไกลเกินรอครับ อย่าเพิ่งท้อนะค้าบบบบ Facebook: @hoparound.co Instagram: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co #LetsHoparoundJapan #LetsHoparound #SiteofReversibleDestiny #YOROpark #Art #Travel #CentralJapan #Japan #Gifu #Nagoya #กิฟุ #เที่ยวกิฟุ #ญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง #มิวเซี่ยมในกิฟุ #มิวเซี่ยมในนาโกย่า #เที่ยวนาโกย่า #เมืองนาโกย่า

  • Bank of Thailand Learning Center ศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย

    ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย ปีใหม่ทั้งที ก็ต้องมาพร้อมกับอะไรใหม่ๆสินะ จะมีหน่วยงานรัฐสักกี่แห่งที่จะมีแนวคิดสร้างสรรค์ทันสมัยถูกใจคนยุคใหม่อย่างเราๆ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงค์ชาติ คือหนึ่งในนั้น แค่เพียงงานออกแบบธนบัตรก็มีแบบใหม่ๆสวยๆงานละเอียดออกมาให้สะสมกันสนุกสนาน แถมยังมีรุ่น Limited Edition ที่ทำให้คนทั้งประเทศต้องต่อแถวยาวเหยียดเพื่อให้ได้มาครอบครอง ดูไปก็ไม่ต่างกับกลยุทธของแบรนด์แฟชั่นแถวหน้า ไม่ว่าจะเป็น Louis Vuitton หรือ Supreme ในวันนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยทุ่มทุนใหญ่อีกครั้งเพื่อตอกย้ำแบรนด์ขององค์กรที่ทันสมัย เราจะพาทุกคน #hop ไปดูศูนย์การเรียนรู้สุดเท่ของแบงค์ชาติบนถนนสามเสนใน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตีนสะพานพระราม 8 วิวสะพานปังๆเต็ม 2 ตา ที่นี่เต็มไปด้วยความรู้ที่ผ่านกระบวนการออกแบบนำเสนอมาเป็นอย่างดี บอกได้คำเดียวว่าอ่านโพสต์นี้เสร็จแล้วให้รีบบึ่งไป เพราะวันนี้ (7 ม.ค. 2561) เขาเพิ่งเปิดให้บริการเป็นวันที่ 3 แค่สถาปัตยกรรมของตัวอาคารก็เลอค่า Façade ปัง หลังคางาม มีเส้นสายและทรวดทรงที่สวยเยี่ยมเปี่ยมสไตล์ ราวกับเป็นโลเคชั่นถ่าย Collection เสื้อผ้าของ COS (ที่กำลังจะเปิดในไทยเร็วๆนี้) ยากที่จะเชื่อว่าเป็นตึกเก่าที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่พ.ศ. 2512 หรือเกือบ 50 ปีมาแล้ว ภายในอาคารแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ 1) พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ลงทุนมากกก ดีงามจริงๆ) 2) ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย (สวยโปร่งชนะเลิศ มี co-working space ด้วย!) 3) นิทรรศการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน (เพื่อให้คนไทยฉลาดเรื่องการบริหารเงินมากขึ้น) และ 4) พื้นที่กิจกรรมและนิทรรศการหมุนเวียน แถมร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึก เราไปที่โซนแรกกันก่อนดีกว่าเนอะ พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย โซนนี้เปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้า และให้เข้าชมรอบสุดท้ายตอนบ่าย 2 ครึ่ง ช่วง 6 เดือนแรกให้เข้าฟรี! (ปิดวันจันทร์นะจ๊ะ) แค่ประตูทางเข้าก็น่าตื่นเต้น เพราะเป็นประตูห้องเก็บเงิน (ห้องมั่นคง) ที่เคยใช้งานจริงๆ บานหนาๆหนักๆใหญ่ๆที่ต้องใส่รหัสเหมือนในหนัง ข้างในเราจะได้พบกับเครื่องพิมพ์เงินของจริง เงินโบราณของจริงตั้งแต่ยุคกรีกกว่าพันปีที่แล้ว ไล่มาจนถึงเงินล้านนา อยุธยา รัตนโกสินทร์ ทองคำแท่งของเก่าหนัก 111 บาทของจริง และ collection เงินรุ่นหายากมากมายมูลค่าหลายสิบล้าน และยังได้ความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับแบงค์ชาติ และเงินของไทยที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ที่เราชื่นชมเป็นพิเศษก็คือการออกแบบการนำเสนอที่ใช้เทคโนโลยี Interactive ได้อย่างสร้างสรรค์น่าสนใจ จนเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมงแทบไม่รู้ตัว ต่อมาโซนห้องสมุดนั้นก็เพดานโปร่ง โอ่โถง วิวงาม น่านั่ง (และน่าถ่ายรูป) มี 2 ชั้น เชื่อมกันด้วยบันไดโค้งไม้ขนาดใหญ่ ให้บริการฟรีจนถึง 2 ทุ่มทุกวัน ยกเว้นถ้าจะหยิบยืมหนังสือกันก็จะต้องเสียเงินสมัครสมาชิกก่อน ที่นี่เค้าก็มีร้านคาเฟ่เล็กๆ Pacamara ราคาเป็นมิตร ไว้คอยให้บริการประชาชนด้วยนะ และที่สำคัญสามารถนั่งชมวิวแม่น้ำและสะพานพระราม 8 สุดชิลได้ที่นี่ หรือแวะชมร้านขายของที่ระลึก และนิทรรศการหมุนเวียนได้ตลอดเวลา หรือใครจะมานั่งอ่านหนังสือตรงโซนนี้ก็สงบดีเหมือนกันนะ หลังจากที่ได้มา #hop วันนี้แล้ว เรารู้สึกดีใจที่ประเทศไทย (โดยเฉพาะองค์กรรัฐ) ได้สร้างสถานทีดีๆแบบนี้เพื่อบริการประชาชน เราคิดว่ามันเป็นวิธีการแสดงออกถึงการให้เกียรติสังคมที่ยอดเยี่ยมแบบ Win-Win ที่ทั้งรัฐและประชาชนต่างก็ได้ประโยชน์ไปด้วยกัน ดูโพสต์นี้จบแล้ว ถ้ารู้สึก Inspired อยากเห็นอะไรเกิดขึ้น หรืออยากริเริ่มทำอะไรใหม่ๆให้กับประเทศของเราก็คอมเม้นท์กันมาได้เลย! Bank of Thailand Learning Center Location: https://goo.gl/maps/mB4vmon9AA4PxpmeA เปิดทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ เวลา 09.30 - 20.00 น.โซนพิพิธภัณฑ์ปิด 16.00 น. Website: www.bot.or.th Facebook: www.facebook.com/bankofthailandofficial #LetsHOParoundBangkok #LetsHOParound #BankofThailand #เที่ยวกรุงเทพ #พิพิธภัณฑ์ #พิพิธภัณฑ์ในกรุงเทพ #พิพิธภัณฑ์ในกทม #ศูนย์การเรียนรู้ #ธนาคารแห่งประเทศไทย #รีวิวศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย

  • รีวิว Aēsop: Parsley Seed Anti-Oxidant

    Aēsop Parsley Seed Anti-Oxidant Skin Care Aēsop Parsley Seed Anti-Oxidant Skin Care ชุดปรนนิบัติผิวที่ออกแบบมาเพื่อมนุษย์เมืองและนักผจญความตึงเครียด ฝุ่นควันมลภาวะ และความร้อนเหนอะหนะของอากาศ ถึงทุกวันนี้คนไทยคงคุ้นเคยกับ Aēsop เป็นอย่างดีแล้ว ไม่ว่าจะในฐานะสกินแคร์ธรรมชาติคุณภาพสูง กลิ่นหอมที่ฮ้อมมมมหอมมมเป็นเอกลักษณ์เชิญชวนให้เคลิ้มผ่อนคลาย หรืองานดีไซน์หน้าร้านที่ประกาศถึงความอาร์ทเท่ๆ แถมไม่ซ้ำกันเลยซักกะสาขา เรื่องราวของ Aēsop เริ่มต้นในปี 1987 โดยช่างทำผมผู้มีวิสัยทัศน์ชื่อ Dennis Paphitis ในย่านอยู่อาศัยอันร่มรื่นของผู้มีฐานะอย่าง Armadale ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของ Melbourne ประเทศ Australia มาถึงวันนี้ Aēsop ได้สยายปีกกลายเป็น Global Brand ไปเรียบร้อยแล้ว ขอนอกเรื่องนิดนึง เรากำลังเขียนคอนเท้นต์เรื่อง Melbourne อยู่พอดี สรุปสั้นๆได้ว่า Aēsop โชคดีมากที่มีบ้านเกิดชื่อ Melbourne เพราะที่นี่เป็นแหล่งบ่มเพาะความคิดและการสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆที่ดีงามมาก ฝากติดตามในโพสต์ต่อๆไปด้วยนะครับ สำหรับรีวิวเมลเบิร์น คลิ๊กที่นี่เลย >> https://bit.ly/3fSfVga ด้วยการเดินทางที่ยาวนานกว่า 32 ปี Aēsop จึงมีโปรดักท์หลายหลากมากมายบรรยายไม่หมด ครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ดูแลผม ผิวหน้า ผิวกาย ช่องปาก รวมถึงเครื่องหอมสำหรับฉีดตัว ฉีดบ้าน ยันน้ำยาระงับกลิ่นส้วม (ที่ใช้ได้ผลดีเยี่ยม!) แต่กระนั้นก็มีสินค้าอยู่ไลน์หนึ่งที่สแตนด์เอ้าท์ทั้งเรื่องประสิทธิภาพและยอดขายยืนหนึ่งในแบรนด์ นั่นก็คือไลน์ Parsley Seed นั่นเอง ไลน์นี้ประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์นับ 10 ตัว หลายเนื้อสัมผัส หลากส่วนประกอบ ครบถ้วนทุกกระบวนการประทินผิวตั้งแต่ทำความสะอาด ปรับสภาพผิว ไปจนถึงบำรุงให้ผิวชุ่มชื้นเปล่งปลั่งอย่างที่มันควรจะเป็น ที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมสินค้ากลุ่มนี้จึงขายดิบขายดี อย่างที่รู้กันว่ามลภาวะและความเครียดในโลกยุคใหม่นี้ไม่เคยลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ลำพังแค่เจ้าฝุ่น PM2.5 เราก็แทบหามาสก์มาปิดจมูกกันไม่ทัน ด้วยฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระแบบเข้มข้นของ Parsley Seed ที่ช่วยปกป้องและเสริมความแข็งแรงของผิวอันเหนื่อยล้า น้องๆผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จึงตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะในเมืองร้อนชื้นอย่างแบงค็อกของเรา เนื้อสัมผัสเบาๆของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ดี๊ดี ไม่เหนอะเลย เราเองที่เดินทางบ่อยๆ บอกได้เลยว่าได้ทดลองใช้สกินแคร์มาหลายแบบหลายแบรนด์ ขอสารภาพว่าน้อง Parsley Seed Anti-Oxidant Serum จะได้ร่วมทริปไปด้วยกันกับเราแทบจะทุกครั้ง และถ้าไปเมืองหนาวเราก็จะพกเจ้า Hydrating Cream ไปด้วยเสมอ (จริงๆเราก็ชอบสลับใช้ไปเรื่อยๆแหละ เพราะนอกจากจะชอบลองของใหม่ๆแล้ว ยังแอบคิดไปเองว่าผิวจะดื้อยาด้วย 5555) เราปลื้มกับปรัชญาการปรนนิบัติผิวและการดูแลตัวเองที่ลุ่มลึกงดงามราวกับบทกวีของ Aēsop และครั้งแล้วครั้งเล่า เราก็แอบชื่นชมวิธีการถ่ายทอดสิ่งที่เป็นนามธรรมให้ออกมาเป็นรูปธรรม ผ่านการออกแบบสินค้าและการนำเสนอที่ทั้งสะดุดตาและให้แรงบันดาลใจ ไม่ว่าเราจะไป #hop ที่ประเทศไหน เวลาเดินผ่านร้าน Aēsop ทีไร มันเหมือนมีเวทมนตร์บางอย่างที่ทำให้เราอดใจไม่ไหว ต้องแวะเช้าไปชื่นชมทุกครั้ง แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าสินค้าส่วนใหญ่ก็เหมือนๆกับที่สาขาอื่นๆ คงเป็นเพราะพลังงานนามธรรมที่ Aēsop ทำเรารู้สึกได้นี่แหละมั้งที่ทำให้แบรนด์เติบโตอย่างเป็นรูปธรรมจากย่านเล็กๆใน Melbourne จนกลายมาเป็นแบรนด์สกินแคร์ะดับท็อปของโลกได้ . Where to buy: Aēsop counter at Central Department Store Website: www.central.co.th/th/aesop, www.aesop.com . #AesopSkincare #AesopThailand #LetsHoparound #ParsleySeed #รีวิวAesopParsleySeedAntiOxidant #รีวิวAesopParsleySeed #รีวิวAesop #รีวิวเอสอป #รีวิวเครื่องสำอางค์ #ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว . FB/IG: @hoparound.co Website: www.hoparound.co

  • K5 Hotel ดีไซน์โฮเทลเปิดใหม่ในโตเกียว

    K5 HOTEL ความกลมกล่อมของงานอินทีเรียญี่ปุ่นผสมสแกนดิเนเวียน เราเคยพยายามจินตนาการว่าถ้าเราจะแต่งบ้านให้มีส่วนผสมของทั้งแนวญี่ปุ่นและสแกนดิเนเวียนที่เราชื่นชอบ มันจะออกมาเป็นยังไงนะ นึกตั้งนานก็นึกไม่ออก จนกระทั่งได้มาเจอกับโรงแรม K5 ดีไซน์โฮเทลธีม “nature in the city” ในย่าน East Tokyo ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เราก็เลยอยากจะชวนเพื่อนๆชาว #hopsters ไป #hop ชมงานตกแต่งภายในที่สวยไม่เหมือนใครด้วยกันนน โรงแรมแสนเก๋แห่งนี้ดัดแปลงมาจากตึกธนาคารเก่าในยุค 1920s จึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์ความวินเทจอย่างแท้จริง งานแปลงโฉมทั้งหมดตกอยู่ในความรับผิดชอบของ Claesson Koivisto Rune (CKR) บริษัทดีไซน์สัญชาติสวีเดนฝีมือเฉียบที่พกพาความสแกนฯมาเต็มพอร์ท แต่มาโตเกียวคราวนี้ทางทีมงานก็ทำการบ้านมาอย่างดี พวกเขาตั้งใจที่จะเก็บโครงสร้างอาคารเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด และต่อ ยอดการใช้วัสดุเดียวกันกับของเก่าที่ทรงคุณค่าอยู่แล้ว ก่อนจะนำเอางานดีไซน์ใหม่ๆถักทอเข้าไปผ่านแนวคิดทั้งแบบญี่ปุ่นและสแกนดิเนเวียน ผลลัพธ์คือเสน่ห์ทางสถาปัตยกรรมที่งดงามลงตัว “Aimai” คือแนวคิดญี่ปุ่นที่ทาง CKR หยิบมาใช้ หากแปลตรงๆก็แปลว่า “ความคลุมเครือ” แต่ในที่นี้ aimai ถูกนำมาใช้ในการอธิบายความต่อเนื่องของสเปซที่ไหลไปหากันโดยไม่มีเส้นแบ่งระหว่างห้องที่ชัดเจน และการใช้สอยพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นฟังก์ชั่นที่ต่างกันไปในแต่ละช่วงของวันได้ รวมไปถึงการเล่นกับแสงธรรมชาติและแสงไฟจราจรด้านหลังโรงแรมผ่านกระจกสีที่ช่วยร่ายมนต์ให้พื้นที่เดียวกันสามารถเปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อยๆได้อย่างชาญฉลาด ความเป็นญี่ปุ่นที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งก็คือการใช้ผ้าย้อมสี Indigo ผืนมหึมามาแขวนลงมาจากเพดานสูงจนถึงพื้นเพื่อแบ่งสเปซหลวมๆให้มองเห็นทะลุลางๆได้ตามคอนเส็ปต์ "Aimai" ทั้งยังเป็นการสร้างความอบอุ่นพริ้วไหวและเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นชัดให้กับโรงแรมแห่งนี้ด้วย เสน่ห์แบบสแกนดิเนเวียนที่อยู่ในสายเลือดของทีมดีไซน์ ก็ถูกโปรยลงไปในโปรเจ็คต์อย่างถูกที่ถูกทาง ผ่านการจัดวางใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ดีไซน์โดย CKR, Maruni และ Emeco ทั้งแบบลอยตัวและบิลท์อิน ไปจนถึงกระถางต้นไม้ ภาพแขวนผนัง และโคมไฟกระดาษ washi ทรงเกลี้ยงเกลาที่ดีไซน์พิเศษโดย CKR เองก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการผสานเสน่ห์แบบสแกนดิเนเวียนให้เข้ากับการใช้วัสดุพื้นถิ่นแบบญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีดีไซน์ไอเท่มที่น่าสนใจอีกกว่า 20 ชิ้นตั้งแต่เก้าอี้ไปจนถึงแท่งดินสอที่ทาง CKR ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อเสริมคาแร็คเตอร์ให้กับโรงแรม K5 แห่งนี้ ห้องพักในโรงแรมมีให้เลือกทั้งหมด 7 รูปแบบ ROOM TYPE: Junior Suite Loft Floor ขนาด 43 sqm ROOM TYPE: Junior Suite ขนาด 43 sqm ROOM TYPE: K5 Room Loft Floor ขนาด 38 sqm ROOM TYPE: K5 Room ขนาด 38sqm ROOM TYPE: K5 Loft ขนาด 80 sqm ROOM TYPE: Studio Loft Floor ขนาด 21 sqm ROOM TYPE: Studio ขนาด 21 sqm สายกินดื่มห้ามพลาดกับ ร้านกาแฟ บาร์ และร้านอาหาร นอกจากห้องพักที่สวยหยดทั้ง 20 ห้องที่กว้างขวางกว่าห้องพักโดยเฉลี่ยในกรุงโตเกียวแล้ว โรงแรมแห่งนี้ยังจัดเต็มในเรื่องของการกินดื่มด้วย สายละเลียดเบียร์ต้องไม่พลาดชั้นใต้ดินของที่นี่เพราะเป็นที่ตั้งของ Tap Room โดย Brooklyn Brewery แห่งแรกและแห่งเดียวที่อยู่นอก New York นอกจากนี้ยังมี Ao Bar ที่เสิร์ฟ cocktails สูตรเฉพาะในธีมบาร์ Kabutocho ผสมกับห้องสมุดสีแดง (เท่สุดๆไปเลย!) ต่อด้วยร้าน Caveman โดยเชฟ Atsuki Kuroda ที่เสิร์ฟ progressive Japanese cuisine ล้ำๆ ไปจนถึง Switch Coffee ร้านกาแฟ specialty ท่ามกลางแมกไม้เขียวเข้ม ซึ่งอยู่ติดกันกับร้านดอกไม้ของทางโรงแรมเอง ร้านอาหาร CAVEMAN ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ร้านอาหารชื่อดังจากย่าน Meguro โตเกียว เป็นอาหารฟิวชั่น ที่ผสมผสานระหว่างญี่ปุ่น ฝรั่งเศสและเดนมาร์กได้อย่างลงตัว ทางร้านจะเสิร์ฟอาหารคู่กับไวน์ธรรมชาติและเบียร์ ร้านกาแฟ Coffee Stand: SWITCH COFFEE ร้านกาแฟชื่อดังที่มีสาขาทั่วโตเกียวตั้งแต่ Meguro, Yoyogi, Hachiman และที่นี่ Kabutocho เป็นสาขาที่สามของ SWITCH COFFEE ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางจากเอสเพรสโซ่ ลาเต้ไปจนถึงอเมริกาโน่ บาร์ Ao Ao เป็นร้านที่รวมห้องสมุดและบาร์ไว้ในที่เดียวกัน ให้บริการค็อกเทลที่มีส่วนผสมหลักเป็นชาในเอเชียและสมุนไพรจีน K5 เป็นหนึ่งในสมาชิกของ Design Hotels ซึ่งเป็นชุมชนโรงแรมอิสระ ที่มีดีไซน์เฉียบและคาแร็คเตอร์ชัด เพียง 15 นาทีด้วยการเดินจาก Tokyo Station ทำให้โรงแรมแห่งนี้นอกจากจะสวยสะดุดตาแล้ว ยังสะดวกมากๆ ล่าสุดเราเช็คออนไลน์ ปรากฏว่าราคาเริ่มต้นต่อคืนไม่ถึง 5,000 บาท เรานี่แทบอยากจะวาร์ปฟรอมโฮมไปโตเกียวเลยแหละ ฮือๆ เอาไว้ถ้ามีโอกาสได้ไปโตเกียวเราจะไปนอนที่นี่อย่างแน่นอน!! แล้วเพื่อนๆล่ะครับ เห็นรูปแล้วรู้สึกยังไงกันบ้างน้าาา K5 Hotel ราคาเริ่มต้น 4,XXX บาท / คืน เวลา Check In 15:00 PM และ Check Out 12:00 PM สามารถจองที่พักผ่าน https://k5-tokyo.com/ K5 3-5 Nihonbashi Kabutocho, Chuo-ku, Tokyo โทร: 03-5962-3485 อื่นๆ: cafe, restaurant, beer hall, etc. All photos ©︎K5 . FB/IG: @hoparound.co Youtube : hoparound.co Website: www.hoparound.co . #LetsHoparoundTokyo #LetsHoparound #Travel #CentralJapan #Japan #Tokyo #Hotel #DesignHotel #LifestyleHotel #K5 #โตเกียว #เที่ยวโตเกียว #ญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่น #เที่ยวโตเกียว #โตเกียวนอนไหนดี #นอนไหนดีในโตเกียว #เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง #เที่ยวโตเกียวด้วยตัวเอง #เมืองโตเกียว #รีวิวโรงแรมโตเกียว #รีวิวโรงแรม #รีวิวK5 #K5Hotel #โรงแรมสวยในโตเกียว #รีวิวโรงแรมสวย #โรงแรมดีๆในโตเกียว

STAY IN TOUCH

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon

INSTAGRAM

  • TikTok
  • Black YouTube Icon

YOUTUBE

Hoparound.co ฮ็อปอะราวด์ เว็ปไซต์นำเที่ยว บล็อกเกอร์ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ และงานดีไซน์ อัพเดทที่เที่ยวใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เน้นสถานที่ครีเอทีฟ ทั้งพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ ร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรมที่พัก ตลอดจนงานสถาปัตยกรรมต่างๆ รวมไปถึงสินค้าและแบรนด์ที่น่าสนใจ ผ่านการเล่าเรื่องราวและการออกแบบภาพอย่างสร้างสรรค์อ่านสนุก ได้ทั้งความรู้และแรงบันดาลใจไปพร้อมๆกัน | Travel wesite | Thai Travel Blogers | Travel Influencers | a travel website travel influencers thailand รีวิวท่องเที่ยว รีวิวโรงแรม รีวิวร้านอาหาร
 

Contact and Collaboration with Hoparound.co
E-mail: info.hoparound@gmail.com | Facebook: @hoparound.co | Instagram: @hoparound.co | Youtube: hoparound.co

Follow us on Instagram

black-01.png
bottom of page