Search Results
126 results found with an empty search
- High on art in Paris เสพศิลป์พิพิธภัณฑ์ในกรุงปารีส
เสพศิลป์ in Paris เค้าว่ากันว่า "you are what you eat" คุณเสพอะไรคุณก็เป็นแบบนั้น คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ Paris จะเป็นถิ่นกำเนิดของความสวยความงามต่างๆมากมาย ทั้งที่ทรงคุณค่าอยู่ในพิพิธภัณฑ์ และทรงมูลค่าอยู่ในตลาดของผู้บริโภค เราอยากรู้ว่า Paris เสพอะไรกันเข้าไป ถึงมีการสร้างสรรค์อันเลอค่ากันมากมายขนาดนั้น เราเดาเอาเองว่านอกจากบาเก็ตต์ หอยทาก และฟัวกราส์แล้ว ศิลปะน่าจะเป็นสิ่งที่มีอณูฟุ้งอวลอยู่ทั่วเมือง จนทำให้ชาวปารีเซียงต้องรับมันเข้ากระแสเลือดไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว กระนั้น Paris ก็ยังมีแหล่งงานศิลปะให้เสพกันในโดสที่เข้มข้นขึ้นไปอีกในหลาก style หลาย level ว่ากันว่าทั้งเมืองมีรวมกันกว่า 130 มิวเซี่ยมเลยทีเดียว วันนี้เราจะพาคุณ #hop ไปรับศิลปะเข้าเส้นกันให้จุใจกันที่ Musuem และ Gallery ใน Paris ที่เราเลือกมาแล้วว่าดี..ดี๊..ดี.. บอกใบ้ไว้นิดตั้งแต่ต้นเลยละกันว่า ถ้าเพื่อนๆ #hopsters สนใจจะเข้าชมที่ไหน ควรอย่างยิ่งที่จะจองออนไลน์ล่วงหน้า เพราะอาจต้องรอเป็นชั่วโมง หรือไม่ก็อดชม ครั้งนี้เราใช้บัตร museum pass แบบ 4 วัน คุ้มมาก เพราะครอบคลุมกว่า 50 แห่งทั่วปารีสและรอบๆเลย บางที่ก็ไม่ต้องต่อแถวยาวๆนะ แล้วก็ประหยัดด้วย รายละเอียดการซื้อบัตร ตามลิงค์ไปเลย www.parismuseumpass.co Musée du Louvre (มิวเซ่ ดู ลูฟร์) ที่สุดแห่งอภิมหามิวเซี่ยมของโลก ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ นอกจากปิรามิดกระจกสุด iconic ด้านหน้าอาคาร และขนาดพื้นที่ที่ใหญ่โตโอ่อ่ายิ่งกว่ามิวเซี่ยมใดๆในปฐพีแล้ว สิ่งที่จัดแสดงอยู่ในมิวเซี่ยมที่อายุกว่า 226 ปีแห่งนี้ยังมีมากกว่า 400,000 ชิ้น ทั้งวัตถุโบราณและงานศิลปะทุกแขนง Location: https://goo.gl/maps/fqNkTUFfM8vca8Ui6 ว่ากันว่าถ้าเราเดินดูงานทุกชิ้น ติดต่อกันทุกวันๆละ 8 ชั่วโมง ใช้เวลา 3 เดือนก็ยังไม่น่าจะครบ และในปี 2018 Louvre ก็ได้ทำลายสถิติโลก โดยเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดในรอบ 1 ปี (10.2 ล้านคน) หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตัวเลขพุ่งสูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 25% ก็น่าจะมาจาก MV เพลง Apeshit ของ The Carters (Beyoncé และ Jay-Z) ที่ยกกองมาถ่ายทำกันที่นี่ นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการเปิดกว้างให้วัฒนธรรมป๊อบในยุคปัจจุบันช่วยส่งเสริมงานศิลป์ระดับตำนานของโลก ซุปเปอร์สตาร์หมายเลข 1 ในบรรดางานศิลปะชิ้นสำคัญๆของโลกที่วางแสดงอยู่นับไม่ถ้วนในลูฟร์ น่าจะเป็นรูป Mona Lisa ต้นฉบับโดยฝีแปรงของ Leonardo da Vinci เพราะนางโดนรุมล้อมมากที่สุดมาทุกยุคทุกสมัย ชาวฝรั่งเศสเรียกรูปนี้ว่า La Joconde (ลา โจกนด์) แปลว่า นางผู้เป็นสุข จริงๆแล้ว Mona Lisa ก็มีประวัติลึกลับน่าสนใจมาก ไม่ว่าจะเป็นที่มาของรูป ใครคือผู้หญิงในรูปกันแน่ มาอยู่ที่ฝรั่งเศสได้ยังไง (ทั้งที่เป็นงานของศิลปินชาวอิตาลี) รวมไปถึงการที่มีคนค้นพบภาพวาดที่มีลักษณะแทบจะเหมือนกันเป๊ะอีก 1 รูปและมีการพิสูจน์แล้วว่าทั้ง 2 รูปเป็นงานในยุคเดียวกันอีกต่างหาก ปิรามิดแก้วที่เป็นอีกหนึ่ง Landmark ของ Paris นี้ออกแบบโดย I.M.Pei สถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ที่แรกๆก็ถูกต่อต้านอย่างมาก ทั้งตัวคนออกแบบและผลงานของเค้า แต่กาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์นั้นการเปิดรับย่อมให้ผลดีกว่าการปิดกั้นเสมอ Palais de Tokyo Musée D’art Moderne (ปาเลส์ เดอ โตกิโย) และ (มูเซ่ ดาร์ท โมแดร์น) “วังแห่งโตเกียว” ชื่ออาจจะชวนให้เดาว่าสถานที่แห่งนี้ต้องเป็นการร่วมมือกันระหว่างฝรั่งเศสและญี่ปุ่นแน่ๆเลย แท้ที่จริงแล้วชื่อนี้ได้มาจากชื่อถนนที่คั่นระหว่างอาคารแนว Art Deco แห่งนี้กับแม่น้ำ Seine ซึ่งแต่ก่อนถนนสายนี้มีชื่อว่า Quai de Tokio แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Avenue de New York Location: https://goo.gl/maps/V4xdDenhC9G9FqjY6 ตึกสวยขนาดใหญ่แห่งนี้แบ่งเป็น 2 ปีก โดยปีกฝั่งตะวันออกเป็นทรัพย์สินของนครปารีส มีชื่อว่า Musée D’art Moderne จัดแสดงงานศิลปะสมัยใหม่ที่หมุนเวียนกันไป ในโลกศิลปะคำว่า Modern Art นั้น หมายถึงงานศิลป์ที่สร้างขึ้นระหว่างปี 1860s-1960s น้าาา อย่าแปลตรงๆตัวแล้วคิดว่าเป็นงานยุคปัจจุบันล่ะ ถ้าเป็นงานศิลป์ยุคหลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบันจะใช้คำว่า Contemporary Art นะครับ การจัดวางของมิวเซี่ยมนี้จะไม่หวือหวาเหมือนอีกฝั่ง เดินง่ายๆให้อารมณ์เป็นผู้ใหญ่กว่า Palais de Tokyo (ปาเลส์ เดอ โตกิโย) อีกปีกของอาคาร (ปีกตะวันตก) นั้นเป็นของรัฐ บริหารจัดการภายใต้ชื่อ Palais de Tokyo/Site de création contemporaine ซึ่งปีกนี้จะฮิปและวัยรุ่นกว่ามาก (เหมาะกับวัยเรามากกว่าแหละ 555) ที่นี่คือมิวเซี่ยม Contemporary Art ที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส มีงาน conceptual installations มากมายที่ผลัดกันมาจัดแสดงในโซนต่างๆ และถ้าหากเลี่ยนงานอาร์ทก็ยังมีร้านหนังสือ/ของฝากให้ช้อปกันเพลิน และยังมีคาเฟ่/ร้านอาหารเท่ๆถึง 3 ร้าน ที่น่าสนใจคือมีผับที่ชื่อว่า The Yoyo ให้มาปาร์ตี้กันได้ด้วย แต่ต้องเช็คเวลากันดีๆก่อนนะ เพราะนางเปิดปิดไม่เป็นเวลา Location: https://goo.gl/maps/V4xdDenhC9G9FqjY6 งานที่จัดแสดงอยู่ ธีมคือ "ลอยอยู่กลางอากาศ" โดย Tomás Saraceno: ON AIR นี่ก็อีกงานที่เท่มาก ต้องต่อคิวเพื่อเราบุกเข้าไปในดงเส้นเคเบิ้ลที่ขึงเอาไว้กลางอากาศอย่างสวยงามตามแนว Abstract เมื่อได้เข้าไปแล้วจะจับต้องงานหรือจะถ่ายรูปก็ตามสบาย ถ้าเอานิ้วไปดีดเส้นสายเหล่านี้ก็จะเกิดเป็นเสียงดนตรีของแต่ละเส้นเลย โซนนี้ว่าด้วยงานผ้าร่ม งานบอลลูนต่างๆ ร้านหนังสือก็คือดีมากกกกกก มีหนังสือเป็นพันเป็นหมื่นเล่มที่เกี่ยวกับงานออกแบบทุกแขนงเลย ถุงผ้า ของเล็กๆก็มีนะ Centre Pompidou (ซองเทรอ ปอมปิดู) พิพิธภัณฑ์ Modern Art ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ได้ชื่อมาจากประธานาธิบดี Georges Pompidou เพราะเริ่มก่อสร้างในสมัยของเขาในยุค 70s Location: https://goo.gl/maps/GdLeDraLQvGPPtzD7 อาคารที่มีโฉมหน้าสะดุดตาแห่งนี้ถูกออกแบบตามคอนเส็ปต์ “Inside-Out” ที่เอาระบบท่อต่างๆที่ควรจะถูกซ่อนไว้ด้านในออกมาอวดลวดลายและสีสันอยู่ด้านนอก โดยพระเอกที่ถูกเอาออกมาโชว์อยู่ด้านหน้าตึกก็คงจะหนีไม่พ้นอุโมงค์บันไดเลื่อนที่พาดผ่านกลางอาคารจากมุมล่างซ้ายขึ้นไปจนถึงมุมบนขวาเลยทีเดียว เดาเอาเองว่าดีไซน์นี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานบันไดเลื่อนหน้าห้าง Central World ของเรา และรวมถึงตึก Fortune Town ที่แยกพระราม 9 ด้วย Centre Pompidou สูง 10 ชั้น แบ่งเป็น 3 โซนใหญ่ๆ คือ 1) ห้องสมุดสาธารณะ 2) พิพิธภัณฑ์ Modern Art ที่มีพื้นที่เกือบ 20,000 ตารางเมตร และ 3) ศูนย์วิจัยดนตรีและการได้ยิน ชิ้นงานระดับ Master Piece กว่า 100,000 ชิ้นที่จัดแสดงอยู่ภายในนั้นเดินดูได้หลายวันก็ยังไม่หมด ไม่ว่าจะเป็นเพ้นท์ติ้งชั้นครูของ Picasso, Mondrian, Matisse ฯลฯ หรืองานล้ำๆในยุคใหม่ขึ้นมาของ Andy Warhol, Yves Klein, Olafur Eliasson ฯลฯ กระทั่งงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ต่างๆโดย Philippe Starck, Alvar Aalto หรือ Jean Prouvé Jean Dubuffet Jardin d'Hiver นอกจากนี้ชั้นบนยังมีร้านอาหารวิวงาม "Restaurant Georges" และร้านขายหนังสือ/ของที่ระลึกเก๋ๆด้วย Musée d'Orsay (มิวเซ่ ดอร์เซย์) จากสถานีรถไฟที่มีสถาปัตยกรรมวิจิตรงดงามตามสไตล์ Beaux-Art (โบซารท์) อายุกว่า 120 ปี ที่เกือบจะถูกทำลายทิ้ง กลับกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์อันเลอค่าซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1986 และเน้นจัดแสดงงานศิลป์สัญชาติฝรั่งเศสเป็นหลัก Location: https://goo.gl/maps/9R2kGGcWFsqcLyQP8 แต่เดิมนั้น มิวเซ่ ดอร์เซย์ ถูกวางตำแหน่งมาให้เติมเต็มช่องว่างระหว่าง Louvre ที่จัดแสดงงานระดับตำนานประวัติศาสตร์โลก และ Centre Pompidou ที่เน้นงานยุคใหม่ ที่นี่จึงเป็นที่เน้นงานศิลป์ในยุคกลางเก่ากลางใหม่ในช่วงปี 1848-1914 และเป็นแหล่งรวมผลงานแนว Impressionism และ Post-Impressionism ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากใครชอบฝีแปรงที่ถ่ายทอดความงดงามชวนฝันของสีสันและแสงตกสะท้อนเช่นเดียวกับเรา รับรองว่าคุณจะต้องตกหลุมรักงานที่จัดแสดงอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน งาน master piece ของ ทั้ง Monet, Manet, Renoir, Cézanne, Seurat และ Van Gogh ต่างก็ถูกนำมาให้เราได้ยลโฉมเป็นบุญตากันที่นี่ เสน่ห์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ที่ความลงตัวในเรื่องของขนาดพื้นที่ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป สถาปัตยกรรมอันทรงเสน่ห์ของตัวอาคาร และงานศิลป์ที่งดงามจนน้ำตาซึม อ่อ! อีกอย่าง บนชั้น 5 ของที่นี่ยังมีมุมถ่ายรูปยอดฮิตที่มีนาฬิกาขนาดยักษ์เป็นแบ็คกราวนด์เก๋ๆให้ด้วยนะ นาฬิกาลวดลายวิจิตรขนาดยักษ์นั้นเป็นหนึ่งเอกลักษณ์ของมิวเซี่ยมแห่งนี้ คงเพราะเคยเป็นสถานีรถไฟมาก่อน เมื่อ Vincent van Gogh วาดรูปตัวเอง เรามากินมื้อเที่ยงกันที่นี่ ...ร้านอาหารในพิพิธภัณฑ์มี 2 ร้าน ในรูปคือ Restaurant du Musée d'Orsay และอีกที่ก็คือ Café Campana ที่ต่างก็มีอินทีเรียร์ที่ช่างเว่อร์วังอลังการ จนเราลืมสนใจรสชาติอาหารไปเลย Musée de l'Orangerie (มิวเซ่ เดอ ลอรองเจอรี่) Orangerie แปลว่าโรงเรือนสำหรับปลูกต้นส้ม ซึ่งชื่อก็บอกตรงตัวเลยว่าก่อนที่กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างในปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ที่ใช้ในการปลูกต้นส้มมาก่อน Location: https://goo.gl/maps/gfRarc3PBea8B9fc9 ไฮไลท์ของที่นี่คือห้องที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อจัดแสดงภาพวาดระดับตำนานในซีรี่ส์ “Nymphéas” (หรือ “Water Lilies” ในภาษาอังกฤษ) ของ Claude Monet ปรมาจารย์ศิลปะแนว Impressionism โดยเฉพาะ มีผู้ที่ศึกษางานของ Monet กล่าวว่า สิ่งที่ Monet ระบายลงไปไม่ใช่แค่รูปดอกบัวในบึงเท่านั้น แต่เขาได้บันทึกการเต้นระบำของแสงลงไปในภาพผ่านฝีแปรงอัจริยะของเขา และเราก็เห็นด้วยตามนั้น โปรเจ็คท์พิเศษนี้เริ่มต้นในปี 1922 เมื่อ Monet เสนอตัวบริจาคงานจิตรกรรมฝาผนังให้กับรัฐเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับการสิ้นสุดลงของสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นที่ปรึกษาให้กับการออกแบบพื้นที่จัดแสดงด้วยตัวเองโดยตั้งใจจะติดตั้งภาพเขียนแบบพาโนรามาลงบนผนังโค้งของผนังอาคารทรงรีและเน้นใช้แสงธรรมชาติซึ่ง Monet เชื่อว่าเหมาะกับการชมภาพวาดของเขามากที่สุด แต่สุดท้ายฮีกลับหวงงานไม่ยอมปล่อยภาพของตัวเองออกมาให้ทีมงานติดตั้ง จนกระทั่งฮีเสียชีวิตลงเมื่อปลายปี 1926 ภาพบัวในบึงพาโนรามาโค้งขนาดใหญ่ทั้งหมด 8 ภาพ จึงได้ถูกนำมาติดตั้งให้สาธารณชนได้ชมที่นี่ในช่วงต้นปีถัดมา ที่จริงแล้วภาพในซีรี่ส์ Nymphéas (นีมเฟอาส) นี้ เป็นภาพจิตรกรรมรูปบัวในสระที่บ้านของ Monet เอง ซึ่งเขาได้ใช้พู่กันบันทึกรูปดอกบัวและน้ำในสภาพแสงต่างๆไว้กว่า 250 ภาพลงบนผืนผ้าใบหลายขนาด และทั้ง 250 ภาพนี้ก็กระจายตัวอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั่วโลก แต่ทั้ง 8 ภาพไซส์ใหญ่พิเศษที่ Musée de l'Orangerie แห่งนี้เป็นงานที่ Monet ดีไซน์มาให้เหมาะกับสถานที่จัดแสดงโดยเฉพาะ จึงน่าจะนับได้ว่าเป็นหนึ่งในงานชิ้นโบว์แดงที่สุดของเขา และเราก็ไม่สามารถหาชมได้จากที่อื่น ใช่ว่าที่ Orangerie จะมีแค่ผลงานของ Monet นะครับ มิวเซี่ยมแห่งนี้ยังมีงานที่สำคัญจากศิลปินชั้นครูท่านอื่นๆอีกมากมาย เช่น Henri Matisse, Amedeo Modigliani, Pablo Picasso, Pierre-Auguste Renoir, Henri Rousseau เป็นต้น รวมถึงงานจัดแสดงชั่วคราวของศิลปินจากอีกหลายยุคหลายประเทศที่สลับสับเปลี่ยนมาให้ชมกัน ในรูปคืองานชุด “The Cruel Stories of Paula Rego” โดย Paula Rego ศิลปินชาวโปรตุเกส ที่ถูกนำมาจัดแสดงเป็นนิทรรศการชั่วคราว ณ ตอนที่เราไป Lafayette Anticipations (ลาฟาเย็ตต์ อองติซิปาซิยง) สร้างขึ้นโดยมูลนิธิของห้างดังอย่าง Galeries Lafayette เราสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นโลโก้ที่หน้าเว็ป เพราะมันช่างถูกจริตเราเหลือเกิน ที่นี่เป็นเหมือนมิวเซี่ยมเล็กๆแต่เท่มากๆ เน้นงาน contemporary art งานดีไซน์และแฟชั่น ตลอดจนงานสร้างสรรค์เชิงทดลองต่างๆจากศิลปินทั่วโลก ค่าเข้า Exhibitions : free admission Events : from 5 to 15 € เปิด 11:00–19:00 ทุกวันและปิดวันอังคาร Location: https://goo.gl/maps/ramg8DG88oXqziWr5 งาน Contemporary Art ภายใน Lafayette Anticipations ความดีงามที่เอ็กซ์ตร้าไปอีกก็คือที่นี่มีคาเฟ่เฮลตี้จากร้านมังสวิรัติชื่อดังอย่าง Wild and the Moon มาเปิดอยู่ด้วย ส่วนทางออกอีกทางจะเป็นโซน Gift Shop เล็กๆ มีของที่ทั้งสวยดีไซน์เจ๋ง เก๋ เท่ น่ารักเยอะแยะไปหมดเลย ให้ทายซิว่าเสียเงินมั้ย 55555 Galerie Perrotin (กาเลอรี่ แปร์โรตัง) เป็นห้องแสดงงานศิลปะในย่าน Le Marais สุดฮิป ที่นี่เขาจะผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนงานของศิลปินดังๆระดับโลกมาโชว์ให้ดูฟรีกันตลอดทุกปี ที่นี่เข้าฟรีนะ เปิด 11:00–19:00 ทุกวันและปิดเฉพาะวันจันทร์ อังคาร Location: https://goo.gl/maps/cJJ9r3BKQkfNgJoV8 ตอนที่เราไปกัน มรการจัดแสดงผลงานของ ELMGREEN & DRAGSET (เอ็ล์มกรีน แอนด์ แดรกเซ็ท) ใครนึกไม่ออกให้นึกถึงงาน Bangkok Art Binale เค้าก็มาตั้งผลงานสระของเขาที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะ งานของเค้าจะจำง่ายก็คือ ประติมากรรมจัดวางสระน้ำแนวตั้ง ซึ่งเค้าทั้งสองคนก็ได้สร้างการนำเสนองานศิลปะรูปแบบใหม่ที่จะให้ผู้ชมมีประสบการณ์ร่วมกับงานของเค้า Gagosian Gallery (กาโกเซี่ยน แกเลอรี่) Gagosian เป็นเครือข่ายแกลอรี่ศิลปะที่มีอยู่ 17 สาขาทั่วโลก และปารีสก็เป็นหนึ่งในนั้น แกเลอรี่ Gagosian นั้นโฟกัสที่งานศิลปะสมัยใหม่ที่ค่อนข้าง conceptual และ progressive ถ้าใครเดินเล่นอยู่แถวๆสถานี Franklin D. Roosevelt บนถนน Avenue des Champs-Élysées ก็แวะเข้าไปเยี่ยมชมกันได้เลย ที่นี่มักจะมีงานล้ำๆให้ชมกันได้ฟรีๆเลยน้า Location: https://goo.gl/maps/nrNn9NgEMxBwNyiV ช่วงที่เราไปเป็นการ Exhibition ในชื่อ SEXE, RELIGION, POLITIQUE (เซ็กส์ ศาสนา และการเมือง) โดยศิลปินนามว่า Albert Oehlen เป็นไงกันบ้างครับ เสพแล้วก็ save แรงบันดาลใจเอาไว้ในใจด้วยนะครับ อย่าลืมว่า you are what you eat หากเราเสพสิ่งที่สวยงาม เราก็จะกลายเป็นความสวยงามนั้น ใครจะไปรู้ว่างานศิลป์ที่คุณเสพเข้าไปในวันนี้ อาจจะกลายเป็นวัตถุดิบให้กับผลงานที่คุณสร้างขึ้นสักวันหนึ่งในอนาคตก็ได้ ขอบคุณที่ #hop ไปกับเราครับ Facebook/Instagram: @hoparound.co Youtube: @hoparound.co Website www.hoparound.co #LetsHoparoundPARIS #LetsHoparound #FondationLouisVuitton #Travel #Paris #Musuem #Gallery #ริวิวพิพิธภัณฑ์ในปารีส #เที่ยวปารีส #ที่เที่ยวปารีส #เที่ยวปารีสด้วยตัวเอง #ปารีส #หลุยส์วิตตอง #รวมพิพิธภัณฑ์ในปารีส #พิพิธภัณฑ์ #เที่ยวปารีสด้วยตัวเอง #GagosianGallery #LafayetteAnticipations #GaleriePerrotin #MuséedelOrangerie #MuséedOrsay #CentrePompidou #PalaisdeTokyo #MuséeDartModerne #MuséeduLouvre
- Aesop - Rōzu Eau de Parfum
ย้อนเวลา 100 ปีสู่สถาปัตยกรรมยุคโมเดิร์น ผ่านน้ำหอมกลิ่นที่ 4 จากบ้าน Aēsop ช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างศตวรรษที่ 19 และ 20 ท่ามกลางการเกิดขึ้นของวัสดุในการก่อสร้างใหม่ๆอย่างเหล็กหล่อ สารเคลือบโลหะ กระจก และคอนกรีต ประกอบกับวิถีความเป็นเมืองก็เริ่มหนาแน่นไปด้วยผู้คนเกินกว่าที่สถาปัตยกรรมแบบเก่าจะรองรับได้ การเคลื่อนไหวเชิงสถาปัตยกรรมแบบ Modern Architecture จึงได้ก่อตัวขึ้นโดยยึดเอาคอนเส็ปต์ Function Over Form คือประโยชน์ใช้สอยต้องมาก่อนรูปแบบความสวยงาม และเน้นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาคารทั้งหลัง ผลลัพธ์คือความหนักแน่นและเกลี้ยงเกลาที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลกอย่างยาวนานจนถึงทศวรรษ 80s เลยทีเดียว หนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลอย่างมากในงานสถาปัตยกรรมยุคนี้ก็คือศิลปิน/นักคิด/นักวางผังเมืองและสถาปนิกชาวสวิส-ฝรั่งเศส (หลายตำแหน่งจัง) ที่ชื่อ Charles-Édouard Jeanneret-Gris หรือตามฉายาที่เขาตั้งให้กับตัวเองว่า Le Corbusier บุรุษระดับตำนานผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มแนวคิดการสร้างที่พักอาศัยที่สามารถซ้อนกันขึ้นไปเป็นตึกเพื่อตอบสนองความหนาแน่นของประชากรในเมืองยุคใหม่ รวมทั้งแนวคิดที่ว่าที่พักอาศัยควรจะสามารถเข้าถึงระบบคมนาคมได้อย่างสะดวกสบาย ประเด็นนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติในสมัยนี้ แต่ในยุคของเขานั้นไม่เคยมีใครหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพูดอย่างจริงจัง ดังนั้น Le Corbusier จึงเป็นบุรุษผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และหนึ่งในผู้กรุยทางให้เมืองเป็นเมืองอย่างในทุกวันนี้ ในปัจจุบันผลงานของเขาได้รับบรรจุให้เป็นมรดกโลกกว่า 17 ชิ้น ใน 7 ประเทศทั่วโลก หลายคนคงเริ่มสงสัยว่าเจ้าน้ำหอมนี้เกี่ยวอะไรกันกับงานสถาปัตยกรรมยุคนี้ ค่อยๆตามเรามานะ เราจะเผยให้ฟัง หนึ่งในทีมงานตัวจี๊ดคนหนึ่งของ Le Corbusier เป็นสุภาพสตรีมากความสามารถชื่อ Charlotte Perriand เธอเป็นผู้รับผิดชอบงานตกแต่งภายในในหลายโปรเจ็คท์ของเขา เปรียบเสมือนเป็นมือขวาเลยก็ว่าได้ แม้จะไม่ได้พื้นที่สื่อมากเท่ากับ Le Corbusier แต่แนวคิดและฝีมือของเธอในการยกระดับ “The Art of Living” นั้นไม่เป็นรองใคร และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Le Corbusier ในหลายๆโครงการ โดยเฉพาะในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่มีการผสมเอาวัสดุและเทคนิคใหม่ๆในขณะนั้น จนกลายเป็นผลงานสุดคลาสสิคที่ยังเป็นที่ต้องการและยังผลิตมาขายจนถึงทุกวันนี้ Charlotte Perriand เป็น icon คนสำคัญในแวดวงตกแต่งภายใน ด้วยแนวคิดที่เชื่อว่า The Art of Living นั้นคือการมีชีวิตที่สอดคล้องกลมกลืนกับแรงขับเคลื่อนเบื้องลึกของมนุษย์และกับสภาพแวดล้อมที่เขาสร้างขึ้นและที่เขาเลือกรับเข้ามาในชีวิต อาจจะด้วยแนวคิดนี้กระมังที่ทำให้เธอพยายามเลือกสภาพแวดล้อมใหม่ๆอยู่เสมอ และเลือกที่จะไม่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ Le Corbusier ตลอดไป เธอตัดสินใจที่จะออกไปสำรวจเส้นทางของตัวเอง และได้ร่วมงานกับผู้คนระดับตำนานอื่นๆอีกมากมาย ผลงานของเธอถูกหล่อหลอมขึ้นจากความรักในธาตุวัตถุที่มีอยู่ในธรรมชาติ ความเชื่อในความเท่าเทียมกันของมนุษย์ และการเดินทางออกไปเผชิญโลกกว้าง โดยมีช่วงหนึ่งที่เธอต้องย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นและเวียดนามนานเกือบ 6 ปีเพราะเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้กลิ่นอายความเป็นตะวันออกนั้นเจืออยู่บางๆในงานของเธอนับแต่นั้นเป็นต้นมา และในระหว่างที่อยู่ญี่ปุ่นเธอก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยยกระดับงานดีไซน์ในญี่ปุ่นเพื่อตลาดตะวันตกอีกด้วย ไม่นานมานี้ Barnabé Fillion นักออกแบบน้ำหอมชาวฝรั่งเศสชื่อดังที่ร่วมงานกับ Aēsop มาอย่างยาวนาน ได้รับโจทย์ให้รังสรรค์น้ำหอมกลิ่นที่ 4 ให้กับทางแบรนด์ คราวนี้เขาได้รับบันดาลใจมาจากชีวิต Charlotte Perriand สตรีผู้อ่อนโยนทว่าหนักแน่น สตรีผู้ผสมผสานความเป็นตะวันออกเข้ากับความเป็นตะวันตก สตรีผู้หยิบเอาวัสดุธรรมชาติมาหลอมรวมกับเทคนิคใหม่ๆที่มนุษย์คิดค้นขึ้น สตรีผู้เนรมิตปรัชญานามธรรมให้กลายเป็นผลงานที่จับต้องได้ แน่นอนว่าน้ำหอมกลิ่นที่ 4 ที่จะต้องถ่ายทอดความซับซ้อนทั้งหมดนี้ จะต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์และจมูกที่เป็นเลิศของมืออาชีพระดับโลกเท่านั้น เราปลื้มที่ Fillion เลือกเล่าชีวิตของ Perriand ผ่านดอกกุหลาบ แต่ไม่ใช่แค่กุหลาบธรรมดา แต่เป็นวงจรชีวิตทั้งหมดของกุหลาบวาบะระ กุหลาบสวนกลีบซ้อนกันแน่นสายพันธุ์ญี่ปุ่น โดยเริ่มตั้งแต่ยังเป็นเมล็ดพันธุ์ในดิน จนเติบโต เบ่งบาน และร่วงโรยไปตามกาลเวลา ดังนั้นนอกจากความหอมหวานของกุหลาบแล้ว Rōzu ยังอบอวลไปด้วยไอดิน กลิ่นใบเขียว เปลือกไม้หอม รวมไปถึงเครื่องเทศที่ล้วนต่างมีที่มีทางอยู่ด้วยกันอย่างลงตัว นี่จึงไม่ใช่น้ำหอมกลิ่นกุหลาบหวานเจี๊ยบ แต่เป็นกลิ่น unisex ที่มีครบทุกมิติ ลุ่มลึก หนักแน่น ทรงเสน่ห์ เช่นเดียวกับบุคลิกและความเชื่อในเรื่องความเท่าเทียมกันของ Perriand กลิ่นหอมหวลจากกลีบกุหลาบวาบะระนั้นถูกโอบอุ้มเพิ่มมิติความหอมและลดทอนความหวานลงด้วยส่วนผสมที่ซับซ้อนมากมายทั้ง เพตติเกรน เบอร์กามอต ใบชิโสะ (ท่ี Charlotte โปรดปรานตลอดการใช้ชีวิตในญี่ปุ่นของเธอ) พิงค์เพพเพอร์ อิลัง อิลัง ดอกมะลิ ซ้อนเลเยอร์ความสโมคกี้ด้วยกลิ่นจากไม้กวาแอค เติมความอบอุ่นด้วยกลิ่นไม้แซนดัลวู้ด นอกจากนี้ยังมีแวติเวอร์ พัทชูลี เมอร์และปิดท้ายด้วยความเย้ายวนจากมัสก์ นี่คือความ Sophisticated ของกลิ่นที่น่าทึ่ง และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือผลลัพธ์ที่ลงตัวเมื่อสัมผัสผิวกายก็กลายเป็นเสน่ห์ความหอมที่เปี่ยมรสนิยม ติดอยู่แค่นิดดดดดเดียว เราอยากให้กลิ่นหอมๆติดอยู่บนผิวเรานานกว่านี้อีกซักหน่อย เราชอบกระบวนการสร้างสรรค์ที่ให้ความเคารพต่อประวัติศาสตร์ และเรื่องราวของบุคคลที่น่ายกย่อง เราชื่นชมการตีความและสื่อสารปรัชญานามธรรมให้ออกมาเป็นสินค้าที่ผู้คนสามารถนำมาใช้ได้จริง อันที่จริงเรามองว่าการเลือกใช้น้ำหอมนั้นก็เป็นการสื่อสารถึงตัวตนของเราให้คนรอบข้างได้รับรู้อย่างมีชั้นเชิงโดยไม่ต้องใช้คำพูดอธิบายให้เสียเวลา แน่นอนว่าในแต่ละวันเราก็อยู่ในอารมณ์และสถานการณ์ที่ต่างกันไป หากวันไหนคุณรู้สึกอยากจะบอกคนรอบข้างให้รู้ว่าคุณเป็นคนละเมียดละไม เข้มแข็งแต่อ่อนหวาน อบอุ่นและเย้ายวน ลองฉีด Rōzu น้ำหอมกลิ่นที่ 4 จาก Aēsop นี้ดูสิ เราว่าเขาน่าจะเก็ตนะ . Where to buy: Aesop counter at Central Department Store Website: www.central.co.th/th/aesop, www.aesop.com . FB/IG: @hoparound.co Website: www.hoparound.co . Image Credit: Aesop.com, nemolighting.com #AesopSkincare #AesopThailand #LetsHoparound #ParsleySeed #รีวิวAesopRozu #รีวิวAesopPerfume #รีวิวAesop #รีวิวเอสอป #รีวิวเครื่องสำอางค์ #ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
- Karst กลิ่นหอมจากชายฝั่ง Othertopias คอลเล็คชั่นน้ำหอมใหม่ล่าสุดจาก Aesop
Karst กลิ่นหอมจากชายฝั่ง Othertopias คอลเล็คชั่นน้ำหอมใหม่ล่าสุดจาก Aesop คุณเคยได้กลิ่นของจินตนาการไหมครับ กลิ่นของดินแดนในอีกมิติที่สมจริงจนแยกไม่ออกว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่ ทั้งคุ้นเคยแต่ก็แปลกตาไปพร้อมๆกัน ที่ที่เส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงกับมายานั้นช่างบางและเบลอเสียเหลือเกิน นั่นแหละครับคือโจทย์ที่ Aesop ตั้งให้กับคุณ Barnabé Fillion นักปรุงกลิ่นหอมชาวฝรั่งเศสที่ร่วมงานกับ Aesop มาตลอด 8 ปี เพื่อรังสรรค์ Collection น้ำหอมใหม่ล่าสุดในนาม “Othertopias” เราขอแปลเองว่า “ดินแดนอื่นใด” ด้วยคอนเส็ปต์ “Elsewhere here” (ที่อื่นที่อยู่ตรงนี้) ฟังแล้วอาจดูย้อนแย้งและทำให้สับสน แต่การเบลอเส้นแบ่งแห่งตรรกะนี่แหละครับที่ Aesop จะใช้พาเราเข้าสู่ดินแดนมหัศจรรย์ที่ซ้อนทับกันอยู่กับที่ตรงนี้ที่เราอยู่ ในคอลเล็คชั่น “ดินแดนอื่นใด” ที่ไม่จริงไม่หลอกแห่งนี้ เป็นถิ่นที่อยู่ของความหอมกลิ่นที่ 5-6-7 ของแบรนด์ Aesop ซึ่งคราวนี้เค้าเปิดตัวทีเดียว 3 กลิ่นรวดเพื่อเป็นตัวแทน 3 สถานที่ในความฝันที่เป็นจริง คือ Miraceti (ตัวแทนท้องทะเล) Karst (ตัวแทนชายฝั่ง) และ Erémia (ตัวแทนดินแดนที่ถูกทิ้งร้าง) ตอนนี้เรากำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับ Karst มนต์วิเศษจากชายฝั่งอันหอมฟุ้งของดินแดน Othertopias และอยากจะชวนเพื่อนๆชาว #hopsters มาล่องลอยสู่ฝันหวานไปด้วยกันครับ ณ ที่แห่งนี้ อากาศกำลังฟุ้งไปด้วยกลิ่นแคลเซี่ยมจากโฟมน้ำเค็มที่กระเซ็นซู่ซ่าเมื่อถาโถมเข้ากระทบกับผาหินและแผ่นดิน จังหวะรุกคืบและถอยร่นของกระแสคลื่นก็ไม่ต่างอะไรกับการหายใจเข้า-ออกของเรา พืชพรรณหลากชนิดที่งอกงามอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ไม้พุ่มล้มลุกไปจนถึงไม้ใหญ่ยืนต้นต่างก็พากันส่งความหอมเฉพาะของตัวเองออกมาพูดคุยกัน หนักบ้าง เบาบ้าง หวานบ้าง ขมบ้าง ผสมกันจึงสมดุลพอดี ไกลออกไปพายุฝนอึมครึมก็กำลังก่อตัวขึ้นและมุ่งหน้ามาพร้อมกับกลิ่นแห่งความชุ่มชื้นของหยาดฝนที่ค่อยๆโปรยตัวลงสู่ผืนดินแทนที่ความแห้งแล้งที่เป็นเจ้าถิ่นมานาน Karst เปิดการรับรู้ของเราด้วยความเขียวอ่อนๆของ Juniper จากนั้นสายลมที่อุดมด้วย Oxygen ก็พัดพาเอากลิ่นอายทะเลเข้าสู่จมูกของเราผ่านกลิ่นเบาๆของสาหร่ายที่ถูกสกัดเอา CO2 ออกไปแล้ว สอดประสานกันพอดีกับความสดชื่นจาก Black Pine, Eucalyptus Absolute, Pink Pepper และ Black Pepper ก่อนที่ความหอมของ Bergamot, Rosemary และ Sage จะเข้ามาร่วมวงสนทนาจนอื้ออึงอบอวลไปหมด นอกจากนี้คุณ Fillion ยังแอบโปรยความ Exotic ของ Cumin และ Ginger เพิ่มเข้าไปอีกนิดหน่อยด้วย เราไม่รู้ว่าไอดินกลิ่นฝนนั้นถูกปรุงขึ้นมาจากอะไรบ้าง แต่ความ Earthy ของ Vetiver ก็น่าจะช่วยอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดความซับซ้อนทั้งหมดก็ถูกโอบอุ้มเอาไว้ด้วยความอบอุ่นของไม้หอมอย่าง Cedar และ Sandalwood เป็นอันครบองค์ประกอบพีระมิดกลิ่น Karst ที่น่าหลงไหลนี้ หากอ่านแล้วยังแอบงงอยู่ ขอให้มั่นใจเถอะครับว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ เมื่อบวกลบคูณหารออกมาแล้ว ผลลัพธ์ก็คือ Karst นั้นเป็นกลิ่นที่หอมมากจริงๆ เราฉีดไว้ที่ข้อมือก็ยังอดยกขึ้นมาดมบ่อยๆไม่ได้เลยครับ เป็นความหอมสะอาดๆแบบ Genderless สำหรับทุกเพศที่ทั้งสดชื่นและอบอุ่น จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่าซับซ้อนก็ซับซ้อนเช่นกัน เหมือนกับที่ทางแบรนด์ตั้งโจทย์ไว้ให้เราแยกความจริงกับความฝันไม่ออกนั่นแหละครับ ยังไงก็แวะไปลองดมกลิ่นจินตนาการกันได้ที่ Aesop ทุกสาขานะครับ น้อง Karst (และเพื่อนๆกลิ่นใหม่อีก 2 กลิ่น) ขนาด 50 ml.ราคา 6,400 บาท บรรจุมาในกล่องที่ด้านในพิมพ์ลายผลงานของ Jack Coulter ศิลปินภาพวาดจาก Belfast ด้วยครับ ขอปรบมือให้กับการนำเสนอที่เก็บรายละเอียดกันได้ดีมากๆครับ ‘It is not down to any map, true places never are.” - Herman Melville #LetsHoparound
- LOAF Bakers & Brewers โลฟ เบกเกอร์สแอนด์บรูวเวอร์ส คาเฟ่พัทยา
LOAF ความอิ่มเอมใจที่ถูกจินตนาการขึ้นใหม่ เมื่อ LOAF (โลฟ) ร้านเบเกอรี่ชื่อดังแห่งพัทยาที่เปิดมานานกว่า 10 ปีได้รับการ Reimagined คอนเส็ปต์ใหม่ทั้งหมด เพื่อยกระดับซีนคาเฟ่ขึ้นไปอีกขั้น คราวนี้มาในชื่อเต็มว่า LOAF Bakers & Brewers เพราะต้องการเน้นไปยังคนในทีมที่มาร่วมกันส่งมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า และในโปรเจ็คท์นี้ Hoparound.co ก็ได้ร่วมดีไซน์งานแบรนดิ้งต่างๆของร้านรวมถึง Logo ด้วย คุณเค้ก บีไฟว์ ผู้ก่อตั้งร้าน LOAF เราดึงเอาแรงบันดาลใจมาจากพิมพ์ขนม และเนื้อขนมปังที่นุ่มฟู ในการออกแบบ Logo ใหม่ให้กับ LOAF ตัวอักษรจึงมีความหนาอวบอิ่มเป็นพิเศษ อีกนัยหนึ่งก็เพื่อสื่อถึง “ความอิ่มเอมใจ” ซึ่งเป็นนิยามที่ LOAF ให้ไว้กับความหมายของชื่อตัวเอง (นอกเหนือจากความหมายตาม Dictionary ที่แปลว่าก้อนขนมปัง) ซึ่งเป็นที่มาของสโลแกน we LOAF you “เราจะทำให้คุณอิ่มเอมใจ” ที่ทางร้านยึดถือมาตั้งแต่เปิดร้านเมื่อปลายปี 2010 ในการพลิกโฉมใหม่คราวนี้ LOAF ยังได้ถือโอกาสแนะนำน้อง Doughy (โดอี้) ที่น่ารักเป็นบ้า มาปรากฏกายเป็น Mascot ใหม่ของแบรนด์ จากชื่อก็น่าจะพอเดากันออกอยู่แล้วว่าได้แรงบันดาลใจมาจากก้อน Dough นุ่มๆก่อนจะมาเป็นขนมปัง โดย LOAF ได้นำรอยยิ้มที่มีขีดตรงหางตาซึ่งเป็น Icon ประจำร้านที่ลูกค้าจดจำได้ตั้งแต่มาปี 2014 มาใช้เป็นใบหน้าของน้องโดอี้ด้วย เรื่องคุณภาพของ Bakery (โดยเฉพาะ Stikky Buns มะพร้าววววว) ซึ่งเป็นดั่งนางเอกตลอดกาลของ LOAF นั้นคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากเพราะลูกค้าที่แวะเวียนมาอุดหนุนตลอด 10 ปีที่ผ่านมาน่าจะเป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่เมื่อ LOAF แปลงโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่แล้ว จึงถือโอกาส Upgrade ผลิตภัณฑ์ให้พรีเมี่ยมมากขึ้นด้วย ตั้งแต่เรื่องต้นทางอย่างเช่นวัตถุดิบ ไปจนถึงการลงทุนในเครื่องจักรประสิทธิภาพสูง และขั้นตอนการทำที่พิถีพิถันมากยิ่งขึ้น ควบคุมคุณภาพกันถี่ยิบไปจนถึงอุณหภูมิของห้องที่ใช้ในการขึ้นรูปขนมเลย ท่ามกลางกระแสครัวซองต์ที่เกิดขึ้น เราต้องยอมรับว่าครัวซองต์ของ LOAF เลอค่ามากๆ ความทุ่มเทในการคุมเข้มทุกรายละเอียดนั้นส่งผลลัพธ์ที่เราสัมผัสได้จริงๆ LOAF ใช้วัตถุดิบท็อปเกรดนำเข้าจากยุโรปแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแป้ง ยีสต์ ช็อคโกแลต หรือเนยที่ได้ตรา AOP รับรองว่ามาจาก 1 ใน 3 แหล่งควบคุมพิเศษในฝรั่งเศสเท่านั้น และยังมีเค้ก Gluten Free รสชาติเยี่ยมเพื่อรองรับลูกค้าที่แพ้ Gluten รวมไปถึงขนม Vegan เอาใจสายพืชด้วย นอกจากนี้ LOAF ยังได้ Upgrade พระเอกสุดหล่อในร้านด้วยนั่นก็คือกาแฟชั้นยอด เพื่อให้การเสพคาเฟ่ของลูกค้านั้นสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปอีก โดยทางร้านเลือกใช้เครื่อง Modbar ที่คอกาแฟสาย Speedbar ต่างยอมรับถึงประสิทธิภาพในการสกัดช็อตกาแฟขั้นสูง (แน่นอนว่าราคาก็สูงตามไปด้วย) และ LOAF ได้คัดเลือกเมล็ดกาแฟที่น่าสนใจหมุนเวียนมาให้ลูกค้าได้ลิ้มลองกันอย่างต่อเนื่อง จากที่เราได้ลอง House Blend ของทางร้าน (ใช้ชื่อว่า LOAF BLEND) ซึ่งมีรสชาติโทน Balanced และ Nutty เราก็ประทับใจกับความกลมกล่อมหอมมันของกาแฟมากๆเลยล่ะ แต่ถ้าจะถามว่าเมนูกาแฟไหนเป็น Signature ของ LOAF เราอยากให้ลอง LOAFFEE กาแฟรสมะพร้าวซึ่งมีทั้งเวอร์ชั่น Black กับ White ขอแอบกระซิบเบาๆว่าเวอร์ชั่น Green ที่ชงด้วยมัทจะ Uji Hikari เกรด Excellent ก็กำลังจะตามมาเร็วๆนี้ เราได้ชิมแล้ว อร่อยสุดๆเลย Black Loaffee 130.- Raspberry Lemonade 120.- Matcha Latte 160.- Uji Hikari ครัวซองต์ปู เป็นครัวซองต์ซิกเนเจอร์ของที่นี่ 225.- เนื้อปูล้วนแน่นๆปรุงแบบล็อบสเตอร์โรลล์ต้นตำรับรัฐ MAINE, USA แพ็คเกจจิ้งต่างๆของทางร้าน สำหรับงานดีไซน์ร้านนั้น ใครที่เคยมาพัทยาก็คงจะนึกภาพแสงสีและความไม่ค่อยเป็นระเบียบของเมืองออก LOAF จึงแก้โจทย์ด้วยการออกแบบร้านให้เป็นเหมือนถ้ำที่เมื่อเข้ามาแล้วให้ความรู้สึกประหนึ่งได้หลบเข้ามาสู่ความอบอุ่นสวยงาม ราวกับอยู่คนละโลกกับความวุ่นวายด้านนอก ภายในร้านจึงเต็มไปด้วยความโค้งมนและคุมโทนให้เป็นสีครีมโมโนโทนทั้งหมด นอกจากจะทำให้ดูนุ่มนวลสบายตามากๆแล้ว ยังเป็นพื้นหลังที่เพอร์เฟ็คท์ให้กับ Item ตกแต่งที่มาช่วยแต้มสีสันสดใสให้กับร้านได้อย่างเหมาะเหม็ง ของตกแต่งจาก Norse Republics, HAY และ โคมไฟจาก Menu Reverse Table Lamp จากแบรนด์ Menu Perspective Table จากแบรนด์ EO ประเทศ Denmark งานออกแบบและตกแต่งทั้งหมดควบคุมโดยคุณเค้ก (B5) เจ้าของร้าน และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง hoparound.co ของเราด้วย โดยทำงานร่วมกันกับคุณโจ วัชชรากร สถาปนิกฝีมือดีแห่งเมืองพัทยา แม้จะเป็นร้านของคนกันเอง แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เราได้รับรู้ถึงรายละเอียดที่ปรากฏอยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เราเองก็รู้สึกปลื้มใจ (แกมอิจฉานิดหน่อย) แทนชาวพัทยาและพื้นที่ใกล้เคียงที่มีของคุณภาพให้เสพกันแบบนี้ เพราะ LOAF นั้นยอดเยี่ยมหมดจด ทั้งในเรื่องของงานดีไซน์ไปจนถึงคุณภาพสินค้าจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง “Ultimate Cafe Experience” สำหรับเราเลยก็ว่าได้ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา LOAF ได้พยายามนำเสนอและผลักดันสิ่งใหม่ๆให้กับเมืองพัทยาเสมอ และเราเชื่อว่าการปรับโฉมใหม่ของ LOAF ในคราวนี้จะสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดงานดีไซน์ในรูปแบบใหม่ๆให้กับเมืองพัทยาไม่มากก็น้อย LOAF Bakers Brewers Location: https://g.page/LOAF_BAKERSANDBREWERS?share 47, 92 Soi Welcome Town เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง ชลบุรี 20150 เวลาเปิด-ปิด : 10:00-18:00 น. เปิดทุกวันไม่มีวันหยุด โทร : 096 696 8665 ที่จอดรถ : ที่จอดรถร้าน LOAF สามารถจอดรถในโครงการและบริเวณรอบร้าน ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/LOAF.BakersBrewers
- Clarks Desert Boots 2 Sand Suede
Clarks Desert Boots 2 Sand Suede รองเท้า Desert Boots ของ Clarks ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1950 นั้นนับเป็นรุ่นสร้างชื่อจนขึ้นหิ้งเป็น Icon ของแบรนด์เลยก็ว่าได้ วันนี้รองเท้าบูทส์หนังกลับสุดคลาสสิคที่สูงคลุมข้อเท้าพอดีนั้นได้รับการ Reengineered ใหม่อีกครั้ง และอัพเกรดให้เป็นรุ่น Desert Boots 2 ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้เหมาะกับโจทย์ยุคใหม่มากขึ้น วันนี้เราขอเลือกรองเท้า Desert Boots สี Sand รุ่นหนัง Suede แบบคลาสสิคเลย มาลองแมทช์กับเสื้อผ้าลุคส์ต่างๆในปัจจุบันกันดู ถ้าจะให้รวบรัดตัดความสั้นๆก็คือสวย ใส่ง่ายและนิ่มสบายมากกกก ระหว่างที่ดูภาพเพลินๆ เราก็ขอเล่าความเป็นมาของเจ้ารองเท้า Desert Boots ไว้เป็นเกร็ดสนุกๆเล็กน้อยกันซักหน่อยนะครับ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Nathan Clark ทายาทรุ่นเหลนของหนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์รองเท้า Clarks (ใช่แล้วครับ แบรนด์ Clarks มีอายุยาวนานกว่านั้นมาก เพราะก่อตั้งเมื่อปี 1825 ปัจจุบันก็ 196 ขวบแล้ว) ได้ร่างแบบรองเท้า Desert Boots รุ่นแรกในช่วงที่เค้ายังรับใช้กองทัพอังกฤษอยู่ โดยเขาได้แรงบันดาลใจมาจากแบบรองเท้าหนังกลับที่ช่างรองเท้าในตลาด Khan el-Khalili กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ได้ตัดเย็บขึ้นตาม Order ของกองทัพทะเลทรายจาก South Africa ด้วยหนังที่นุ่มสบายและพื้นรองเท้าแบบ Crepe Rubber Sole ที่แข็งแรงทว่ายืดหยุ่นและมีพื้นผิวขรุขระ รองเท้าแบบนี้จึงเหมาะกับการเดินย่ำในทะเลทรายและช่วยยึดเกาะกับพื้นผิวต่างๆได้ดี Vision ที่ Nathan เห็น (ซึ่งน้อยคนจะเห็น) ในตอนนั้นก็คือเครื่องแบบของทหารฝ่ายพันธมิตรในช่วงสงคราม โดยเฉพาะรองเท้านั้นจะกลายเป็นแฟชั่นที่ใส่ได้จริงในช่วงที่บ้านเมืองสงบลง เมื่อสงครามจบลง เขาก็กลับไปยังบ้านเกิดในประเทศอังกฤษ และพยายามนำเสนอดีไซน์ของเขาต่อบริษัท Clarks แต่กลับไม่ได้รับความสนใจเลยเพราะบริษัทตอนนั้นกำลังโฟกัสกับการทำรองเท้านักเรียนช่วงหลังสงครามอยู่ เค้าจึงตัดสินใจหิ้ว Prototypes รองเท้า Desert Boots ไปออกงาน Chicago Shoe Fair ในปี 1947 และด้วยกระแสนิยม “ความเป็นอังกฤษ” ในช่วงนั้น รวมถึงการออกแบบที่เรียบง่ายเพราะมีรูร้อยเชือกแค่ 4 รูเท่านั้น แถมยังไม่ต้องคอยขัดให้เงาเหมือนรองเท้าหนังทั่วไป ที่สำคัญก็คือราคาที่จับต้องได้ ทำให้งานออกแบบของ Nathan นั้นเป็นที่ชื่นชอบในอเมริกาเป็นอย่างมาก ไม่นานหลังจากนั้น Desert Boots ก็ได้ลงนิตยสาร Esquire และถูกสวมใส่โดยเซเลบต่างๆมากมายซึ่งช่วยจุดกระแสนิยมออกไปจนถึงวัยรุ่นในยุโรปตะวันตก เรียกได้ว่ารองเท้าบูทส์ทะเลทรายของเขาแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของยูนิฟอร์มวัยรุ่นยุโรปตลอดยุค 50s และ 60s เลยก็ว่าได้ ในขณะที่ในประเทศอังกฤษนั้นเจ้า Desert Boots แทบไม่เป็นที่นิยมเลย เพราะอังกฤษในช่วงนั้นนิยมรองเท้าที่ใส่แล้วแน่นกระชับ อะไรที่ใส่สบายจะถูกมองว่าไม่เนี้ยบไม่เก๋ ทำให้ กว่าจะมี Desert Boots วางขายในอังกฤษก็ปาเข้าไปต้นยุค 60s แล้ว ของดีที่อยู่ผิดสนาม บางทีก็เกิดยากเหมือนกันนะครับ กลับมาที่ปัจจุบัน เราคิดว่า Desert Boots 2 เป็นหนึ่งในรองเท้าที่หลายๆ คนควรมีติดตู้เอาไว้นะครับ เพราะนอกจากจะดูดีแบบคลาสสิค แมทช์ง่ายกับแทบจะทุกชุดทั้งกางเกงขาสั้น-ขายาวแล้ว ยังใส่สบายได้หลายโอกาส ไม่ว่าจะเดินเล่นในสวน ในป่า หรือในเมือง สำหรับเพื่อนๆชาว #hopsters ที่สนใจ โดยเฉพาะคนที่เล็งว่าจะซื้อออนไลน์ เราแนะนำให้ไปลองใส่ของจริงที่หน้าร้านดูก่อน เพราะสำหรับเราไซส์ของ Clarks ค่อนข้างใหญ่กว่าแบรนด์อื่นๆที่เรามีนะครับ และนอกจากสีที่เราเลือกมาแล้วก็ยังมีสีอื่นๆให้เลือกอีกหลายสีเลยครับ #LetsHoparound with #Clarks #ClarksThailand
- Doi Tung สีสันแห่งดอยตุง
สีสันแห่งดอยตุงปีที่ 7 แน่นอนว่าดอยแม่ฟ้าหลวงที่สวยสะพรั่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์แห่งนี้นั้นเป็นที่คุ้นเคยของคนไทยกันมายาวนาน และในปีนี้ก็นับเป็นปีที่ 7 แล้วที่งาน “สีสันแห่งดอยตุง” จะถูกจัดขึ้นอีกครั้ง ในฤดูหนาวช่วงเดือนธันวาคมและมกราคมนั้นนับเป็นช่วงเวลาที่อากาศเป็นใจให้ดอกไม้นับล้านดอกต่างก็พร้อมใจกันเบ่งบานระเบิดสีสันกันตู้มตามเต็มยอดดอย เราได้มีโอกาสขึ้นไปเยี่ยมดอยตุงในช่วงที่กำลังมีการเตรียมงานกันอยู่พอดี ก็เลยแอบเก็บภาพมาฝากกันด้วย ไป #hop กันได้เลยยยย ที่สำคัญใครไปช่วงนี้มีมาตรการป้องกันโควิดอย่างดีจะมีทีมคอยพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทุกๆ 3 ชั่วโมงเลย ค่าเข้าชมสวนแม่ฟ้าหลวง บุคคลทั่วไป 90 บาท นักเรียน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ 45 บาท หรือบัตรเข้าชมทั้ง 4 สถานที่ 220 บาท นอกจากวิวเขา สายหมอก และดอกไม้งามๆแล้ว ในงานยังจะมีสีสันแห่ง culture ให้เอ็นจอยด้วย อย่าง “กาดชนเผ่า” ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ถนนคนเดินสายวัฒนธรรมที่สูงที่สุดในประเทศไทย” นั้นก็จะมีทั้งอาหาร ผลิตผลทางการเกษตร งานฝีมือ และดนตรีพื้นบ้านเตรียมไว้ต้อนรับแขกของดอยด้วย Doi Tung Tree Top Walk เดินชมธรรมชาติบนสะพานที่ทอดยาวกลางป่าสูงกว่า 30 เมตร ในพื้นที่ 25 ไร่ของสวนแม่ฟ้าหลวงนั้น เนืองแน่นไปด้วยความงดงามของดอกไม้เมืองหนาว สระบัว สวนหิน สวนปาล์ม รวมไปถึงกิจกรรมสุดฮิตคือเดินบนสะพานยอดไม้ที่หวาดเสียวนิดหน่อย หรือถ้ายังไม่สะใจจะโรยตัวโหนสลิงข้ามยอดไม้ก็ได้เช่นกัน เดินชมสวนดอกไม้ในสวนแม่ฟ้าหลวง มีดอกไม้มาจัดเรียงกันนับร้อยสายพันธุ์ พระตำหนักดอยตุง เป็นที่รู้กันว่าดอยตุงนั้นเป็นพื้นที่ที่องค์สมเด็จย่า หรือพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร.9 ทรงเป็นผู้บุกเบิกพัฒนามาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2530 บนยอดดอยแห่งนี้จึงมีพระตำหนักดอยตุง “บ้านหลังแรก” ในประเทศไทยของสมเด็จย่าที่ทรงสร้างขึ้นโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ พระตำหนักแห่งนี้สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายโดยเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของ Swiss Chalet และศิลปะแบบล้านนา ปัจจุบันยังคงเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ และในบางโอกาสก็ยังมีพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์เสด็จมาประทับด้วย นอกจากนี้บนดอยตุงยังมี Hall of Inspiration หรือหอแห่งแรงบันดาลใจที่จัดแสดงพระราชจริยวัตรของราชสกุลมหิดล ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา เหตุการณ์สำคัญๆ และแนวคิดเบื้องหลังการพัฒนาดอยตุง และประเทศไทยให้ยั่งยืนอีกด้วย หน้าหนาวนี้ ถ้าได้ไปแอ่วเชียงราย อย่าลืมแวะไปงานสีสันแห่งดอยตุงครั้งที่ 7 นะครับ เพื่อนๆคงเห็นแล้วว่าช่วงนี้ hoparound.co ของเรานำเสนอที่ท่องเที่ยวในเชียงรายเยอะเลย เพราะเราได้ใช้เวลา 1 สัปดาห์เต็มๆที่นั่น ขอบอกเลยว่าเชียงรายนั้นมีของดีซ่อนอยู่เยอะจริงๆ บางทีก็ต้องขอบคุณโควิดที่ทำให้เราได้มีโอกาสสำรวจประเทศไทยเรามากขึ้น ทำให้รู้ว่าเฮ้ย บ้านเราก็สวยไม่แพ้เมืองนอกเลยนะเนี่ย . FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co . #LetsHoparound #Chiangrai #LetsHoparoundChiangrai #LetshoparoundThailand #Travel
- The PERI Khaoyai โรงแรมเดอะเภรีเขาใหญ่
The Peri Khaoyai ในสถานการณ์ Covid-19 ที่ท้าทายความอยู่รอดของธุรกิจโรงแรมน้อยใหญ่ทั่วประเทศ มีแบรนด์โรงแรมน้องใหม่แบรนด์หนึ่งได้ปรากฏตัวสวนกระแสด้วยความกล้าหาญ นั่นก็คือ The Peri - เดอะ เภรี ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 แห่ง ในวันนี้เราจะพาเพื่อนๆ #hop เข้าไปในบรรยากาศหนังเรื่อง Out of Africa (เค้าว่างานดีไซน์ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่องนี้) ที่เขาใหญ่กัน อาจจะเพราะโลเคชั่นที่ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขารอบด้าน หรือผาหินที่ตระหง่านเป็นฉากหลังให้กับโรงแรมที่ทำให้เมื่อมีเต็นท์สีครีมมากางพร้อมพร็อพต่างๆแล้ว เราก็นึกถึงความซาฟารีได้ไม่ยากนัก การแต่งแต้มลวดลายและสีสันสดใสลงไปในการแต่งห้องพักก็เพิ่มรสชาติความเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของแอฟริกาได้อีกพอควร เมื่อเราเดินทางถึงที่พักแล้วทำการเช็คอินกับพนักงาน เราสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายของบรรยากาศล็อบบี้ที่เป็นแบบ Open Air แต่เสียดายที่พนักงานตรงล็อบบี้ไม่ได้แนะนำกิจกรรมต่างๆกับเราเลย เราเลยไม่ได้ร่วมกิจกรรมต่างๆ กับโรงแรม แต่สำหรับเราไฮไลท์ของที่นี่นั้นคือลานผิงไฟเรียบเท่แบบมินิมอลบนดาดฟ้าของฟิตเนส โดยเฉพาะทางเดินทอดยาวที่ค่อยๆลาดลงไปสู่เตาผิงสี่เหลี่ยมจตุรัสตรงใจกลางสระน้ำนั้น ช่างเหมาะเจาะกับการถ่ายรูปอวดเพื่อนๆจริงๆ Welcome Drink ที่ต้องเอาคูปองจากล็อบบี้ไปแลกรับที่ร้านอาหารชาวบ้าน ในส่วนของห้องพักนั้น เรารู้สึกว่าออกจะเล็กไปสักนิด เราแปลกใจที่แอบเห็นร่องรอยความทรุดโทรมเล็กๆน้อยๆ หลายจุด เพราะโรงแรมเพิ่มเปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมานี่เอง อาจเป็นเพราะตัวอาคารนั้นไม่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ แต่ถูกดัดแปลงมาจากโรงแรมเดิม (Escape Hotel) ที่ปิดตัวลง แต่โดยรวมก็นับว่าสะดวกสบายดีทีเดียว เราได้ยินมาว่าหากสถานการณ์ปกติ ทางแบรนด์ได้วางคอนเส็ปต์ให้ The Peri Khaoyai นั้นมีกิจกรรมโลคอลมากมายไว้บริการลูกค้า ตั้งแต่การออกไปเลือกเก็บผลผลิตจากฟาร์มออร์แกนิคของโรงแรมด้วยตัวเอง การเดินศึกษาธรรมชาติในเขาใหญ่ การปั่นจักรยานชมวิว รวมไปถึงการทำบุญตักบาตรที่วัดป่าในละแวกโรงแรมด้วย ร้านอาหารชาวบ้านรสท้องถิ่น มีอาหารหลายประเภทให้เราเลือกมากมาย อาหารเช้าที่นี่ก็มีให้เลือกกันตั้งแต่สไตล์อเมริกัน ข้าวต้ม ไข่กระทะ สลัดผัก ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยวญวน แต่สำหรับเรารสชาติถือว่าธรรมปานกลาง The Peri นั้นเป็นแบรนด์โรงแรมย่อยในเครือ Standard International ที่มี properties อยู่มากมายในอเมริกาและยุโรป และแสนสิริได้เข้าไปถือหุ้นใหญ่ตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมาพร้อมตั้งใจจะปักธงในเอเชียด้วยหลากหลายแบรนด์โรงแรมในเครือทั้ง The Standard, Bunkhouse เป็นต้น โดยเริ่มต้นที่ประเทศไทยและสิงคโปร์ #LetsHoparound
- Little Island NYC สวนแห่งชีวิตใหม่หลังโควิดที่นิวยอร์ก
อีกครั้งที่ New York City ไม่เคยหยุดเซอร์ไพร้ซ์ผู้คน นอกจากจะชวนนักท่องเที่ยวมาฉีดวีคซีนฟรีแล้ว เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา (21 พ.ค. 2021) สวนที่ดูเหมือนฝันแห่งนี้ก็เพิ่งเปิดตัวไป เรียกได้ว่ามารับขวัญการคลี่คลายของสถานการณ์โควิดในอเมริกากันพอดิบพอดี ที่นี่คือสวน Little Island ที่นอกจากจะสวยสะดุดตาน่าเดินเล่นแล้ว ยังเต็มไปด้วยพื้นที่เปิดกว้างให้ศิลปินใน New York ได้มาหมุนเวียนแสดงผลงานทั้งศิลปะ ดนตรี เต้นรำ การละคร ฯลฯ และมีโปรแกรมสอนศิลปะให้กับคนที่สนใจด้วย นอกจากนี้ยังมีโซนอาหารและเครื่องดื่มเพื่อความสุนทรีย์ของชีวิตยุคใหม่อีกด้วย ที่สำคัญคือใครๆก็เข้ามาใช้บริการได้ฟรีไม่มีค่าเข้าตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงตี 1 ไปเลย Little Island เป็นสวนลอยฟ้าที่ต่อเติมเพิ่มให้กับ Hudson River Park บนถนน 13th Street ด้วยเงินสนับสนุนของมูลนิธิ Diller-von Furstenburg Family โดยให้ Thomas Heatherwick เป็นผู้ดูแลงานออกแบบโครงการทั้งหมด และมี Signe Nielsen แห่ง MNLA เป็นผู้ดูแลงานจัด Landscape ให้โดดเด่นงดงาม แท่งคอนกรีตสูงๆต่ำๆกว่า 280 แท่งที่ตั้งเรียงรายกันยื่นลงไปในแม่น้ำแทนที่ท่าเรือ Pier 55 (ถูกรื้อถอนไปแล้ว) นั้นช่วยค้ำยันโครงสร้างด้านบนซึ่งเป็นปูนหล่อรูปดอกทิวลิปขนาดมหึมากว่า 132 ดอก ทิวลิปคอนกรีตเหล่านี้ช่วยโอบรับอิฐหินดินทรายและพืชพันธ์ุน้อยใหญ่จำนวนหลายหมื่นต้นเอาไว้อย่างสวยงามและแข็งแรง หากมองลงไปในน้ำเราจะยังสามารถเห็นท่อนไม้ที่เป็นโครงสร้างเดิมของ Pier 55 โดยเขายังอนุรักษ์เอาไว้ให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำต่อไป นอกจาก Landscape สวยๆพร้อมด้วยแมกไม้เกือบ 400 สายพันธุ์ที่ถูกจัดขึ้นอย่างมีศิลปะแล้ว พื้นที่กว่า 2.4 เอเคอร์ (ประมาณ 6 ไร่) ของ Little Island นี้ยังได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 โซนหลักๆ คือ 1. The Amph (เวทีและอัฒจันทร์ 687 ที่นั่ง) 2. The Playground (โซนอาหารเครื่องดื่มพร้อมที่นั่ง) และ 3. The Glade (สนามหญ้าและเวทีเล็ก) เห็นชีวิตดีๆที่ New York แล้ว หันกลับมามองสถานการณ์ในบ้านเราก็อดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้เลยครับ เรายังคงเฝ้ารอวันที่ประเทศไทยจะก้าวข้ามผ่านเส้น “ประเทศกำลังพัฒนา” ไปสู่ “ประเทศพัฒนาแล้ว” แม้ความหวังจะยังดูพร่ามัว แต่เราก็ไม่สิ้นหวังนะครับ Credits: Michael Grimm, littleisland.org #LetsHoparound #NewYork #LetsHoparoundNewYork #InspiringStuff #LittleIslandNYC #pier55 #publicspace
- Copenn.กลิ่น. อารมณ์. ความหลงไหล.
Copenn. : Creative of perception engage with new narrative ที่หัวถนนซอยเจริญกรุง 82 ร้านเครื่องหอมแบรนด์ไทยใหม่ล่าสุดในนาม Copenn. ตั้งอยู่อย่างเงียบๆแต่มั่นคงในตัวตนที่ชัดเจน หากไม่ทราบมาก่อน มัดฟางสีน้ำตาลอ่อนที่แขวนอยู่หน้าร้านอาจจะชวนให้สงสัยว่านี่คือร้านอะไร และความลึกลับนี้เองที่เป็นเสน่ห์เย้ายวนให้เราเข้าไปค้นหาคำตอบ คำตอบนั้นพบได้ทันทีที่ผลักประตูเข้าไป หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าในโพรงจมูกนั้นเป็นที่ที่เดียวในร่างกายที่เซลล์ประสาทได้สัมผัสกับอากาศโดยตรง และอากาศที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ในร้านก็พุ่งเข้าไปเตะซอกลึกของโพรงจมูกของเราอย่างจัง กลิ่น Burning Cabinet ซึ่งเป็นกลิ่น Signature ของร้านนั้นหอมจนเราต้องเอ่ยปากถาม Shopkeeper (ซึ่งก็คือ 1 ใน 4 หุ้นส่วนของร้าน) ว่านี่คือกลิ่นอะไร ความหอมแบบ Woody จากไม้กฤษณากับไม้ซีดาร์ เมื่อมาเจอกับกลิ่นยาสูบนั้นให้ความรู้สึกเข้มเซ็กซี่ ยิ่งเคล้าด้วยความเขียวของหญ้าแฝกและเพตติเกรนก็ช่วยเติมความเฟรชให้มี Layers ครบสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ภายในร้านเน้นโทนสีดำ/เทาเป็นพื้นหลังขับให้วัสดุธรรมชาติอย่างไม้ หิน โลหะ และมัดฟางโดดเด่น เป็นความงามที่ดิบเท่ และเชื้อเชิญเราเข้าสู่ดินแดนแห่งความเคลิบเคลิ้ม จริงๆแล้วพื้นที่ร้านก็ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ทุกมุมช่างปลุกเร้าความเป็นนักสำรวจในตัวเราให้เข้าหยิบกลิ่นต่างๆขึ้นมาดมว่ากลิ่นไหนจะเป็นกลิ่นที่ “ใช่” ที่สุดที่เราจะพากลับบ้านไปด้วย เราพุ่งเข้าไปหาเทียนหอมเป็นอย่างแรก เพราะเป็นสิ่งที่เราใช้บ่อย มีหลายกลิ่นที่ทำให้เราลังเลซะด้วยสิ แต่ทางร้านแจ้งว่าเทียนเป็นแค่ตัวโชว์เท่านั้น ต้องรออีกแป๊บนึงจึงจะมีวางขาย เราจึงอกหักเล็กน้อย ก็เลยหันไปล่าขุมทรัพย์ที่มุมอื่นๆแทน ซึ่งมีทั้ง Room Diffuser, Hand Soap, Hand Cream, นำ้มันหอมระเหย, กำยาน และเตา Oil Burner (ซึ่งดีไซน์ได้สวยเท่น่าใช้มากๆ) การปรุงกลิ่นนั้นเป็นเรื่องละเมียดละไม และทาง Copenn. นั้นก็ทำได้ดีจนน่าทึ่ง Layers ของสารสกัดพืชพรรณกลิ่นต่างๆที่ซ้อนทับกันดึงให้เราเข้าสู่มิติพิศวง หลงเคลิ้มจนเลือกไม่ถูก ยิ่งเห็นรายละเอียด Packaging และการ Present สินค้าแล้ว ยิ่งทำให้เรารู้สึกได้ว่า ทั้งหมดนี้คงต้องผ่านกระบวนการคิดและสร้างสรรค์มาหลาย Layers ไม่แพ้การปรุงกลิ่นเลยทีเดียว ผลลัพธ์ก็คือความล่มละลายย่อยๆในกระเป๋าตังค์ของเรา 5555 แต่เราคิดว่ายังไงก็คุ้ม เพราะกลิ่นนั้นสามารถพาเราทะลุทั้ง Space และ Time ไปสู่ความรู้สึกในห้วงความทรงจำได้ดีกว่ายานพาหนะใดๆ หรืออย่างน้อยความหอมก็เพิ่ม Leverage คุณภาพความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นได้ทันทีเพียงกดไฟแช็คแกร๊กเดียวเท่านั้น Copenn. : Creative of perception engage with new narrative Location: https://goo.gl/maps/2Q9mniWvP9jqDWnx6 24/1 ห้อง 2103 ซอย เจริญกรุง 82 เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร 10120 เวลาเปิด-ปิด : 11:00–19:00 น. ปิดวันจันทร์และอังคาร โทร : +66835996448 ที่จอดรถ : ที่จอดรถ copenn จอดได้บริเวณหลังร้าน ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.instagram.com/copenn.co/
- เที่ยวรอบเมือง San Francisco
สะพาน Golden Gate สีแดงที่ทอดยาวเป็นกิโลคงเป็นภาพจำอันดับหนึ่งของเมืองศูนย์กลางการค้าแห่ง California ตอนเหนือแห่งนี้ เราตกหลุมรักบ้านเรือนสไตล์ Victorian สีสันน่ารักบนเนินสูงบ้างเตี้ยบ้าง และรถรางโบราณที่วิ่งรับส่งผู้คน ซานฟรานซิสโก เป็นเมืองที่โอบล้อมไปด้วยทะเล และมีสเน่ห์แห่งหนึ่งในฝั่งตะวันตกของอเมริกา และอากาศดีตลอดทั้งปี ทริปนี้เราจะพาไป #hop เล่นในเมือง San Francisco กัน Retails แหล่งช้อปปิ้งใน SF มีอยู่หลายย่านทั้งจตุรัสกลางเมืองอย่าง Union Square ที่รวบรวมเอาห้างหรูและแบรนด์ระดับโลกเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีถนน Hayes และ Fillmore และถนนอื่นๆที่เรียงรายไปด้วยร้านค้านานาสไตล์ เราชอบที่ SF มีร้านเก๋ๆกระจายอยู่หลายจุดทั่วเมือง Acne Studios Geary Street Location: https://goo.gl/maps/pM9dQggFofstSPFXA Minimal ร้านขายของแต่งบ้านสไตล์.... ลองดูจากชื่อร้านเองละกัน ของที่ทางร้านคัดมามีกลิ่นไอความเรียบง่ายแต่เก๋ แนวสแกนดิเนเวีย และญี่ปุ่นที่ทั่วโลกกำลังคลั่งไคล้กัน Location: https://g.page/GOminimal?share Outdoor Voices ร้านเสื้อผ้า Athleisure (กึ่งกีฬากึ่งเที่ยว) จาก New York มาพร้อมสีสันและการนำเสนอ ที่น่ารักน่าสนใจสไตล์อเมริกัน Location: https://goo.gl/maps/GXue12Vn7SVVGXYf9 Heath Ceramics นอกจากถ้วยชามรามไหดีไซน์เรียบโก้แล้ว ฮีธนั้นโด่งดังเรื่องงานกระเบื้องคุณภาพที่ออกแบบและผลิตในแคลิฟอร์เนีย ก่อตั้งแต่ปี 1948 ใน Salsalito เมืองน่ารักที่อยู่อีกฟากของสะพาน Golden Gate แวะมาที่นี่ก็จะได้ทั้งอุปกรณ์บนโต๊ะอาหาร ของแต่งบ้าน หนังสือ และกระเป๋าที่เน้นการใช้งาน สวยเรียบแต่ทนทาน รวมไปถึงงานจิวเวอรี่อีกด้วย Location: https://goo.gl/maps/vTRUNcyHhxWY6TbV9 Schein & Schein สวรรค์สำหรับคนชอบงานพิมพ์ย้อนยุค เขาเน้นไปที่แผนที่โบราณของเมืองและประเทศต่างๆ แต่ก็มีงานพิมพ์อื่นๆขายด้วย ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์ โปสการ์ด รูปภาพ หนังสือ และงานอาร์ทเวิร์ค ตลอดจนเครื่องเขียนที่ดูขลังเหมาะลุคของร้าน Location: https://goo.gl/maps/hmoJ4AR9sXmZG4BXA Wine Merchant Cheese Monger เราบังเอิญเดินผ่านมาเจอ แต่ร้านนี้น่ารักสำหรับคนชอบอาหารกระจุกกระจิกอย่างเรา แถมพนักงาน (หรือเจ้าของร้านหว่า?) ก็นิสัยดีและมีความรู้จริง แนะนำได้ทุกอย่างด้วยความมั่นใจและเป็นมิตรอย่างยิ่ง Location: https://goo.gl/maps/fDECEHCN4i7NpaiJ8 City Lights Booksellers & Publishers ร้านหนังสืออิสระใจกลางซานฟรานซิสโก รวมหนังสือหลายแนวมาก ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1958 ร้านค่อนข้างใหญ่ และเงียบ ในเมืองใหญ่ๆแบบนี้ เหมาะแก่การหลบไปพักหาหนังสือดีๆอ่านมาก เราชอบวิธีการจัดร้านเหมือนเขาวงกตดี มีซอกมุมหลืบให้นั่งอ่านหนังสือเต็มไปหมด Location: https://g.page/CityLightsBooks?share Food ไปซานฟรานกินอะไรดี? San Francisco เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้านอาหาร เพราะนอกจากจะอยู่ติดทะเล และใกล้แหล่งเกษตรกรรมแล้ว เมืองแห่งนี้ยังเป็นหม้อหลอมรวมวัฒนธรรมอันหลากหลายทั้งยุโรป เอเชีย และลาตินอเมริกาเข้าไว้ด้วยกันอย่างลง Sotto Mare ร้านอาหารซีฟู๊ดสไตล์อิตาเลี่ยนอร่อยและสดมาก รสชาติจัดจ้านคล้ายอาหารไทยเลย แถมบรรยากาศก็ดูมีชีวิตชีวา ใครที่ชอบอาหารทะเลไม่ควรพลาดร้านนี้ ซุปซีฟู้ดรสจัดอย่างกะต้มยำ ขาดแค่ตะไคร้กะพริกขี้หนู ถูกปากเรายิ่งนัก Location: https://goo.gl/maps/1REnZZj8jYD59aj58 Tartine Bakery ร้านเบเกอรี่ชื่อดังของ San Francisco มีคิวรอหน้าร้านตลอดเวลา มีหนังสือสูตรขนมของตัวเองวางขายทั่วโลก สาขานี้เป็นสาขาดั้งเดิม สภาพก็ทั้งขลังและโทรม 555 แต่นางมีสาขาอีกหลายที่ที่สวยงามตามสมัยนิยม เช่นที่ Tartine Manufactory ที่เป็นร้านใหญ่มีอาหารบริการด้วย Location: https://goo.gl/maps/SFTRs5mhEpc4Kit56 Plow ร้านอาหารเช้าที่ (น่าจะ) ดีที่สุดร้านหนึ่งใน SF เสิร์ฟอาหารง่ายๆที่ใช้วัตถุดิบอย่างดี ทั้งไข่กวน แพนเค้ก สลัด ไปจนถึงชากาแฟพรีเมี่ยม และน้ำผลไม้คั้นสด Location: https://goo.gl/maps/ddUVbnApeowd1AaXA Rose’s Cafe ร้านอาหารอิตาเลียนแบบง่ายๆบ้านๆ แต่อร่อยเกินคาด ร้านตกแต่งดูเป็นบ้านอบอุ่นด้วยสีเหลืองน่ารัก เหมาะสำหรับมื้อกลางวัน อิ่มแล้วก็เดินไปช้อปปิ้งต่อที่ Fillmore Street ได้เลย Location: https://goo.gl/maps/UsZ7prn45nECDDFm8 The French Laundry และ Bouchon สองร้านนี้ไม่ได้อยู่ใน San Francisco ซะทีเดียว เพราะต้องขับรถออกไปทางเหนือกว่าชั่วโมงครึ่งจนถึง Napa Valley แต่ด้วยความพิเศษมากๆของนาง เราจึงอยากเอามารวมไว้ด้วย เพราะทั้ง 2 ร้านเป็นร้านของเชฟ Thomas Keller เชฟอเมริกันเพียงคนเดียวที่มีร้านอาหาร 3 ดาวมิชลินถึง 2 ร้าน เราจองคิวร้าน The French Laundry ล่วงหน้าหลายเดือนก่อนออกเดินทางมา เพราะรู้ดีว่าที่นี่เป็นร้านจองยากระดับตำนานที่มีดาวมิชลิน 3 ดวงการันตี ดีงามขนาดไหนคงสาธยายไม่หมด แต่ที่หมดไปอย่างแน่นอนก็คือเงินในกระเป๋าเรา (ฮาาาา!) ทว่าร้านที่เราแอบชอบมากกว่านิดนึง (เพราะเราเป็นสาย comfort food) กลับเป็นร้าน Bouchon ที่แม้จะมีแค่มิชลินเพียงดวงเดียว แต่บรรยากาศและอาหารนั้นถูกจริตเรามากกว่า และเราก็ปลาบปลื้มกับ wine list ที่นางคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันด้วย Location: https://goo.gl/maps/FXRAXGqfEP5sbiKn9 Coffeeeeee สำหรับคอกาแฟ San Francisco เป็นเมืองที่มีร้านกาแฟและโรงคั่วเมล็ดมากเป็นอันดับต้นๆของอเมริกา แบรนด์ที่โด่งดังที่สุดก็คงหนีไม่พ้นร้านขวดฟ้าสุดคูล หรือ Blue Bottle ที่ขยายสาขาไปหลายประเทศ แต่คอกาแฟต้องอย่าลืมแวะ 4Barrels, Sightglass, Ritual, Verve, Andytown, Slojoy และอื่นๆอีกมากมายด้วยนะ 4Barrels ร้านใหญ่ มาพร้อมกับรสชาติที่อร่อยมาก และยังคั่วกาแฟกันสดๆในร้านเลย Location: https://goo.gl/maps/yGHCk3fwndZC9t2T7 Blue Bottle สาขานี้ตั้งอยู่ใน Ferry Building Market Place Location: https://goo.gl/maps/vZv6iiF26TbQx9mq7 Architecture & Landmarks เป็นอีกหนึ่งเมืองในโลกที่สถาปัตยกรรมสวยมากๆ Coit Tower ได้ยินชื่อหอคอย Coit Tower ก็อาจจะทำให้หลายคนนึกขึ้นได้ว่าที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดของร้านไอติมยี่ห้อดังที่มีสาขามากเมืองไทย แต่สำหรับคนที่นี่หอคอยสีขาวแนว Art Deco ที่ตระหง่านอยู่บน Telegraph Hill แห่งนี้นั้น หมายถึงประวัติศาสตร์ และแลนด์มาร์คสำคัญที่สร้างขึ้นด้วยเงินของเศรษฐีที่ชื่อว่า Lillie Hitchcock Coit หลังจากที่เขาเสียชีวิตลง เพียงเพื่ออยากจะเติมความงามให้กับเมืองซานฟรานที่เขารัก แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆแล้ว ที่นี่ก็เป็นอีกหนี่งจุดชมวิวพาโนราม่ายอดฮิต ที่มีความสูงกว่า 210 ฟุต มีค่าเข้าชมคนละ 8 USD Location: https://goo.gl/maps/kNWaAv7SyG8iH1499 เมืองจะสวยได้อย่างไร หากขาดบ้านที่งดงามของผู้คน สิ่งที่ทำให้ San Francisco มีเสน่ห์สุดๆก็คือบ้านแนว Victorian สีหวานที่เรียงรายกันอยู่เนินสูงต่ำทั่วเมือง ทำให้เมืองดูน่ารักสดใส และมีเอกลักษณ์มากๆ สำหรับสถาปัตยกรรม Victorian นั้น หมายถึงงานออกแบบที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษในยุคการปกครองของพระนางเจ้าวิคตอเรีย ซึ่งก็หมายรวมถึงหลากหลายสไตล์ที่มีอยู่ในขณะนั้น แต่สำหรับสหรัฐอเมริกา บ้านแนว Victorian มักจะอ้างอิงมาจากงานสถาปัตยกรรมสไตล์ Queen Anne และ Stick ซึ่งมีรายละเอียดตกแต่งและรูปทรงที่แปลกตาราวกับหลุดออกมาจากนิทานปรัมปรา Ferry Building Marketplace ตึกสวยอายุเกิน 100 ปีแห่งนี้ เคยเป็นท่าเรือเฟอรี่ข้ามฟากมาก่อนที่จะปิดปรับปรุงไป 4 ปี และแปลงโฉมมาเป็นตลาดพรีเมี่ยมในปี 2003 ที่นี่จำหน่ายสินค้าอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าปลอดสารพิษจากเกษตรกรทั่วแคลิฟอร์เนีย ไปจนถึงขนมนมเนย ชีส ไส้กรอก กาแฟ เห็ดทรัฟเฟิ่ล ฯลฯ ถ้าไม่หิวมาเดินเล่น ถ่ายรูป ในตลาดหรือออกไปเดินริมน้ำก็ชิลคุ้มค่าการมาเยือน Location: https://goo.gl/maps/Vi2Y6squrStuY6Ky7 Pier 39 ท่าเรือหมายเลข 39 ที่นี่มีร้านอาหารริมทะเล ร้านค้าต่างๆนานาให้คนมาพักผ่อนหย่อนใจใช้ชีวิตดีๆกัน พอเรามาถึงที่นี่ เราจะได้ยินเสียงร้องของเหล่าสิงโตทะเล จะคอยเรียกนักท่องเที่ยวให้มาถ่ายรูปเป็นอันดับแรกเลย Location: https://g.page/pier-39-san-francisco?share Lombard Street ถนนโค้งหักสุด ระยะทางสั้นๆ ก็เป็นอีกหนึ่งแลนมาร์กสำคัญของย่านนี้เลย (แต่สำหรับเรายอมรับตรงๆว่ามาเช็คอินเฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลย 5555) มาซานฟรานต้องได้นั่งรถราง เพราะรถรางที่นี่เก่าแก่ที่สุดของโลกเพราะเค้าเริ่มใช้กันมาตั้งแต่ปี 1873 คลาสสิกสุดๆ Location: https://goo.gl/maps/HzwuoNBd7LUBYgJU6 Golden Gate Bridge สัญลักษณ์สำคัญของซานฟรานซิสโก ใหญ่สุด มองจากมุมไหนๆ ก็เห็น สร้างเสร็จเมื่อปี 1937 เป็นสะพานแขวนแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในโลก บางวันที่นี่จะโดนหมอกบังบ้าง แต่โชคดีเราไปช่วงปลายหนาวอากาศดี ทำให้มองเห็นสะพานทั้งหมดเลยยย Location: https://goo.gl/maps/xuAEkynbxsTTudnj8 Battery spencer เป็นจุดชมวิวยอดฮิตที่ควรมาตอนบ่าย ถึงเย็น เพราะมุมแสงแดดเหมาะแก่การถ่ายรูป และได้เห็นวิวดีๆ แต่เรามาถึงตอนเช้าก็เลยแอบย้อนแสงและไม่เห็นสะพานเป็นสีแดงอย่างที่คุ้นตากัน Location: https://goo.gl/maps/yzdn6eqGtnDrjKfs7 ภาพรวมของ SF นั้นสวยงามอย่างที่เห็นกันตามสื่อ แต่เมื่อได้มาเยือนจริงๆแล้วกลับรู้สึกว่าที่นี่แอบเงียบ และชิลล์กว่าที่คิด ในอีกมุมหนึ่งเมื่อเราได้สัมภาษณ์เพื่อนๆที่ย้ายมาอยู่มี่นี่จากฝั่งนิวยอร์คหลายๆคน กลับได้มุมมองที่ค่อนข้างคล้ายกันคือเขามองว่า SF น่าเบื่อ ไม่ค่อยมีอะไรทำ แม้แต่ร้านที่ต้องแต่งตัวสวยๆหล่อๆไปกินก็หายากมาก ที่สำคัญแทบจะทุกคนเคยมีประสบการณ์โดนทุบรถ! #LetsHoparoundUSA
- Pulse Bangkhunthian คาเฟ่ บางขุนเทียน
Pulse Bangkhunthian เมื่อคู่รักจากวงการโฆษณาเลือกบางขุนเทียน ทะเลใกล้กรุงเทพฯเป็นสถานที่ปล่อยพลังครีเอทีฟที่สั่งสมกันมานาน PULSE คาเฟ่ที่ทั้งเท่และชิลล์จึงก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นกลางบึงน้ำที่มีคลื่นเล็กๆพลิ้วไหวตามสายลมที่พัดโชยทั้งวัน ประหนึ่งจังหวะชีพจรแห่งความผ่อนคลายที่ถูกสื่อเอาไว้ในงานดีไซน์โลโก้ของร้านได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากกาแฟอร่อยๆแล้ว ที่นี่ยังเสิร์ฟทิวทัศน์ที่โปร่งสบาย และดนตรีเสนาะหูจากลำโพง Diatone วินเทจนำเข้าจากญี่ปุ่น ตามคอนเส็ปต์ Coffee | Scenery | Music แค่นี้ก็เพียงพอที่จะดึงดูดให้ชาวกรุงออกมาปล่อยหัวใจให้เต้นไปตามจังหวะระริกของระลอกน้ำกันอย่างไม่ขาดสายโดยที่ทั้งคู่ยังไม่ทันได้ใช้ Skill การทำโฆษณาช่วยโปรโมทเลย จะพูดว่าไม่ได้ใช้ Skill เลยก็อาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะทั้งคู่ได้สอดแทรก “จุดขาย” มากมายลงไปในเนื้อหนังของร้านอย่างแนบเนียนจนแม้ไม่ป่าวประกาศ ผู้คนก็หลั่งไหลกันเข้ามาเสพ “ความ PULSE” กันเองแบบ “ปากต่อปาก” หรือในยุคนี้พูดว่า “เพจต่อเพจ” น่าจะตรงกว่า กลายเป็นการโฆษณาโดยไม่ต้องโฆษณา เราคิดว่านี่แหละคือสุดยอด Skill ของการทำโฆษณา อย่างน้อยที่สุดคุณวิทย์และคุณมะนาว คู่รักเจ้าของร้านก็ใช้ Skill ในการหาช่องว่างทางการตลาดได้อย่างเยี่ยมยอด เพราะบางขุนเทียนนั้นเป็น “โอกาส” ของคาเฟ่ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครมองเห็น ไม่ว่าจะเป็นในมุมของพิกัดทะเลใกล้กรุงเทพฯที่มักถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดายแถมค่าเช่าก็ถูกกว่าทำเลในเมืองอีกด้วย หรือในมุมของความเป็นแหล่งร้านอาหารที่เรียงรายกันอยู่นับไม่ถ้วนแต่ไม่มีคาเฟ่ให้ลูกค้าจิบกาแฟล้างปากกันเลยแม้แต่ร้านเดียว แม้กระทั่งในมุมของสภาพแวดล้อมแสนรีแลกซ์ที่เพียงจัดหาดีไซน์เรียบง่ายที่ดูดีเข้าไปรองรับเสน่ห์ของบรรยากาศที่ดีอยู่แล้ว เพียงเท่านี้ PULSE ก็พร้อมส่งสัญญาณชีพจรให้กระเพื่อมออกไปได้ไกลโข เมื่อมีธรรมชาติดีๆเป็นทุนแล้ว คุณมะนาวเล่าให้ฟังว่าทางร้านมีความตั้งใจอย่างมากที่จะรักษาเอาไว้ พยายามลดขยะให้ได้มากที่สุดด้วยการเน้นเสิร์ฟด้วยภาชนะที่นำมาล้างแล้วใช้ซ้ำได้ หากจำเป็นต้องใช้แก้วและหลอด Take-Away ก็จะเน้นเป็นวัสดุที่ย่อยสลายในธรรมชาติได้จริงๆเท่านั้น อีกสิ่งที่ยิ่งช่วยทำให้บรรยากาศนั้นดีขึ้นไปอีกก็คือดนตรีที่บรรเลงผ่านลำโพง Diatone ds2000hr ซึ่งแต่เดิมเป็นรุ่นลำโพงมอนิเตอร์ที่ถูกใช้ในห้องอัดเสียงของ NHK ประเทศญี่ปุ่นในปลายยุค 80s คุณภาพของเสียงจึงคมชัดเป็นธรรมชาติ นุ่มกังวาลอย่างมีมิติ และให้อารมณ์ Organic Sound ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่หาได้ยากในลำโพงยุคดิจิตอล ในตอนที่เราไปที่ร้านนั้นเพลง Classic Jazz กำลังเล่นอยู่พอดี ทำให้ยิ่งได้ยินความสดของเครื่องดนตรีชัดขึ้นไปอีก เมื่อประกอบกับสายลมอ่อนๆที่โชยมาสัมผัสผิว ภาพผ้าม่านบางเบาที่โบกพลิ้วตามแรงลม และรสนุ่มๆของกาแฟใส่กะทิในเมนู PULSE/BANGKHUNTHIAN เราจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมในแต่ละวันร้านกาแฟขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลจากคู่แข่งแห่งนี้จึงสามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามา Sync กับจังหวะชีพจรของเขาได้อย่างง่ายดาย Pulse บางขุนเทียน Location: https://goo.gl/maps/G5chadbHyZyEZcPP8 1266 ถนน เจริญกรุง แขวง บางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500 เวลาเปิด-ปิด: 10.00-18.30 (ปิดทุกวันจันทร์) ที่จอดรถ: จอดได้ในที่บริเวณหน้าร้าน Pulse ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/pulse.bkt
- Sundance Dayclub Hua Hin ซันแดนซ์ เดย์คลับ หัวหิน - เพลินทะเล เพลย์ตะวัน
SIP-DIP-DINE คอนเส็ปต์ใหม่ล่าสุดบน Space เก๋ที่เราคุ้นเคย ณ Sundance Dayclub Hua Hin เปิดประสบการณ์บีชคลับริมทะเลเต็มรูปแบบแห่งแรกของหัวหินวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ (ถ้าโควิดไม่แผลงฤทธิ์ซะก่อนนะครับ) เพื่อนๆ #hopsters ที่สนใจสามารถซื้อ Day Pass มูลค่า 2,000 บาท เพื่อเป็นเครดิตเข้าใช้สถานที่และแลกซื้ออาหารเครื่องดื่มได้เต็มจำนวนตั้งแต่เที่ยงวันจนถึง 4 ทุ่มกันไปเลย หากอยากเพิ่มความเป็นส่วนตัวและสิทธิพิเศษแบบพรีเมี่ยมก็สามารถอัพ Level สู่โซน VIP หรือจองห้องพักนอนค้างคืนด้วย จะได้ปาร์ตี้ไปยาวๆแบบไม่ต้องกังวล ทาง Sundance แจ้งว่าช่วงนี้เปิดเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ และรับลูกค้าที่จองล่วงหน้าผ่านไลน์ @sundancedayclub เท่านั้นนะครับ ส่วนรายละเอียดอื่นๆถ้าอยากรู้ ก็ตามมาในโพสต์เลยครับ Vlog พาเที่ยวที่ Sundance Dayclub Hua Hin The Arrival ความสวยเท่ของสถาปัตยกรรมเป็นสิ่งแรกที่เราสัมผัสได้เมื่อมาถึง ยิ่งพอได้รับการอัพเกรดเป็น Sundance Dayclub รายละเอียดที่ปรับเปลี่ยนเข้ามาก็ยิ่งทำให้ความเท่ดูหรูขึ้นโดยแทบไม่ต้องพยายามใดๆ ที่นี่มีที่จอดรถใต้อาคารสะดวกสบาย และกำลังสร้างที่จอดรถกลางแจ้งเพิ่มเติมเพื่อเตรียมรองรับลูกค้าในอนาคตด้วยครับ เมื่อทีมงานของทาง Sundance มาต้อนรับเราถึงรถด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสและเป็นกันเอง ก็ยิ่งทำให้ First Impression ของเราดีมากขึ้นไปอีก จากนั้นเราก็ถูกพาไปยัง Lobby เพื่อรับเวลคัมดริ้งค์ ซึ่งที่นี่มีเป็นเมนูมาให้เลือกได้ตามความชอบ ต่างจากทั่วๆไปที่จะเสิร์ฟเมนูเดียวที่กำหนดมาแล้ว เราประทับใจเมนูกาแฟที่ใช้เมล็ดจาก Brave หนึ่งในโรงคั่วโปรดของเรา พลันรู้สึกเสียดายที่เรามาถึงช้าไปหน่อยจนเลยเวลาดื่มกาแฟมาแล้ว ไม่งั้นถ้าฝืนดื่มไปคงต้องนอนใจสั่นทั้งคืน จึงขอเลือกเป็นน้ำผลไม้สดชื่นๆคลายร้อนแทน เช็คอินเสร็จแล้ว เข้าห้องพักกันเลย ขอเกริ่นก่อนว่าห้องพักที่นี่เป็น Option เสริม เพื่อบริการสำหรับลูกค้าที่อยากเปิดห้องพักส่วนตัวเพื่อความสะดวกเท่านั้น เราจึงไม่ได้เน้นรีวิวห้องมาก แต่ก็อย่างที่เห็นห้องพักที่นี่ขนาดกำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ตกแต่งโทน Neutral สะอาดตา แสงสวย ถ่ายรูปขึ้นเลยครับ ห้องที่เราเข้าพักเป็นแบบ Classic For Two สะดวกสบายได้มาตรฐานสำหรับ 2 คนครับ มีทั้งอ่างอาบน้ำ และ Shower ในห้องเดียว เพิ่มเติมอีกนิดหากเราซื้อ Day Pass เข้ามาแล้ว สนใจจองห้องพัก ให้ลองถามทางพนักงานเพิ่มเติมนะครับ แว่วๆมาว่าจะได้รับส่วนลดห้องพักเพิ่ม 30% และยังยืดอายุ Day Pass ของเราให้ใช้ได้ถึง 2 วัน (ในวงเงินที่เหลือจากวันแรก) อีกด้วย ปล่อยใจให้เริงระบำไปกับแสงตะวันที่ Sundance Dayclub สีฟ้า-น้ำเงินของมวลน้ำทั้งที่อยู่ในสระและในท้องทะเลที่ไกลออกไป เมื่ออยู่คู่กับร่มสีขาว และ Day Bed สีอ่อนๆแล้ว ให้อารมณ์ผ่อนคลายที่โก้หรูง่ายมาก บริเวณสระริมทะเลตรงนี้คือใจความสำคัญทั้งหมดของ Dayclub แห่งนี้ ซึ่งเราขอแบ่งออกเป็น 3 โซนหลักนะครับ หากเราหันหน้าออกไปทางทะเลด้านซ้ายมือสุดจะเป็นโซน Sunrise ซึ่งจะเสิร์ฟอาหารไทยซึ่งเน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่นสดๆและปรุงให้ได้รสชาติอร่อยถึงเครื่องแบบไม่ประณีประนอมให้รำคาญใจ รวมถึง Cocktail อร่อยสดชื่นอารมณ์ทะเลเขตร้อนที่เน้นส่วนผสมเป็นรัม เตกีล่า ว็อดก้า รวมไปถึงสมุนไพรไทยที่ดื่มง่าย เอาไว้ตกเย็นเราจะพาไปดินเนอร์กันที่ Sunrise กันนะครับ โซนตรงกลางนั้นเป็นโซนสระว่ายน้ำหลักที่ยาวถึง 40 เมตร เทควิวทะเลแบบ Panorama ไปเลย เราชอบการดีไซน์แบ่งกั้นโซนในสระให้เป็นมุมย่อยๆ เพิ่มอารมณ์ที่หลากหลายและความเป็นส่วนตัวของนักแช่น้ำ ตรงนี้มี Sunken Pool Bar ที่เราสามารถออร์เดอร์เครื่องดื่มได้จากในสระเลย รวมถึงมีเซ็ตโต๊ะเก้าอี้ในสระเพื่อให้นั่งจิบเครื่องดื่มสวยๆด้วย รอบๆสระนั้นรายล้อมไปด้วย Daybed และที่นั่งหลายแบบ โซนนี้คือโซนหลักที่ลูกค้าส่วนใหญ่จะมาจับจองเป็นฐานทัพสำหรับการพักผ่อน อ้อ! ลืมบอกไปว่าเรือนกระจกมินิมอลที่อยู่ในโซนนี้นั้น เค้าก็เตรียมการไว้ว่าจะเปิดให้บริการ Afternoon Tea และเปิดแอร์เย็นฉ่ำรอรับคนที่ชาร์จพลังแดดจากภายนอกจนเต็มอิ่มเรียบร้อยแล้ว แทรกนิดนึงครับ อยากบอกว่าน้ำหอม Eden-Roc กลิ่นใหม่ล่าสุดจาก Dior ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาหอมมากกกก เราพกมาใช้ที่นี่ด้วย เหมาะกับบรรยากาศริมทะเลแบบนี้สุดๆครับ ไว้เราจะเอามา Unbox และรีวิวกันให้ดูนะครับ ฝั่ง Sunset: Pool Bar Grill และ VIP Zone โซนขวาสุดเมื่อเราหันหน้าออกไปทางทะเลมีชื่อว่า Sunset โซนนี้จะมีสระแยกพิเศษอีก 1 สระ เพราะเป็นโซน VIP ด้วยครับ มีเซ็ต Daybed พร้อมที่นั่งพักผ่อนแบบพิเศษเพียง 3 เซ็ต แต่ละเซ็ตรองรับได้ 6-8 คน หากหารเฉลี่ยราคา 30,000 บาท/เซ็ต ก็ตกคนละประมาณ 3,750-5,000 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มขึ้น นำไปเป็นเครดิตแลกซื้ออาหารและเครื่องดื่มซึ่งมีตัวเลือกที่พรีเมี่ยมและหาทานยากมากยิ่งขึ้น รวมไปจนถึงระยะเวลาที่สามารถใช้ Day Pass ถึง 10 ชั่วโมง (ถ้าจองห้องพักด้วยก็ขยายไปถึงวันรุ่งขึ้นด้วย) ก็ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียวครับ นอกจากสระที่แยกออกมาแล้ว โซน Sunset ยังมีบาร์เครื่องดื่มพรีเมี่ยม และ Pool Bar Grill ครัวตะวันตกที่เน้นเสิร์ฟอาหารทะเลแบบยุโรปที่อร่อยเลิศไม่แพ้ฝั่งครัวไทยเลยครับ เราจะพาไปทานในมื้อกลางวันกันนะครับ พอมี Nachos มาวางบนโต๊ะแล้ว บางแว่บก็แอบว๊าปทิพย์ไปอยู่ Cancun ที่ Mexico เหมือนกันนะครับ แต่พอหันไปเจอน้องหอยนางรมกับซอส Red Wine Vinegar แล้ว ก็แอบจินตนาการว่าอยู่ St.Tropez ไปอีก กลับมาจิบเครื่องดื่มที่หัวหินก่อนนนนนนนนนนน เราเลือก Skyline (320.-) รสเปรี้ยวอมหวานด้วย Bourbon, Passion Fruit, น้ำ Lemon และอื่นๆ กับอีกแก้วเป็นแนวฮาวายไปเลยคือ Aloha, Beaches (320.-) ซึ่งมีส่วนผสมของ White Rum, Malibu น้ำสับปะรด น้ำเชื่อมใบเตย กะทิ และอีกมากมาย อร่อยอย่างไทย รสชาติ Uncompromised ที่ Sunrise มาตามสัญญาครับ พามาทานดินเนอร์อาหารทะเลสดๆรสถึงเครื่องกันครับ อาหารที่เราทานในวันนี้มีอะไรบ้างไปดูกันเลยครับ ส่วนเรื่องรสชาติขอสรุปง่ายๆทุกจานเลยว่าอร่อยมากจริงๆ ให้รูปบรรยายแทนแล้วกันนะครับ เริ่มกันด้วยขนมจีนน้ำยาปูทอดมันปลาอินทรีย์ (650.-) เป็นเมนูที่ออกแบบมาให้ทานคู่กัน 2 จานเลยครับ น้ำยาเข้มข้น เนื้อปูหวาน ปริมาณเยอะครับ จานที่ 2 กุ้งคั่วพริกเกลือ (340.-) กุ้งสด กระเทียมกรอบ อร่อยง่ายๆเลยครับ ต่อมาเป็นหมึกต้มมะนาวน้ำดำ (380.-) จานนี้ปกติเราเคยกินแบบปรุงรสหวานเค็มธรรมดา แต่ที่นี่บีบมะนาวใส่ลงไปด้วย ให้รสชาติเปรี้ยวแซ่บน่าสนใจคล้ายๆหมึกนึ่งมะนาวในอีกมิตินึง และจานสุดท้ายซึ่งเราคิดว่าเป็นทีเด็ดของมื้อเลยก็ว่าได้ครับก็คือ ส้มตำปูไข่ดอง (650.-) แน่นอนว่าไข่ปูสีส้มเข้มตรงฝากระดองนั้นทำให้เราไม่ได้โฟกัสที่ส้มตำเลยครับ จานนี้เสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้มซีอิ๊วกับพริกขี้หนู แอบฟิวชั่นเกาหลีเบาๆ แต่เราไม่มายด์เลยจริงๆครับ ขูดไข่ปูคลุกข้าวราดซีอิ๊วฟินพุงมากครับ เราจบมื้อด้วยของหวานที่ได้ Inspo มาจากข้าวเหนียวมะม่วง แต่ที่นี่ปรับให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นเป็นมะม่วงสาคูไอศกรีมกะทิสด ซึ่งหลังจากมื้อหนักขนาดนี้ เราคงทานข้าวเหนียวต่อไม่ไหว การปรับมาเป็นสาคูและไอศกรีมก็ช่วยให้เบาลงเยอะเหมือนกันครับ อุ้ย! ลืมพูดถึงเครื่องดื่มเลยครับ เราสั่ง A Plum Job (320.-) ซึ่งเป็นส่วนผสมของจิน น้ำบ๊วย เลม่อน และโทนิค เปรี้ยวหวานชื่นใจ และอีกแก้วเป็น Midsummer (320.-) ที่เน้นรสชาติหอมหวานแบบทรอปิคอลแต่มีรสเมล่อนของ Midori เข้ามาเสริมความอร่อยด้วย หลังจากดินเนอร์ เราก็ตัดสินใจออกไปเดินเล่นในตลาดหัวหินเหมือนกับแทบทุกครั้งที่มาเที่ยว จากตลาดหัวหินที่เคยครึกครื้นมากๆ คราวนี้เรารู้สึกสลดใจแทนผู้ประกอบการหลายๆท่าน เพราะตลาดค่อนข้างเงียบเหงา หลายร้านก็ต้องปิดตัวลงไป เดินได้แป๊บเดียวก็เลยตัดสินใจกลับห้องดีกว่า ตอนแรกตั้งใจว่าวันนี้จะไม่แช่อ่าง แต่พอกลับห้องเร็วก็เลยมีเวลา และเห็นน้องอ่างนอนรออยู่ข้างเตียงก็เลยอดไม่ได้จริงๆ ขอลงซักหน่อยแล้วกันนะคับ 5555 Breakfast at Sundance เราได้รับตารางอาหารเช้ามาให้เลือกตั้งแต่ตอนเช็คอินเมื่อวาน มีให้เลือกหลากหลายจนติ๊กแทบไม่ถูกเลย ทั้งแบบเอเชียและฝรั่ง คาวหวานมีครบเลยครับ เราจึงเลือกเป็นข้าวต้มแห้งทะเลแบบไทยๆ 1 เช็ต มาพร้อมกับน้ำจิ้มรสแซ่บตัดเลี่ยนอร่อยมาก มีเครื่องเคียงเป็นปาท่องโก๋กับผลไม้สดด้วย อีกเช็ตเป็น Open Toast ซึ่งมี Ingredient List ให้เราเลือกประกอบเองเยอะมาก เราเลือกเป็น Sourdough, Smashed Avocado, Rocket, Australian Roast Beef และ Poached Egg ครับ อร่อยมากเช่นกัน ตบท้ายด้วยโยเกิร์ตผลไม้ชื่นใจ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือกาแฟจาก Brave ไม่อิ่มก็ให้รู้ไปครับ 555 เอาเข้าจริงๆเราชอบอาหารเช้าแบบนี้มากกว่าแบบบุฟเฟต์นะครับ เพราะเรารู้สึกว่าเราได้คุณภาพอาหารที่ดีกว่าทั้งในเรื่องวัตถุดิบและการปรุงแบบสดใหม่ กินอิ่มแล้ว เราไปเดินเล่นถ่ายรูปใน Sundance Dayclub กันครับ จะได้ช่วยให้อาหารย่อยด้วย มุมถ่ายรูปไม่ใช่สิ่งที่ขาดแคลนเลย และที่สำคัญก็คือแสงแดดเวลาทอดผ่านอาคารและเงาไม้นั้นทำให้รูปออกมาสวยงามมากครับ มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะจริงๆครับ ระหว่างที่เดินสำรวจไปรอบๆ เราแอบเห็นห้องเด็กเล่นที่ชื่อ Sunchild และ Facilities เสริมอื่นๆที่ยังสร้างไม่เสร็จดี เมื่อเสร็จแล้วน่าจะตอบโจทย์สำหรับลูกค้ากลุ่ม Family ด้วยครับ จุ่มน้ำ-ระบำแดด ที่ Sundance นี่แดดดีจริงๆครับ ถ้าเป็นเมื่อ 10 ปีก่อนสมัยที่คนยังกลัวแดดกันมากๆ และครีมไวท์เทนนิ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เราคงจะไม่กล้าลงสระท้าแดดแบบนี้แน่ๆ แต่นี่คือปี 2021 อะไรต่างๆก็เปลี่ยนไป เราสนุกกับการได้ว่ายน้ำป๋อมแป๋ม ปล่อยใจไปกับวิวสวยๆและเครื่องดื่มเย็นๆ จนได้ผิวสีแทนสุขภาพดีเป็นรางวัล (แต่ก็อย่าลืมทาครีมกันแดดด้วยนะครับ) ทริปนี้เราพกเครื่องประทินผิวของ Baum แบรนด์รักษ์โลกใหม่ล่าสุดจากเครือ Shiseido มาด้วย สั่งตรงมาจากญี่ปุ่น เพราะในไทยยังไม่มีขายครับ ถ้าอยากให้รีวิวก็คอมเม้นท์ทิ้งกันไว้ได้เลยครับ จากโพสต์ก่อนๆมีคนแอบถามมาว่าแว่นตากันแดดของเรายี่ห้ออะไร จริงๆมีหลายแบรนด์เลยครับ แต่เราถูกใจ Ermenegildo Zegna จาก Italy เป็นพิเศษ ซื้อมาหลายแบบ และพกไปด้วยแทบทุกทริปเลยครับ เพราะดีไซน์สวยคลาสสิค แมทช์ง่าย ไม่เอะอะ แถมใช้เลนส์ Carl Zeiss ที่คุณภาพดีสุดๆเลย Ermenegildo Zegna แม้เป็นแบรนด์ Luxury สำหรับผู้ชายที่เก่าแก่เกิน 100 ปี แต่หลังๆมานี้น่าจับตามากครับ โดยเฉพาะ Fashion Show ช่วงที่ผ่านมา แต่ละโชว์นี่ดีงามล้ำสมัยเหลือเกินครับ Lunch ที่ Sunset: Pool Bar Grill ก่อนกลับ ก่อนกลับกทม.เราขอเสพความประทับใจสุดท้ายแบบฝรั่งๆกันซักนิดนะครับ มื้อนี้เรามูฟมาทานฝั่ง Sunset อร่อยไม่แพ้มื้อดินเนอร์เมื่อคืนเลย แต่เอาจริงๆก็เทียบกันไม่ได้นะครับ เพราะให้อารมณ์คนละซีกโลก จานแรก Mussels in Sour Beer (450.-) หอยแมลงภู่ฝรั่งเนื้อจะนุ่มกว่าของไทยนะครับ นำมาอบเบียร์ อร่อยเหมือนที่เบลเยี่ยมเลยครับ Spaghetti alla Puttanesca ตัวซอสปรุงจากมะเขือเทศ ปลาแอนโชวี่ส์ มะกอก เคปเปอร์ส์ รสชาติจะออกเค็มๆเปรี้ยวๆหมักๆหน่อยครับ เราชอบนะครับ แต่บางคนที่ไม่คุ้นอาจต้องใช้เวลาปรับนิดนึง Paprika-Spiced Prawn Salad จานนี้ทานง่าย อร่อยด้วยครับ ช่วยตัดเลี่ยนได้ดีมากเลย Baracuda Ratatouille ปลาบาราคูด้าแปลเป็นไทยว่าปลาสาก แต่เนื้อไม่มีความสากเลยครับ ขาวนุ่มมาก เชฟย่างให้หนังกรอบกำลังดี วางบนราตาทูอีย์ เมนูผักสุดคลาสสิคของฝรั่งเศสที่ถูกทำให้โด่งดั่งผ่านแอนิเมชั่นของ Pixar Beef Cheek with Grilled Asparagus & Sauteed Mushroom ถ้าให้เดา เนื้อแก้มวัวในจานนี้น่าจะตุ๋นด้วยไวน์แดงนะครับ ถ้าผิดขออภัยด้วยครับ แต่ที่ไม่ผิดชัวร์ๆคือนุ่มอร่อยมากกกก มื้อกลางวันนี้อากาศค่อนข้างร้อน เราจึงเลือก Cool As Cucumber ค็อกเทลฤทธิ์เย็นมาช่วยดับร้อนซะหน่อย อร่อย ดื่มง่ายเช่นเคยครับ อีกแก้วขอสนุกๆก็เลยเลือก Shell Yeah! ซึ่งมีหอยนางรมเป็นแรงบันดาลใจมีส่วนผสมของ Vodka และ Oyster Liqour แถมเสิร์ฟกับหอยนางรมสดด้วย แต่แปลกแฮะดื่มแล้วไม่คาวเลยกลับสดชื่นซะด้วยซ้ำ ของหวานมื้อนี้เป็น Millefeuille เบอร์รี่สีแดงสวยงาม และ Chocolate Bundt Cake เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวนิลา ร้านชายามบ่าย จะว่าไปเจ้า Glass House มินิมอลแห่งนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของ Concept ทั้งหมดของ Sundance Dayclub นี่เลยก็ได้ เพราะนี่คือ Sundance Lounge ร้านน้ำชาในตำนานที่ให้บริการมาตั้งแต่สถานที่แห่งนี้ยังใช้ชื่อเดิม วันนี้เรือนน้ำชาแห่งนี้กำลังได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อเตรียมรับลูกค้าที่จะกลับมาเยี่ยมเยียนกันอีกครั้ง เราขออนุญาตพาเพื่อนๆเข้าไปแอบส่องดูข้างในกันก่อนใครนะครับ บรรยากาศด้านในสวยวินเทจด้วยกระจกสีชา รู้สึกเหมือนอยู่ในคาเฟ่เก๋ๆริมทะเลในยุโรปแถว French Riviera หรือไม่ก็แถบ Almafi Coast เลยครับ ที่สำคัญคือเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลบไอแดดจากด้านนอกมากเลยครับ สรุปความประทับใจ สถานที่ดีไซน์งดงาม แบรนดิ้งโดดเด่น อาหารอร่อย(มาก) บริการน่าประทับใจ (ถามหาห้องน้ำก็พาไปถึงที่เลยครับ) สำหรับราคาเริ่มต้น 2,000 บาท/คน จะคุ้มมากสำหรับคนที่ต้องการใช้เวลากับการปล่อยอารมณ์พักผ่อนจริงๆครับ และน่าจะไม่เหมาะกับสายตะลอนเที่ยวหรือเก็บแต้มเช็คอินเท่าไหร่นัก เพราะอาจจะใช้เวลายังไม่ทันคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย เราชื่นชมผู้ประกอบการที่เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ สามารถนำจุดเด่นของตัวเองมาพลิกแพลง สร้างเป็นโอกาสและประสบการณ์ใหม่ๆให้ลูกค้าได้สัมผัสและเอ็นจอย ที่ Sundance Dayclub แห่งนี้เราสัมผัสได้ถึง Passion และกระบวนการคิดออกแบบที่ละเอียดรอบคอบของทีมงานที่อยู่เบื้องหลังได้อย่างชัดเจน ในฐานะผู้เข้าใช้บริการต้องบอกว่าประทับใจมากครับ ไม่ใช่เฉพาะแค่สถานที่ที่สวยงาม หรืออาหารอร่อยๆ แต่สิ่งที่เราประทับใจที่สุดคือ "คน" ผู้เป็นจิตวิญญาณขับเคลื่อนให้สถานที่แห่งนี้มีชีวิต ต้องขอขอบคุณทีมงาน Sundance Dayclub อีกครั้งครับที่ดูแลเราเป็นอย่างดี #LetsHoparound