Search Results
126 results found with an empty search
- Tokyo เที่ยวกี่รอบก็ไม่เบื่อ รวมที่เที่ยว กิน ช้อปรอบโตเกียว อัพเดทที่เที่ยวโตเกียวล่าสุด รีวิว Tokyo ล่าสุด
อัพเดทที่เที่ยวโตเกียว รีวิว Tokyo ล่าสุด รีวิวโตเกียวฉบับเต็ม Coming Soon #Tokyo เที่ยวกี่รอบก็ไม่เบื่อ นอกจากจะเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแล้ว โตเกียวยังครบรสและพร้อมเสิร์ฟให้กับทุกความต้องการ แต่ละย่านนั้นมีคาแรคเตอร์ที่หลากหลาย พุ่งพล่านไปด้วยเอเนอร์จี้ความเก๋ เท่ สนุก แปลกใหม่ให้สัมผัสในทุกๆครั้งที่ได้ไป จะซ้ำกี่รอบก็ยินดี ที่สำคัญอาหารอร่อยล้ำถูกปากไม่ว่าจะเป็นร้านเก่าแก่ดั้งเดิม หรือร้านใหม่ไวรัลว่อนเน็ต ในปี 2025 นี้ เราจะพาเพื่อนๆไปนอนโรงแรมในเครือ #Hyatt ใน 2 โลเคชั่นสุดปัง จากนั้นก็เดินวินโดว์ช็อปปิ้งอัพเดทร้านเก๋ในย่านต่างๆ พาชมมิวเซี่ยมสุดครีเอทีฟ แล้วก็แวะไปแลนด์มาร์คลักชูรีแห่งใหม่ในย่าน Azabudai Hills แถมวิว Tokyo Tower สุดคลาสสิคจากหลายๆมุมด้วย ที่สำคัญคือกิน! รอบนี้เราได้ลองหลายร้านเลย เช่น Brunch ที่นำเอาวัตถุดิบญี่ปุ่นมาตีความใหม่ในแบบตะวักตกที่ร้าน PATH ราเมงเป็ดจากร้าน Ramen Ginza Onodera ย่าน Omotesando อีกหนึ่งผลงานจากเชฟ Terada เจ้าของมิชลิน 4 ปีซ้อน แพนเค้กแสนอร่อยที่ร้าน Butter ในย่าน Marunouchi ร้านเนยพรีเมี่ยมจากเมือง Bie บนเกาะ Hokkaido ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ที่ญี่ปุ่น รวมไปถึง Gin กลิ่นแกงเขียวหวานที่ Tokyo Riverside Distillery ย่าน Kuramae อ้อ! แล้วก็มีข้าวหน้าหอยลาย Fukagawa Don อาหารโลคอลโบราณตั้งแต่สมัยเอโดะที่เราประทับใจมากๆด้วย นี่แค่ตัวอย่างนะครับ ยังมีทั้งปิ้งย่าง ชาบู คัตสึด้งและคาเฟ่เจ๋งๆอีกเยอะเลย ยังไงก็ Hop ไปเที่ยวโตเกียวด้วยกันนะคร้าบบบบ #ญี่ปุ่น #โตเกียว #รวมที่เที่ยวโตเกียว #รีวิวโตเกียว #รีวิวญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง #เที่ยวโตเกียว #LetsHoparound #HYATT #GrandHyattTokyo #HyattCentricGinza #GrandHyat #OmoteSando #Aoyama #Ginza #Vlog #Travel #Japan #AzabudaiHills #Kuramae #FukagawaDon #Museum #Art #Shopping #RamenGinzaOnodera #ButterTokyo #PATHTokyo #TokyoTower #2025 #Nephew #GinCafe ติดต่องาน: info.hoparound@gmail.com Collaborate with us: info.hoparound@gmail.com Website: www.hoparound.co Instagram: @ hoparound.co Facebook: @ hoparound.co TikTok: @ hoparound.co Pinterest: @ hoparound อัพเดทที่เที่ยวโตเกียว รีวิว Tokyo ล่าสุด รีวิวโตเกียวฉบับเต็ม Coming Soon โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท โตเกียว (Grand Hyatt Tokyo) Luxury Hotel In Roppongi รีวิวโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท โตเกียว (Grand Hyatt Tokyo) ใจกลางกรุงโตเกียว สัมผัสประสบการณ์ช่วงเวลาสุดพิเศษที่โรงแรมปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์ใจกลางย่านรปปงหงิ โตเกียว ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางย่านนานาชาติที่คึกคัก และเชื่อมต่อโดยตรงกับรปปงหงิ ฮิลส์ ศูนย์กลางวัฒนธรรมที่มีร้านค้าและร้านอาหารระดับไฮเอนด์กว่า 250 แห่ง โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ และหอดูดาว โรงแรมอยู่ห่างจากสถานีรปปงหงิเพียง 3 นาทีเมื่อเดินเท้า และให้บริการการเดินทางที่สะดวกสบายไปยังย่านยอดนิยม เช่น กินซ่าและชิบูย่า จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับทั้งการเดินทางเพื่อธุรกิจและการพักผ่อน ตัวห้องพักแบบ 2 Twin Beds อาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ สำรองห้องพัก: จองโรงแรม Grand Hyatt Tokyo ได้ที่นี่ เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง การเดินทาง: Roppongi Station สายสีเทา H Hibiya Line หรือ สายสีชมพู E Oedo Line ทางออก 1C Location: https://maps.app.goo.gl/MJf4euy9VkfTfiuc9 The National Art Center Tokyo ศูนย์ศิลปะแห่งชาติโตเกียว (The National Art Center, Tokyo - NACT) เป็นหนึ่งในพื้นที่จัดแสดงศิลปะที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในย่านรปปงหงิ แตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะทั่วไปตรงที่ไม่มีคอลเลกชันถาวร แต่เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน โดยนำเสนอศิลปะร่วมสมัยและศิลปะคลาสสิกจากทั้งศิลปินญี่ปุ่นและนานาชาติ จุดเด่นของศูนย์ศิลปะแห่งชาติโตเกียวแห่งนี้ สถาปัตยกรรม: ตัวอาคารออกแบบโดยคุณ คิโช คุโรคาวะ (Kisho Kurokawa) โดดเด่นด้วยโครงสร้างกระจกขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเป็นคลื่น นิทรรศการ: จัดแสดงงานศิลปะหมุนเวียนหลากหลายประเภท รวมถึงนิทรรศการระดับนานาชาติ การร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ และการจัดแสดงของศิลปินอิสระ ห้องสมุดและสิ่งอำนวยความสะดวก: มีห้องสมุดด้านศิลปะขนาดใหญ่ ร้านค้าของพิพิธภัณฑ์ และคาเฟ่ ทำเลที่ตั้ง: ตั้งอยู่ในย่านรปปงหงิ ซึ่งเป็นศูนย์กลางศิลปะที่สำคัญของโตเกียว ใกล้กับพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะโมริ (Mori Art Museum) เวลาเปิดปิด: เปิด 10:00-18:00 วันพุธ - วันจันทร์ ปิดวันอังคาร การเดินทาง: Roppongi Station สายสีเทา H Hibiya Line หรือ สายสีชมพู E Oedo Line ทางออก 1C Location: https://maps.app.goo.gl/29iEtdTLEBYnP7BT8 PATH ร้านอาหาร All Day Dining ที่มีคิวล้นตลอดทั้งวัน ตั้งอยู่ใน: A―FLAT ที่อยู่: ญี่ปุ่น 〒151-0063 Tokyo, Shibuya, Tomigaya, 1 Chome−44−2 A-Flat, 1F โทรศัพท์: +81 3-6407-0011 เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 8:00–13:00, 18:00–22:00 ปิดทุกวันจันทร์ Nephew คาเฟ่และร้านอาหาร All Day Dining เราชอบการตกแต่งร้าน บรรยากาศและการบริการของร้านนี้มากๆ ตั้งอยู่ใน: 第22SYビル ที่อยู่: 1 Chome-7-2 Tomigaya, Shibuya, Tokyo 151-0063 ญี่ปุ่น โทรศัพท์: +81 3-5738-8908 เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 8:00–17:00, 19:00–0:00 Coffee Supreme ร้านกาแฟยืดหนึ่งในใจเรา นี่คือแบรนด์ คอฟฟี่สุพรีมเป็นแบรนด์ดังจากประเทศนิวซีแลนด์ ที่อยู่: ญี่ปุ่น 〒150-0047 Tokyo, Shibuya, Kamiyamacho, 42−3 1F โทรศัพท์: +81 3-5738-7246 เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 8:00–18:00 Lost and Found ร้านขายข้าวของเครื่องใช้ในบ้านย่านชิบูย่า ที่คัดสรรค์มาแล้วทุกชิ้น! ที่อยู่: ญี่ปุ่น 〒151-0063 Tokyo, Shibuya, Tomigaya, 1 Chome−15−12 鈴ビル 1 階 โทรศัพท์: +81 3-5454-8925 เวลาทำการ: ทุกวัน 11:00–19:00 ปิดวันอังคาร Tom Wood แบรนด์เครื่องประดับจิวเวอรี่ชื่อดังจากนอร์เวย์ Tom Wood เป็นแบรนด์จิวเวลรี่ที่ผสานความแม่นยำเข้ากับนวัตกรรมสุดล้ำ แบรนด์นี้เน้นงานสร้างสรรค์ผลงานแต่ละชิ้นด้วยความใส่ใจในงานฝีมืออันประณีต โดยใช้วัสดุและกระบวนการที่รับเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก่อตั้งโดย Mona Jensen ในปี 2013 เธอเปิดตัวแบรนด์ด้วยคอลเลกชั่นจิวเวลรี่ขนาดเล็กที่ตีความจากแหวนตราประทับประวัติศาสตร์ในรูปแบบสมัยใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จในทันที หลังจากนั้นไม่นาน Morten Isachsen สามีของเธอได้เข้าร่วมบริษัท โดยมีสาขาแค่ที่เมืองออสโล ประเทศญี่ปุ่น และบาร์เซโลนา ที่อยู่: 3 Chome-14-20 Minamiaoyama, Minato City, Tokyo 107-0062 ญี่ปุ่น โทรศัพท์: +81 3-6447-5528 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 12:00–20:00, เสาร์-อาทิตย์ 11:00–20:00 Ramen Ginza Onodera HONTEN 麺 銀座おのでら本店 ร้านราเมงสุดอร่อยแห่งย่าน Omotesando ตั้งอยู่ใน: PRYME CUBE 表参道 ที่อยู่: ญี่ปุ่น 〒107-0061 Tokyo, Minato City, Kita-Aoyama, 3 Chome−5−40 PRYME CUBE表参道 1階 โทรศัพท์: +81 3-6721-0910 เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 11:00–21:30 A+S ARCHITECTURE AND SNEAKERS ร้านสนีกเกอร์ที่ยกดีไซน์มาจากบ้านเก่า มาไว้ใจกลางกรุงโตเกียว เป็นสถานที่นำเสนอ Sneaker ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายราวกับไปนั่งลองรองเท้าบ้านเพื่อนเลยแหละ แถมที่นี่ยังมีสินค้าอื่นๆ นอกจากรองเท้าให้เลือกช้อปกันอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าไปจนถึงกระเป๋า แจกันแต่งบ้าน มาลองเดินเล่นกันได้ครับ เวลาเปิดปิด: เปิด 12:00-20:00 ที่ตั้ง: 2F 3-34-10 JINGUMAE SHIBUYA-KU TOKYO 150-0001 JAPAN Location: https://maps.app.goo.gl/29iEtdTLEBYnP7BT8
- PARIS CITY GUIDE เที่ยวปารีส Part 1
PARIS PART 1 8 neighbourhoods to visit เที่ยว 8 ย่านชิคๆ คูลๆ ในปารีส ใครๆก็รู้ว่า Paris นั้นขึ้นแท่นเป็นเมืองยอดนิยมที่สุดตลอดกาลเมืองหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนานจนบางคนอาจรู้สึกว่า Paris กลายเป็นเมืองแมสที่ใครๆก็ไปกัน ไม่เท่เท่าเมืองใหม่ๆ ไม่ชิคเท่าเมืองที่ไปยากๆ แต่เชื่อเราเถอะว่า Paris ได้ตำแหน่งนี้มาอย่างสมศักดิ์ศรีเพราะนางมีดีมากเหลือเกินจริงๆ (อ่อ... คำว่า “ชิค” นี่ก็ภาษาฝรั่งเศสนะ) ทริปนี้เราจะพาคุณไป #hop ดู Paris ผ่าน 2 มุมมองที่ต่างกัน เพราะ 2 คนที่เดินทางไปด้วยกันนี้ คนหนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เมื่อ 10 ปีก่อนและอีกคนเพิ่งจะได้เปิดซิง Paris เป็นครั้งแรกแม้ว่าเราจะใช้เวลาซ่อกแซ่กอยู่ในปารีส 11 วันเต็มๆ เราก็ยังเที่ยวไม่ครบเล้ยยยย ครั้งนี้เราใช้บริการการบินไทยและเราจ่ายเพียงค่าภาษี 6,xxx บาทเท่านั้น แต่ก็สามารถติดแฮชแทค #IflyThai #ThaiAirways ได้แบบไม่น้อยหน้าใคร ต้องขอบคุณพลังทวีในการสะสมไมล์ผ่านบัตรเครดิต THAI Amex Platinum Card ที่ทำให้เราสะสมไมล์ได้เร็วขึ้นผ่านการจับจ่ายซื้อของต่างๆในชีวิตประจำวัน และยิ่งถ้าซื้อตั๋วการบินไทยผ่านบัตรนี้ด้วยแล้วล่ะก็ เราจะได้ไมล์สะสมหลายเด้ง แถมแบ่งชำระ 0% ได้ 3 เดือนอีกต่างหาก นอกจากหอไอเฟล มาการอง และกระเป๋าแบรนด์เนมที่ใครๆก็นึกถึงเมื่อพูดถึง Paris แล้ว ต้องบอกว่าเมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้คือแหล่งบ่มเพาะการสร้างสรรค์งานศิลปะ แฟชั่น อาหาร ดนตรี ปรัชญา ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เริ่ดหรูอย่างหน้าตายจนน่าหมั่นไส้ ถ้าเป็นคนชอบเดินดูเมือง ดูคน ดูร้าน ดูงานดีไซน์ไปเรื่อยคุณจะเอ็นจอย Paris มากๆ (โดยเฉพาะย่าน Le Marais ย่านโปรดของเรา) หลายสิ่งด้านลบที่เราเคยได้ยินมาเกี่ยวกับปารีส ไม่ว่าคนไม่เฟรนด์ลี่ หรือขโมยเยอะ มาคราวนี้เราไม่เจอเลย คนปารีสส่วนใหญ่ nice กับเรามาก (ยกเว้นเจ้าหน้าที่ Tax Refund ที่สนามบินขากลับ) และถ้าเทียบเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรารู้สึกว่าคนปารีสยุคนี้พูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นมาก และไม่พยายามทำหงุดหงิดแก้เขินเหมือนเมื่อก่อน 20 arrondissements ผังเมือง Paris แบ่งง่ายๆเป็น 20 เขต (arrondissements) โดยวนเป็นก้นหอย เริ่มจากฝั่งขวาของแม่น้ำเซน (บริเวณที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ Louvre) แล้ววนตามเข็มนาฬิกาออกไปเรื่อยๆจาก 1 จนถึง 20 แต่สำหรับเราแล้ว วิธีที่ทำให้เห็นภาพรวมของ Paris ได้ง่ายกว่านั้นก็คือซีกตะวันตกของ Paris จะเป็นย่านพักอาศัยของคนมีเงินมาก และซีกตะวันออกเป็นย่านของคนมีเงินน้อย ส่วนซีกบนของ Paris (หรือฝั่งขวาของแม่น้ำเซน — La Rive Droite) จะเป็นย่านการค้า และซีกล่าง (หรือฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซน — La Rive Gauche) จะเป็นย่านของศิลปิน นักคิด นักเขียนและนักวิชาการ การเดินทางใน Paris นั้นง่ายมาก เพราะรถไฟใต้ดิน(Métro) เชื่อมต่อกันทั่วถึงทั้งเมือง และเชื่อมกับรถไฟออกไปถึงที่เที่ยวนอกเมืองอย่างพระราชวัง Verseille หรือ Euro Disney ด้วย ถ้าจะอยู่ใน Paris นานเป็นสัปดาห์อย่างเรา ขอแนะนำตั๋ว Navigo ที่มีทั้งตั๋วรายสัปดาห์และรายเดือนซึ่งคุ้มค่ามากๆ สามารถทำได้ตามจุดบริการของสถานี Métro ใหญ่ๆ แอบกระซิบหน่อยว่าต้องเตรียมรูปถ่ายไปติดบัตรด้วยนะ แต่ถ้าไม่ได้เตรียมไป ตามสถานีก็มักมีตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติเอาไว้อำนวยความสะดวกให้อยู่แล้ว ส่วนที่พัก เราเลือกพัก AirBnB แถวสถานี Grands Boulevards ตั้งอยู่ในเขต 2 ซึ่งสะดวกมากกกก มีสถานี Métro อยู่ปากซอยเลย แม้พื้นที่จะแคบไปหน่อยตามมาตรฐานยุโรป แต่ราคาก็ถือว่าเป็นมิตร แถมโฮสก็ดีด้วย ไปถึงวันแรกเค้าจัดดินเนอร์ให้เลย 1 มื้อ พูดถึงอาหารการกิน ส่วนตัวแล้วปารีสเป็นเมืองที่หาอาหารอร่อยถูกปากค่อนข้างยาก และราคาค่อนข้างสูง แม้อาหารฝรั่งเศสจะมีชื่อก้องโลก แต่อาหารฝรั่งเศสที่อร่อยก็ไม่ได้หาได้จากร้านข้างทางทั่วไป บางร้านต้องจองล่วงหน้านานๆ ฉะนั้นถ้าอยากกินของดีทำการบ้านกันไปก่อนนะ ส่วนถ้าใครติดกาแฟอย่างเรา คนที่นี่กินกาแฟค่อนข้างจืดนะ อาจจะหาถูกปากเหมือนบ้านเรายากนิดนึง แต่เราก็แอบบอกพิกัดไว้ในนี้แล้วล่ะว่ามีร้านไหนบ้างที่ขายกาแฟที่รสพอถูกปากเรา อีกเรื่องคือ ภาษาฝรั่งเศส เป็นอะไรที่ออกเสียงยากสำหรับคนที่ไม่คุ้น หนึ่งในการออกเสียงที่เด่นชัดที่สุดคือการออกเสียงตัว r ซึ่งปกติก็จะเทียบเท่ากับตัว ร.เรือ ในภาษาไทย แต่ภาษาฝรั่งเศสจะออกเสียงตัวอักษรนี้ด้วยการเอาลมผ่านไปที่เพดานอ่อนของช่องปาก ประหนึ่งว่าจะขากถุย 5555 แต่ทำแบบซอฟท์ๆ เสียงที่ออกมาจะเป็นส่วนผสมของ ค.ควาย + ฮ.นกฮูก และเราเขียนออกมาเป็นภาษาไทยค่อนข้างยาก ถึงเขียนได้ก็อ่านยากอยู่ดี เช่น Paris = ปาคฮี หรือ Marais = มาคเฮ่ ดังนั้นเพื่อความสะดวกเราจึงขอเขียนแทนด้วย ร.เรือ ง่ายๆเลยละกันนะ สุดท้ายก่อนจะไป #hop กัน ร้านใน Paris ส่วนใหญ่ปิดวันอาทิตย์นะ ถ้าวางแผนจะมาก็ลองเช็ควันเวลากันให้ดีคร้าบบบ พวกแลนด์มาร์คและจุดช้อปปิ้งหลักๆอย่าง หอไอเฟล ถนน Champs-Élysées และห้างดังๆ เราขอข้ามไปเลยนะ น่าจะหาข้อมูลกันง่ายอยู่แล้ว เราพาไปดูอะไรที่ถูกจริตเรากันดีฝ่าาา . อ่ะถ้าพร้อมแล้วไปกัน Let’s Hop Around Paris... 1.La Rive Gauche (ลา รี้ฟ โก๊ช - เขต 5, 6 และ 7) คำว่า Rive Gauche หมายถึงฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซน นั่นก็คือซีกล่าง ของ Paris นั่นเอง อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าฝั่งซ้ายของแม่น้ำนั้นเดิมทีเป็นย่านของศิลปิน นักคิด นักเขียน และนักวิชาการคนสำคัญๆของฝรั่งเศสและของโลก ที่นี่เป็นต้นตอของความเป็นขบถของปารีส เช่น การถือกำเนิดขึ้นของร้าน Yves Saint Laurent Rive Gauche เมื่อปี 1966 ที่เปลี่ยนขนบให้แบรนด์ Haute Couture หันมาทำเสื้อผ้า ready-to-wear เป็นครั้งแรกเพื่อให้เป็นที่จับต้องได้ของคนธรรมดามากขึ้น ฝั่งนี้ของแม่น้ำจึงมีมนต์เสน่ห์บางอย่างที่ยังอ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศ แม้จะไม่พลุกพล่านอย่างอีกฝั่งของแม่น้ำ (ถ้าไม่นับบริเวณหอไอเฟลและพิพิธภัณฑ์ Musée D’orsay) แต่ร้านรวงที่อยู่ในละแวกนี้ต่างก็เป็นร้านที่ถูกคัดมาอย่างดีมากจริงๆ Beaupassage เริ่มจาก Beaupassage แหล่งรวมร้านอาหารติดดาวมิชลินรวมกันไว้ถึง 17 ดวง ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคม 2018 ที่ผ่านมา Location: https://goo.gl/maps/CFC37rBuxVNpLBZo8 เรามาที่นี่ไม่ได้ตั้งใจมากินอาหารหรอกนะ แต่เรามาหากาแฟรสชาติถูกปากดื่มที่ร้าน %ARABICA หลังจากที่อดอยากมาหลายวัน (อย่างที่บอก.. กาแฟในปารีสส่วนใหญ่ไม่ถูกปากเลย) แถมได้โบนัสด้วยคือได้มุมถ่ายรูปสวยๆที่ปราศจากผู้คน Location: https://goo.gl/maps/zGVyFnKb3KBfM2P7A จาก Beaupassage เราเดินเล่นตามถนน Rue de Grenelle ไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับช็อปใหญ่ของ Maison Margiela, Carven, Ami, Yohji Yamamoto รวมถึงแบรนด์เล็กๆแต่เก๋ๆอีกหลายแบรนด์ และร้านขนม ข้าวของกระจุกกระจิกน่ารักๆมากมาย ในรูปคือร้าน NOGLU ร้านอาหาร Gluten-free ที่ตกแต่งภายในได้โดดเด่นน่ารักมาก สามารถหาดูได้ใน Pinterest มีคนเอาไปลงไว้เยอะแยะเลย NOGLU Dalloyau (ดาลลัวโย) เป็นร้านขนมและอาหารเก่าแก่ มีหลายสาขา แม้ตัวร้านจะไม่ใช่ร้านขนมแรกของปารีส แต่ต้นตระกูล Dalloyau นั้นปรุงอาหารถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มาตั้งแต่ปี 1682 เชียวนะ AMI AMI (แปลว่า ‘เพื่อน’ แต่ดูจากราคาแล้วเพื่อนต้องรวยมากเหมือนกันนะ อิอิ) แบรนด์ที่เน้นเสื้อผ้าผู้ชายวัยรุ่นที่ดูสบาย แต่มีความเชิ่ดแบบปารีเซียงไปในเวลาเดียวกัน ถึง AMI จะมีเสื้อผ้าผู้หญิงด้วย แต่เค้าก็ยังใช้คำว่า “menswear for women” ก็คือเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงที่ inspired มาจากเสื้อผ้าผู้ชายอีกที เก๋ป่ะล่า หลายคนอาจเคยเห็นโลโก้ตัว A ที่มีหัวใจอยู่ด้านบนของนางไปบ้าง และนางก็มีช็อปอยู่ญี่ปุ่น กะจีนด้วยนะ ก่อตั้งโดยดีไซเนอร์ Alexandre Mattiussi ดีไซเนอร์เสื้อผ้าผู้ชายคนแรกที่ชนะรางวัล ANDAM อันทรงเกียรติในแวดวงแฟชั่นฝรั่งเศส Carven (คิดถึง....เค้าเคยมีช็อปในไทยด้วยนะ) Maison Margiela Maison Margiela แบรนด์แฟชั่นลักชัวรี่สัญชาติฝรั่งเศส (อีกแบรนด์โปรดของเรา) ซึ่งแต่ผู้ก่อตั้งเป็นชาวเบลเยี่ยม Martin Margiela อดีตมือขวาของ Jean Paul Gaultier ได้ตัดสินใจออกมาเปิดแบรนด์ของตัวเองในปี 1988 ผลงานของ Margiela นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากแนวคิด deconstructive ที่จับเอาชิ้นส่วนต่างๆของเสื้อผ้ามาแยกองค์ประกอบ ก่อนที่จะประกอบกันใหม่จนเกิดเป็นชิ้นงานที่ดูแปลกตา เอาเข้าจริงๆคนที่นำแนวคิดนี้มาใช้เป็นคนแรกๆก็คือ Rei Kawakubo แห่ง Comme des Garçons นั่นเอง แต่สไตล์ของ Margiela ก็มีการสร้างอัตลักษณ์ให้ออกมาต่างจากแบรนด์คอนเส็ปต์ deconstructive อื่นๆ ที่ทั้งเรียบง่ายแต่ก็เป็นที่จดจำได้อย่างดี อย่างเช่น การนำ Margiela numbers 0-23 ที่ใช้ในการแบ่งประเภทของสินค้าของแบรนด์ มาตกแต่งบนตัวสินค้าเลย โดยมีวงกลมล้อมรอบตัวเลขเพื่อบอกไว้ว่าสินค้าชิ้นนั้นอยู่ในแคทตากอรี่ไหน หรือจะเป็นการเดินด้ายหรือเชือกตรงมุมทั้ง 4 ของป้ายที่เป็นเอกลักษณ์ของ Margiela Yohji Yamamoto Le Bon Marché เดินมาไม่ถึง 10 นาทีก็จะเจอห้างหรูอย่าง Le Bon Marché (Métro สถานี Sèvres–Babylone) ห้างนี้ความเป็นมาอย่างยาวนานมาตั้งแต่ปี 1838 หรือ 181 ปีที่แล้ว ในปัจจุบันได้กลายเป็นห้างทันสมัยและได้ถูกเครือแบรนด์หรูอย่าง LVMH เทคโอเว่อร์ไปเรียบร้อยแล้ว Le Bon Marché นั้นคัดรวมเอามาทั้งแบรนด์หรูขึ้นหิ้งและแบรนด์นิชต่างๆที่หาได้ยากในห้างอื่น แม้ไม่ได้จะซื้ออะไร แค่เข้าไปดูการตกแต่งห้างก็คุ้มแล้ว อ่อ! ลืมบอกไปว่าทีเด็ดอีกอย่างของ Le Bon Marché ก็คือส่วนของ supermarket ที่มีชื่อว่า La Grande Epicerie de Paris โอยยย เดินเพลินเชียวแหละ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่างานของฝากต้องมา! Location: https://goo.gl/maps/5mmuhKYDNRdPqvuj9 ต้นคริสต์มาสลอยได้ สงสัยได้แรงบันดาลใจมาจาก Hogwarts Hermès ที่อยู่ไม่ไกลจาก Le Bon Marché ก็คือ ร้านใหญ่ของ Hermès (เป็นร้านแรกในฝั่ง Rive Gauche หลังจากที่เปิดขายอยู่ที่อีกฝั่งแม่น้ำมากว่า 170 ปี) สาขานี้ตั้งอยู่ในอาคารที่แต่เดิมเคยเป็นสระว่ายน้ำยอดนิยมที่คนเก๋ๆในยุค 1930s นั้นไปแฮงเอ้าท์กัน การตกแต่งจึงดูโอ่อ่าสง่างามด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco เมื่อมาทำใหม่ Hermès จึงรื้อเอาเสน่ห์เดิมมาขัดสีฉวีวรรณแล้วก็เพิ่มงานไม้สมัยใหม่ลงไป ทำให้บรรยากาศโดยรวมนั้นดูหรูหรา ทว่าสบายๆไม่เก๊กเกร็งจนเขิน Location: https://goo.gl/maps/EkYGcu6ccMaKEynJ7 เดินมาอีกหน่อยก็จะเจอ Aēsop สาขานี้เก๋อะ Soeur ถัดจากนั้นก็เข้าย่าน Saint-Germain-des-Prés ที่เป็นย่านวัยรุ่นและเข้าถึงง่ายขึ้นมาหน่อย ย่านนี้มีทั้งร้านเสื้อผ้ากระเป๋า เครื่องสำอางค์ เครื่องหอม ร้านหนังสือ รวมไปถึงร้านอาหาร คาเฟ่ เก๋ไก๋มากมาย ในรูปคือร้าน Soeur (เซอร์ - แปลว่าพี่หรือน้องสาว) เป็นร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงแสนเก๋ที่เราเคยเห็นผ่านตาใน IG จริงๆในย่านนี้มีคาเฟ่โบราณที่โด่งดังในความขลังอย่าง Cafe de Flore หรือ Les Deux Magots (แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมาฝาก) คือว่า สมัยก่อน 2 ร้านนี้เป็นเหมือนสภากาแฟของศิลปินและนักคิดนักเขียนระดับตำนานอย่าง Picasso หรือ Hemingway ซึ่งแวะเวียนมา 2 ร้านนี้กันบ่อยๆ Maison Kitsuné ในย่านนี้ยังเป็นที่ตั้งของ A.P.C. สาขาแรกในโลกบนถนน Rue Madame (ไม่เกี่ยวอะไรกะในรูปนะครับ 555) หรือจะเป็น Maison Kitsuné (อ่า อันนี้อยู่ในรูป), Sandro (มีของผู้ชายด้วยนะ สวยด้วยแหละ), COS ไปจนถึง Uniqlo และ Muji ก็มีให้เลือกซื้อกันตามใจชอบ นอกจากนี้ยังมีร้านขนมปังเก่าแก่ที่โด่งดังเรื่อง Sourdough อย่างร้าน Poilâne หรือจะเป็นร้านขนมหวานชื่อดังอย่าง Pierre Hermé ที่เมื่อ 10 ปีก่อน เรามักมาแวะซื้อขนมก่อนไปโรงเรียนบ่อยๆก็มีสาขาที่นี่ด้วย Le Pont Traversé เรารำลึกความหลังด้วยการเดินผ่านร้านหนังสือของสำนักพิมพ์ Taschen ที่เมื่อ 10 ปีก่อนเราเคยเป็นลูกค้าประจำ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเปิดขายอยู่ ใครเป็นแฟน Tashen ก็แวะมาได้เลย แถวนี้ยังมีร้านหนังสือเจ๋งๆ ที่ดูรกแต่เท่อีกร้านชื่อ Le Pont Traversé ร้านนี้เทิร์นมาจากร้านขายเนื้อเก่าแก่ ถือว่าคี้ปคอนเซ็ปต์ความดิบได้ดีมาก อีกหนึ่ง stop ที่อยากแนะนำคือร้าน skincare ชื่อ La Boté ที่ปรุงครีมและเซรั่มสดๆในแล็ปหน้าร้านเลย ก่อนปรุงจะมีการทำแบบสอบถามเพื่อหาสภาพผิวและปัญหาของลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะ คือ personalise กันสุดๆ ที่สำคัญราคาก็ไม่แพงด้วยนะนี่เหมามา 3 ขวดถ้วน 5555 ฝั่ง Rive Gauche นี้ยังมียังมีย่านย่อยๆที่น่าสนใจอีกเยอะมากไม่ว่าจะเป็น Quartier Latin ที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย Sorbonne ที่เก่าแก่กว่า 200 ปี หรือจะเป็นสวน Jardin du Luxembourg เราละเอาไว้ให้ชาว #hopsters มาซ่อกแซ่กต่อกันเองแล้วกันเนอะ 2. Le Marais (เลอ มาเรส์ - เขต 3 และ 4) Le Marais ถูกขนานนามว่าเป็นย่านที่เก่าแก่ที่สุดย่านหนึ่งในปารีส จากเดิมที่เป็นที่ลุ่มไร้ค่า เฉอะแฉะไปด้วยโคลน Le Marais ผ่านความเปลี่ยนแปลงมามากมาย วันนี้นางเป็นย่านที่ผสมสผานความหลากหลายไว้อย่างน่าสนใจ เพราะ Le Marais เป็นทั้งย่านชาวยิว ย่านไชน่าทาวน์ขนาดย่อม(ในอดีต) ย่านเกย์ ย่านศิลปะสมัยใหม่ ย่านงานดีไซน์ และย่านการค้าที่เต็มไปด้วยร้านรวงฮิปๆที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 วันถึงจะเดินครบ และเชื่อหรือไม่ว่า Nicolas Flamel ตัวละครที่ถูกยืมชื่อมาใช้ใน Harry Potter (เขาคือเป็นนักแปรธาตุผู้ลึกลับราวกับพ่อมดเมื่อเกือบ 700 ปีก่อน) ก็มีตัวตนอยู่จริงและบ้านของเขาก็ยังอยู่ที่นี่ใน Le Marais ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อ 10 ปีก่อน เราก็เช่าอพาร์ทเม้นท์อาศัยอยู่ในย่านนี้ ทำให้เราคุ้นเคยเป็นพิเศษ ดังนั้นเราจึงพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า ย่านนี้เป็น “ย่านโปรดที่สุดของเรา” เลยแหละ เพื่อไม่ให้เยิ่นเย้อ เราขอพาคุณๆ #hop ไปที่ร้านต่างๆที่เราชอบ และเลือกมาแนะนำเลยแล้วกันเนอะ เรานั่ง Métro มาลงที่สถานี Filles du Calvaire ซึ่งอยู่ในโซน Haut Marais หรือมาเรส์ตอนบน ว่ากันว่าโซนนี้นั้นเป็นย่านดีไซน์ที่คูลที่สุดของปารีสกันเลยทีเดียว บ้านเมืองแถว Le Marais Yvon Lambert ร้านหนังสือดีไซน์ Yvon Lambert เป็นร้านแรกที่เราพา #hop มาชมใน Le Marais เราหมดเวลาไปเป็นชั่วโมงกับร้านนี้ร้านเดียว ส่วนใหญ่เป็นหนังสือและแมกกาซีนดีไซน์ที่โคตรเท่ หลายเล่มไม่เคยเห็นที่ไหนเลยเพราะเป็น collection ของทางร้านเอง บางเล่มก็ทำมือ เรางี้เลือกไม่ถูกเลย เอาเข้าจริงๆเราก็ไม่ได้เก็ตความหมายที่คนทำหนังสือต้องการจะสื่อมากหรอกนะ แต่เรารู้แค่ว่าอันนั้นสวย อันนี้ชอบ ซึ่งก็ชอบเกือบหมด 5555 Location: https://goo.gl/maps/Mycw4PAWRN2BPpdX7 Papier Tigre Papier Tigre ร้านขายเครื่องเขียน Stationery สุดคิ้วววท์ ใครชอบเครื่องเขียนน่ารักๆ แนะนำให้มาร้านนี้เลย เราเห็นของน่ารักไม่ได้ เป็นต้องซื้อกลับบ้าน!! (ซื้อเยอะด้วย ฮาๆๆ) Location: https://goo.gl/maps/wftDYnsUoASWeHzF9 Hello = Bonjour Tom Greyhound Paris Tom Greyhound Paris เป็นร้าน select shop ชื่อดังที่มีสาขาแค่ที่ปารีสกับเกาหลีเท่านั้น บอกเลยว่าของครบมาก เลือกของมาได้ดีมากเรียกได้ว่าซื้อไปนี่รับรองไม่ซ้ำใครแน่นอน พนักงานก็เป็นกันเองช่วยเหลือสุดๆ (ช่วยให้เสียตังค์สิ ฮ่าๆ) Location: https://goo.gl/maps/nwLHtVA5WmhnXc2w9 MHL. MHL. แบรนด์น้องของ Magaret Howell สัญชาติอังกฤษ ถ้าจะซื้อกระเป๋าผ้าที่นี่ไม่มีน้าาา เพราะกระเป๋าผ้าแบบที่ฮิตๆกันเป็นดีไซน์ที่มีขายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น Location: https://goo.gl/maps/agauRH6LcGfjxC9GA Maison Standards ร้านนี้เราชอบเป็นพิเศษ เพราะงานดี สไตล์ดี ราคาดี ดีไปหมดจริงๆ ช่วยด้วย! โดนร้านนี้ดูดเงิน! กางเกงยีนส์ประมาณ 80 euros เชิ้ตก็ประมาณ 65 euros Location: https://goo.gl/maps/LGfD8nu7UVcC9GrM6 Lemaire Lemaire ร้านใหญ่แห่งเดียวในกรุงปารีส และที่สำคัญคือสวยสุขุมมาก ชอบมั่กๆๆๆๆๆๆ ไม่ยมกล้านตัว Location: https://goo.gl/maps/vnVLDwtwdHA5vNji6 Boot Café Boot Café ร้านกาแฟเล็กๆ บรรยากาศอบอุ่นแห่งนี้เป็นหนึ่งในใจเลย กาแฟอร่อยจริง อยากให้ไปลองกัน คำว่า "cordonnerie" หมายถึง ร้านซ่อมโรงเท้า พอเปลี่ยนมาเป็นคาเฟ่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนป้าย แต่ดันใช้ชื่อใน Google Map ว่า Boot Café จะแนวไปไหนเนี่ย 555 Location: https://goo.gl/maps/W61sGVz2pfHeR5Sm7 Maison Kitsuné Maison Kitsuné Paris มาถึงเมืองต้นกำเนิดแล้วก็ต้องแวะซะหน่อย ร้านมีสองชั้น ไม่เล็กไม่ใหญ่ ไซส์พอให้หมาจิ้งจอกวิ่งเล่นในร้านได้ 5555 Location: https://goo.gl/maps/5hQT6Rp5zUfAjJ4q9 Editions MR Editions MR แบรนด์เสื้อผ้าสไตล์เรียบหล่อของผู้ชายปารีเซียง ใครชอบเสื้อผ้าเนี้ยบ แต่ใส่แล้วดูสบายๆ ไม่เกร่อ ไม่เอะอะ แนะนำร้านนี้นะครับ Location: https://goo.gl/maps/5Mun8TKcAjsES895A Acne Studios Acne Studios เป็นอีกหนึ่งในแบรนด์โปรดที่เราชอบแวะเข้าไปดูทุกสาขาไม่ว่าจะไปเที่ยวเมืองอะไร ที่นี่ร้านสวยแต่พนักงานคนจีนพยายามขายไปหน่อยนะ Location: https://goo.gl/maps/bLsnuGkeKu4v86Gf8 Merci Merci เป็นร้านรวมของใช้มีดีไซน์ในชีวิตประจำวัน เป็นร้านดังที่แน่นไปด้วยชาวฝรั่งเศสและนักท่องเที่ยว มีตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องครัว เครื่องเขียน ของใช้ต่างๆ แถมด้านหน้าก็เปิดเป็นคาเฟ่เล็กๆด้วยนะ ของเยอะ น่าสนใจหลายอย่างแต่สุดท้ายแล้วเราแทบไม่ได้ซื้ออะไรกลับออกมาเลย ว้าาา Location: https://goo.gl/maps/gqtSGt8EWbKEqhFN6 Archive 18.20 Archive 18.20 ร้าน Select Shop ที่เราชอบอีกร้าน เน้นงานดีไซน์และสินค้าที่ยูนี้คหาซื้อไม่ค่อยได้จากที่อื่น มีทั้งสินค้าแฟชั่น น้ำหอม แกลอรี่ และร้านกาแฟเล็กๆ ให้นั่งชิลกันทุกวันตั้งแต่ 11:00 - 19:00 กันเลย (แต่โซนคาเฟ่พนักงานดูงงนิดหน่อย 555) Location: https://goo.gl/maps/94eSMTpNctQFQvkBA ที่ปารีสเค้าซัพพอร์ทกลุ่ม LGBT สุดๆ ดูได้จากการตกแต่งตึกทั้งสองข้างทางแม้แต่ทางม้าลายก็เอา นอกจากร้านค้าแล้ว ย่านนี้มีแกลอรี่/มิวเซี่ยมเด็ดๆน่าตามรอยไปด้วย ขอแนะนำ 2 ที่ก่อนนะ Lafayette Anticipations ที่แรกคือ Lafayette Anticipations สร้างขึ้นโดยมูลนิธิของห้างดังอย่าง Galeries Lafayette เราสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นโลโก้ที่หน้าเว็ป เพราะมันช่างถูกจริตเราเหลือเกิน ที่นี่เป็นเหมือนมิวเซี่ยมเล็กๆแต่เท่มากๆ เน้นงาน contemporary art งานดีไซน์และแฟชั่น ตลอดจนงานสร้างสรรค์เชิงทดลองต่างๆจากศิลปินทั่วโลก ความดีงามที่เอ็กซ์ตร้าไปอีกก็คือที่นี่มีคาเฟ่เฮลตี้จากร้านมังสวิรัติชื่อดังอย่าง Wild and the Moon มาเปิดอยู่ด้วย โซน Gift Shop ก็มีของที่ทั้งสวย เก๋ เท่ น่ารักเยอะแยะไปหมดเลย ให้ทายซิว่าเสียเงินมั้ย 55555 ค่าเข้า Exhibitions : free admission Events : from 5 to 15 € เปิด 11:00–19:00 ทุกวันและปิดวันอังคาร Location: https://goo.gl/maps/ramg8DG88oXqziWr5 ด้านในแกลอรี่ก้มีขายของที่ระลึกด้วยนะ รวมไปถึงของดีไซน์ น้ำหอม เครื่องใช้ต่างๆ ที่เลือกมาขายที่นี่โดยเฉพาะ Galerie Emmanuel Perrotin ที่ต่อมาคือ Galerie Emmanuel Perrotin เป็นห้องแสดงงานศิลปะที่จะผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนงานของศิลปินดังๆระดับโลกมาโชว์กันที่นี่ ตอนที่เราไปกันเป็นผลงานของ ELMGREEN & DRAGSET (เอ็ล์มกรีน แอนด์ แดรกเซ็ท) ใครนึกไม่ออกให้นึกถึงงาน Bangkok Art Binale เค้าก็มาตั้งผลงานสระของเขาที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะ งานของเค้าจะจำง่ายก็คือ ประติมากรรมจัดวางสระน้ำแนวตั้ง ซึ่งเค้าทั้งสองคนก็ได้สร้างการนำเสนองานศิลปะรูปแบบใหม่ที่จะให้ผู้ชมมีประสบการณ์ร่วมกับงานของเค้า ที่นี่เข้าฟรีนะ เปิด 11:00–19:00 ทุกวันและปิดเฉพาะวันจันทร์ อังคาร Location: https://goo.gl/maps/cJJ9r3BKQkfNgJoV8 Études Studio เดินไปเรื่อยๆก็ผ่าน Études Studio แบรนด์ดังสัญชาติฝรั่งเศส มีช็อปหลักแค่ที่นี่ที่เดียว (อาจจะมีตามราวแขวนในห้างบ้าง) แบรนด์นี้เป็นแบรนด์เล็กมีทีมงานอยู่ในสตูดิโอไม่กี่คน แต่ความเท่นี่ดังไกลมากนะขอบอก Location: https://goo.gl/maps/rVDN4K2vdXY5yNg98 Biglove แล้วเราก็แวะกินร้านอาหารอิตาเลี่ยนร้านนี้ชื่อ BIGLOVE เห็นคนต่อแถวเยอะดี ขอเข้าไปลองดูหน่อยละกันเนอะโดยรวมเราว่าอร่อยดีนะ อาหารก็หน้าตาดี ไม่จืดเหมือนอาหารฝรั่งเศส ชอบบรรยากาศโดยรวมในร้าน รวมไปถึงพนักงาน ที่บริการดีมากกก อย่างที่บอกเนอะ Le Marais มีดีอีกเยอะมาก เอามาอวด 3 วันก็ไม่ครบ ต้องไปดูกันเองน้าาาา 3. Rue Saint-Honoré (รู ซางต์ ตอนอเร่ - เขต 1 และ 8) Rue Saint-Honoré (รู ซางต์ ตอนอเร่ - เขต 1 และ 8) ถนน Saint-Honoré อยู่ในเขต 1 และเชื่อมต่อกับถนน Faubourg-Saint Honoré เข้าไปในเขต 8 (คำว่า “Faubourg” หมายถึง ถนนเส้นเดียวกันนี้ แต่ทะลุออกนอกเขตเมืองเก่าในสมัยยุคกลาง) ถนนสายนี้แทบจะขนานไปกับถนนชื่อดังอย่าง Champs-Élysées เลยทีเดียว ที่นี่เป็นไฮเอ็นด์ช็อปปิ้งสตรีทที่ยาวเกือบ 2 กิโลเมตรใจกลางกรุง Paris เรียงรายไปด้วยร้านหลักของแบรนด์หรู แบรนด์สตรีทแฟชั่น และร้านขายจิวเวอรี่ นาฬิกาหายากทั้งมือหนึ่งและมือสอง ใครที่ตั้งใจมาช้อปแบรนด์เนม เดินเส้นนี้เส้นเดียวก็น่าจะได้เกือบครบ รวมถึงแบรนด์ Maison Goyard ที่มีสาขาน้อยมากด้วย คำเตือน ระวังจะสำลักความหรูหราและราคานะครับ Getting there: Métro สถานี Concorde Comme des Garçons เริ่มต้นกันที่เวิ้งระหว่างอาคารที่ดูเหมือนทำเลจะไม่ค่อยดี เพราะหลบๆอยู่หลังตึก แต่กลับเป็นที่ตั้งของ Comme des Garçons สาขาใหญ่หนึ่งเดียวในปารีส และเป็นสาขาที่มีของครบมากไม่แพ้สาขาใหญ่ใน Aoyama ญี่ปุ่นเลย แถมพนักงานก็เป็นกันเองมาก ทำให้ไม่เกร็ง การจัดวางสินค้าก็ให้อารมณ์เหมือนเดินเข้าชมแกลอรี่เลย ครีเอทสุดๆ Location: https://goo.gl/maps/8cv7h2P9qjU3BYtr5 Honor Café เมื่อเราเดินออกมาก็จะเจอร้าน Honor Café เป็นร้านขายกาแฟ และขนม ซึ่งเค้าเคลมตัวเองว่าเป็น “Paris's first and only outdoor specialty coffee shop serving coffee that this city should be known for.” เหมือนจะแอบกัดปารีสเบาๆ ว่าเมืองเก๋ๆแบบนี้ เรื่องกาแฟก็ควรจะมีชื่อด้วยนะ Location: https://goo.gl/maps/dr64zy3Lv8W3gSWf8 สำหรับเรากาแฟอร่อยดีนะ เข้มกำลังดี ไม่เหมือนกาแฟตามร้านทั่วไปในปารีส ที่จะมีรสชาติจืดๆ และพนักงานที่พูดอังกฤษสำเนียงบริทิชก็ทำให้ร้านดูคูลขึ้นอีกเป็นเท่าตัว อ่ะ! คอกาแฟแวะมากันได้เลย "Coffee is a lot more than just a drink: it's something happening." A.P.C. โผล่มาสวัสดีทุกย่านเลยยย A.P.C. สาขาเล็กๆ แต่ของไม่น้อยเลยน้าาา แต่เอาจริงๆในปารีสก็มี A.P.C. หลายสาขามาก ไปแวะสาขาอื่นวันหลังก็ได้ L’église de la Madeleine เดินต่อไปตามถนนเรื่อยๆก็จะเจอร้านแบรนด์เนมมากมาย และจะไปเจอกับโบสถ์ลา มัดเลน (L’église de la Madeleine) อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในย่านนี้ น้ำหอม Diptyque ที่นี่ราคาดีน้าาา ขอคืนภาษีได้อีกต่างหากถัดมาเป็นร้าน WILD & THE MOONอาหารสุขภาพแสนเก๋ที่โด่งดังในหมู่คนเฮลธ์ตี้ (และคนที่อยากจะดูว่าเป็นคนเฮลธ์ตี้) MARGARET HOWELL MARGARET HOWELL แบรนด์ดังที่เน้นความเรียบง่าย (แต่ราคาไม่ง่ายเด้อ) จากเกาะอังกฤษก็แอบซ่อนตัวอยู่หลังร้าน Ralph Lauren Location: https://goo.gl/maps/Qq9JbBheCQXJHYU6A Louis Vuitton Maison Vendôme Louis Vuitton Maison Vendôme ตกแต่งตัวอาคารได้ครีเอทีฟสุดๆ ใกล้ ๆ กันกับถนนเส้นหลัก ก็จะเป็นที่ตั้งของ “พลาส ว็องดม” (Place Vendôme) จตุรัสกลางเมืองที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่จริงจะเรียกจตุรัสก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะลานแห่งนี้มีรูปร่าง 8 เหลี่ยม ที่นี่เป็นแหล่งช้อปปิ้งเครื่องประดับเพชรพลอยหรูหราราคาสูงลิบเกินคาดเดา มีร้านเรียงรายกันหลายแบรนด์รอบจตุรัส ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ Hôtel Ritz Paris โรงแรมระดับตำนานของปารีสและของโลกด้วย เวลาเดินผ่านหน้าโรงแรมลองสังเกตดีๆอาจจะได้เห็นคนดังนะ อย่างเมื่อ 10 ปีก่อน เราเคยเจอ Usher ที่หน้าโรงแรม Ritz ด้วย และที่ซอกตึกในจตุรัสนี้เองก็เป็นสำนักงานใหญ่ของแบรนด์ Comme des Garçons ขอแอบส่องนิดนึงน้าาา 1LDK PARIS 1LDK PARIS เป็น concept store ที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากประเทศญี่ปุ่น แนวเสื้อผ้าและเครื่องประดับของแบรนด์เน้นความเรียบง่ายแต่โดดเด่นและสวมใส่ได้ทุกวันกับแนวคิดที่ว่า “non-daily life in daily life” หรือแปลให้เข้าใจง่ายอีกหน่อยก็ประมาณว่า “ชีวิตธรรมดาที่ไม่ธรรมดา” อะไรเทือกๆนั้น Location: https://goo.gl/maps/xX2s9L2ohiwigv4KA Maison Goyard BALENCIAGA BYREDO BYREDO flagship store แบรนด์น้ำหอมจากสวีเดน สาขานี้พิเศษมากๆ เพราะออกแบบโดยสตูดิโอ M/M PARIS ชื่อดังของฝรั่งเศส โดยภายในมีถึงสองชั้น ไม่ได้มีแค่น้ำหอม แต่มีทั้งเทียนหอม สบู่ล้างมือ สบู่อาบน้ำ แฮนด์ครีม และที่สำคัญสาขานี้มีเครื่องหนังขายด้วยนะ ดีไซน์เรียบๆ น่ารักดี Location: https://goo.gl/maps/tHs43vjfxLgU13ScA 4. Avenue Montaigne (อาเวอนูว์ มงเตญน์ - เขต 8) ถ้ายังไม่หนำใจกับการช้อปปิ้งแบรนด์หรู ต้องมาที่นี่! Avenue Montaigne แยกมาจากถนน Champs-Élysées และทอดยาวไปจนถึงริมแม่น้ำเซน ในจุดที่สามารถเห็นวิวหอไอเฟลได้ลิบๆด้วย ความแตกต่างระหว่างถนน Saint-Honoré กับถนน Avenue Montaigne ก็คือที่นี่ “แกรนด์” กว่า ร้านส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่ และตกแต่งเรียบหรูกว่าสาขาในย่านอื่นๆ แต่คนกลับคนน้อยกว่า เราจินตนาการไปว่ากลุ่มลูกค้าหลักน่าจะเป็นกลุ่มคนดังและคนรวยที่มี lifestyle ดั่งภาพใน magazine นอกจากนี้ ถนนเส้นนี้ยังเป็นที่ตั้งของ LVMH สำนักงานใหญ่ และออฟฟิศของ Dior อีกด้วย ร้าน Dior จึงดูโดดเด่น ร้านใหญ่ แยกเป็นหลายๆร้านติดๆกัน ราวกับจะประกาศตัวว่า “ที่นี่ถิ่นช้านนน” DIOR Paris Montaigne เราโชคดีที่ได้มา Paris ช่วงคริสต์มาสพอดี ว่ากันว่าไฟคริสต์มาสบนถนนสายนี้สวยที่สุด ดูอย่างต้นคริสมาสต์ที่มุมตึก Dior นี่ปะไร มันช่างเว่อร์วังพลังดิออร์ยิ่งนัก Jil Sander ที่ชอบเป็นการส่วนตัวอีกอย่างก็คือที่นี่มีช็อป Jil Sander แบรนด์โปรด (แม้ราคาจะแอบโหด) หนึ่งเดียวในปารีสอยู่ด้วย หลังจาก Jil Sander หดตัวให้เล็กลง และปิดร้านในไทยไป เราก็แอบคิดถึงอยู่เรื่อยๆ Location: https://goo.gl/maps/9zwmEZHtAvtTKsQz7 เดินกันจนถึงค่ำ ชิลมากกก แค่ได้มาเดินดูการตกแต่งเหล่า Display window ของแต่ละแบรนด์ก็เพลินแล้ววว 8 ย่านที่เรายกมาแนะนำนี้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของความดีงามที่ Paris มีให้ไปเยี่ยมชม เมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้ยังมีของดีอีกเยอะมากๆ เราถ่ายรูปจนหมด memory card ไปหลายแผ่น และยังสามารถเอามาลงได้อีกหลายโพสต์ ดังนั้นติดตามกันต่อนะค้าบบบ . #LetsHoparoundPARIS #LetsHoparound #Travel #Amex #EarnMilesFaster #Paris #ParisCityGuide #เที่ยวปารีส #ปารีส #เมืองปารีส #ช็อปปิ้งในปารีส #คาเฟ่ในปารีส #รีวิวปารีส #เที่ยวปารีสด้วยตัวเอง #ฝรั่งเศส #เที่ยวฝรั่งเศส #ปารีสไปไหนดี #ไปไหนดีในปารีส #ช็อปอะไรที่ปารีส #ร้านดีๆในปารีส PARIS CITY GUIDE เที่ยวปารีส Part 2
- Amansara อมันสรา เยี่ยมยลนครวัดอย่างแขกคนสำคัญ กับประสบการณ์ Once-In-A-Lifetime
Amansara เยี่ยมยลนครวัดอย่างแขกคนสำคัญ กับประสบการณ์ Once-In-A-Lifetime “งามสง่า อบอุ่น รุ่มรวย และทำให้เรารู้สึกเหมือนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด” คือตัวอย่างของคำบรรยาย Amansara ที่เรานึกขึ้นได้ครับ บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ แต่มีเพียง 24 ห้องพัก และมีพนักงานดูแลกว่า 70 คน (เท่ากับมีพนักงานดูแลอย่างน้อย 3 คนต่อ 1 ห้องพัก) ทำให้รีสอร์ทแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์และมีความ Exclusive ขั้นสุด สมกับที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรือนรับรองแขกคนสำคัญของกษัตริย์กัมพูชา และการเข้าพักที่ Amansara ในคราวนี้นั้นก็ช่วยยกระดับทริปเสียมเรียบ (เสียมราฐ) และการสำรวจนครวัด-นครธมของเราให้กลายเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะจดจำไปไม่รู้ลืมเลือน ยิ่งได้มาในช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวยังบางตาแบบนี้ ก็เท่ากับว่าเราแทบจะได้ทั้งมหาวิหารเป็นของตัวเองเลย วันนี้ hoparound.co ขออาสาพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับ Amansara ด้วยกันนะครับ บอกใบ้นิดนึงว่า hoparound.co มีข้อเสนอพิเศษที่ Amansara ให้กับชาว #hopsters โดยเฉพาะด้วย Exclusive Rate for Hoparound.co Fans !! ราคาพิเศษเฉพาะ Hoparound.co เท่านั้น!! Amansara Overview ชื่อ Amansara เกิดจากการผสมคำว่า Aman (ชื่อแบรนด์รีสอร์ทซึ่งแปลว่าความสงบ) + Sara (มาจาก Apsara หรือนางอัปสร นางสวรรค์ผู้ดูแลสถานที่สำคัญในวัฒนธรรมขอม) ดังนั้น Amansara จึงแปลว่า ความสงบสุขดุจสรวงสวรรค์นั่นเอง และจากประสบการณ์ของเราก็พอจะยืนยันได้ครับว่าที่นี่สงบสุขดุจสรวงสวรรค์จริงๆ จากเรือนรับรองพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุที่สร้างขึ้นอย่างงามสง่าในช่วงปี 60s เลอค่าทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ในยุคก่อนความขัดแย้งยาวนานภายในประเทศ สถาปัตยกรรมแบบ New Khmer Style ที่หรูหราทว่าเรียบง่ายและอบอุ่น ไปจนถึงโลเคชั่นที่อยู่ห่างจากทางเข้านครวัดเพียง 10 นาทีเท่านั้น Amansara ได้เกิดขึ้นเพื่อจุดประกายความรุ่งโรจน์ให้กับสถานที่อันทรงเกียรติแห่งนี้อีกครั้งในปี 2002 ในฐานะรีสอร์ทสุด Private ที่มีห้อง Suite เพียง 12 ห้อง (ณ ขณะนั้น) และประตูหน้าที่ปิดตลอดเวลา จะเปิดให้เฉพาะแขกของรีสอร์ทเข้า-ออกเท่านั้น ทำให้ Amansara มักจะได้ต้อนรับแขกระดับ VVIP ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวขั้นสุด ไม่ต่างจากแขกบ้านแขกเมืองของกษัตริย์ในวันวาน ในปี 2005 Amansara ได้เชิญคุณ William Kerry Hill สถาปนิกระดับตำนานของโลกชาวออสเตรเลียนให้มาออกแบบส่วนต่อขยายเพิ่มเติมอีก 12 ห้อง จากเดิม 12 ห้องพักกลายเป็น 24 ห้องพร้อม Private Pool ทำให้แต่ละห้องมีพื้นที่ถึง 141 ตร.ม.เลยทีเดียว และห้องพักของเราก็อยู่ในส่วนที่สร้างใหม่นี่เองครับ เราสามารถสัมผัสได้ถึงความเคารพอย่างสูงที่คุณ Hill มีต่อสถาปัตยกรรมดั้งเดิม เพราะหากพนักงานไม่ได้แจ้งเราก็แทบแยกไม่ออกระหว่างส่วนดั้งเดิมกับส่วนต่อขยายเลย เพราะทุกอย่างนั้นมีความกลมกลืนต่อเนื่องกันมากเลยครับ มาตรฐานความ Ultra-luxury ของแบรนด์ Aman ทำให้เราวางใจได้ว่าการบริการที่ Amansara นั้นสมฐานะความดีงามของตัวสถานที่อย่างแน่นอน แม้ในช่วงโควิด ทางรีสอร์ทก็ยังมีทีม Amansanti (ศัพท์เฉพาะของทาง Aman ที่ใช้เรียกทีมงาน) เฉลี่ยถึง 3 คนในการดูแล 1 ห้องพัก ลดลงนิดหน่อยจากช่วงปกติ ทุกๆ Touch Point นั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้การเข้าพักที่นี่เป็นมากกว่าการเข้าพักรีสอร์ทหรูทั่วๆไป แต่เป็นประสบการณ์พิเศษที่ย้ำให้เรารู้สึกถึงความเป็นคนสำคัญ ตั้งแต่เช็คอินจนเช็คเอ้าท์ พร้อมเชื้อเชิญให้จ่อมจมลงในประวัติศาสตร์ วัตนธรรม และวิถีชีวิตอันงดงามของชาวเสียมเรียบตลอดระหว่างการเข้าพัก The Arrival เพียง 1 ชม.จากสนามบินดอนเมือง เราก็ลงจอดที่เสียมเรียบด้วยความนุ่นมวล ในช่วงที่เราไปกัมพูชานั้นคนไทยไม่ต้องมีวีซ่า ไม่ต้องตรวจ ATK เพียงแต่ต้องมี Vaccine Passport ติดตัวไปด้วย แต่สำหรับแขก Amansara นั้นพิเศษมากขึ้นด้วยบริการผ่านด่านตม.แบบ Fast-Track แค่เพียงเซ็นเอกสาร แล้วก็ไปรอรับกระเป๋าได้เลย เพราะทาง Amansara มีเจ้าหน้าที่คอยจัดการเรื่องอื่นๆให้ทั้งหมด เมื่อออกมาจากสนามบินแล้ว เราก็ได้พบกับรถลิมูซีนวินเทจในตำนาน เป็นรถยนต์คันยาวที่ดูโอ่อ่าสง่างามมาก เพราะสั่งให้ Mercedez Benz ประกอบขึ้นเป็นพิเศษในปี 1962 ในพระนามพระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุ กษัตริย์กัมพูชาในขณะนั้น แค่เพียงมาถึงสนามบิน Amansara ก็ทำให้เรารู้สึกราวกับเป็นแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญเลยครับ ลองคิดดูว่าเราได้นั่งที่นั่งเดียวกันกับพระราชาในอดีตเลยนะครับ ภายในรถนั้นกว้างขวาง มีบริการน้ำดื่มและผ้าเย็นกลิ่นตะไคร้หอม พร้อมทั้งคนขับรถและพนักงานต้อนรับที่ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถและสถานที่ต่างๆตลอดเส้นทางการไปรีสอร์ทซึ่งใช้เวลาเพียง 15-20 นาทีเท่านั้น ระหว่างทาง เราได้เห็นทั้งวิถีชีวิตชาวบ้าน และความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ และแน่นอนครับเราขับผ่านทางเข้านครวัดด้วย เมื่อเรามาถึง ประตูสีดำด้านหน้า Amansara ก็ค่อยๆเปิดออกเพื่อต้อนรับเรา รถวินเทจคันงามก็พาเราเข้าสู่บริเวณรีสอร์ทที่ร่มรื่นและเงียบสงบ หลังจากจอดเทียบที่ Lobby เรียบร้อยแล้ว เราก็ได้ยินเสียงต้อนรับทักทายจากพนักงาน Front Office ที่เรียงแถวรอรับการมาถึงของเรา พื้นที่บริเวณ Lobby นั้นมี Vibes ที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของ Aman เป็นอย่างมาก มีความมินิมอลที่เปี่ยมรสนิยมและทันสมัย แต่ก็สะท้อนถึงความรุ่มรวยของวัฒนธรรมท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่คู่กับสถานที่แห่งนี้มายาวนานก็ให้ร่มเงาต้อนรับเราด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ ที่พิเศษมากยิ่งขึ้นสำหรับ Amansara ก็คือมนตร์เสน่ห์ของตัว Property ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนยุคไปเป็นแขกบ้านแขกเมืองผู้ทรงเกียรติยังไงยังงั้นเลยครับ เป็นความรู้สึกพิเศษที่อบอุ่นเป็นกันเอง ไม่ทำให้รู้สึกเกร็งเลย การมาถึงของเรานั้นเป็นความประทับใจแรกที่ยากจะลืมเลือนเลยครับ Our Room ห้องพักของเรา เป็น Pool Suite ขนาด 141 ตร.ม.ที่อยู่ในโซนต่อเติมมาจากอาคารดั้งเดิม แต่ดูเนียนเป็นเนื้อเดียวกันกับของเดิมโดยที่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เลยครับ แถมโซนนี้ยังร่มรื่นมากๆด้วย เพราะอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ถึง 3 ต้นที่ Courtyard ตรงกลาง ในข้อเสนอพิเศษที่ทาง Amansara ทำร่วมกับ hoparound.co หากโซนนี้มีห้องว่าง เพื่อนๆที่ใช้โค้ดของเราในการจองตรงกับทางรีสอร์ท นอกจากจะได้ราคาพิเศษที่ลดลงกว่าครึ่งจากราคาปกติแล้ว ก็จะได้อัพเกรดมาเป็นห้อง Pool Suite ฟรีเลยด้วยครับ คุ้มที่สุดแล้วครับ มาชมห้องของเรากันดีกว่าว่าเป็นยังไงกันบ้าง การจัดพื้นที่ใช้สอยนั้นมีคอนเส็ปต์ Open Plan Living โดยเน้นความต่อเนื่องของพื้นที่แต่ละโซน ทั้งห้องนอน มุมนั่งเล่น ห้องน้ำ ไปจนถึงพื้นที่ Outdoor บริเวณสระส่วนตัวด้านนอก ภายในห้องนั้นตกแต่งด้วยโทนสีขรึมคลาสสิคอย่างสีขาว-ดำ-น้ำตาล เมื่อเข้าห้องซ้ายมือจะเป็น Dressing กับ Minibar มี Mini Island Bench อยู่ด้านหน้า ซึ่งตอบโจทย์ทั้งเรื่องประโยชน์ใช้สอย และความสวยงาม ข้างใต้มีตระกร้าผ้าที่ใส่แล้วเพื่อส่งซักรีดได้ฟรี เพราะรวมอยู่ในข้อเสนอพิเศษของเราด้วยเช่นกัน ขอบอกว่าบริการเนี้ยบมากเลยครับ ต่อมาเป็นโซนโซฟานั่งเล่นที่มีที่นั่งรองรับได้ถึง 4 คน พร้อมผลไม้และหนังสือประวัติคร่าวๆของรีสอร์ทและนครวัด-นครธมที่เราสามารถนั่งอ่านและนำกลับเป็นที่ระลึกได้ เราชอบฝาผนังห้องที่ประดับด้วยภาพลายนูนต่ำสีขาวที่ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะขอม ดูเรียบง่ายทันสมัยและสะท้อนความเคารพต่อสถานที่ตามวิถีของ Aman ได้เป็นอย่างดี บริเวณหัวเตียงนั้นทำ 2 หน้าที่ไปพร้อมๆกัน นอกจากจะเป็นหัวเตียงแล้ว ยังเป็นโต๊ะยาวสำหรับนั่งทำงาน พร้อมเครื่องเขียนให้ด้วย นอกจากนี้ด้านหลังหัวเตียงยังเป็นประตูเลื่อนไม้ตีเกล็ดที่เอาไว้เปิด-ปิดได้ตามใจชอบ ซึ่งเราคิดว่าเป็นการออกแบบที่ชาญฉลาดและลงตัวมากเลยครับ มาต่อกันที่โซนห้องน้ำกันครับ ตรงนี้เป็นพื้นที่ต่างระดับที่ต้องเดินบันไดลงมา 1 ขั้น จุดศูนย์กลางของห้องน้ำก็คืออ่างอาบน้ำขนาดแช่ 1 คน และมีอ่างล้างหน้า 2 ฝั่งขนาบด้านซ้ายและขวา โดยมีชุดเทียน ธูปหอมให้จุดสร้างบรรยากาศกันด้วย รวมไปถึง Amenities ต่างๆ ตั้งแต่สบู่ล้างมือ ยาฉีดกันยุง เจลแอลกอฮอล โลชั่นบำรุงผิว และสำลี-คอตต้อนบัด ในโซนนี้ทางฝั่งซ้ายจะเป็นโซนห้องอาบน้ำแบบฝักบัวและชักโครก เราปลื้มกับการจัดพื้นที่ใช้สอยที่เป็นสัดส่วนดีมากๆ โดยเฉพาะห้อง Shower นั้นมีผนังเป็นกระจกใส ที่สามารถดูวิวสระว่ายน้ำส่วนตัวด้านนอกไปได้ด้วย ไฮไลท์แน่นอนว่าอยู่ด้านนอกครับ เป็นพื้นที่ Private Pool ดาวเด่นก็คือสระน้ำที่ปูด้วยกระเบื้องสีดำเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับผนังที่ประดับไปด้วยภาพนูนต่ำที่เราตกหลุมรัก ขนาดของสระ 25 ตารางเมตรกำลังดีครับ เอาไว้แช่เล่นเพลินๆ ว่ายได้นิดน่อย จะถ่ายรูปก็ดูสวยขลังไม่เหมือนใครเลยครับ Late Lunch at The Dining Room ท้องเริ่มหิวกันแล้ว เราไปที่ห้องอาหารของรีสอร์ทกันดีกว่าครับ พอมาถึง The Dining Room สิ่งที่อิ่มก่อนท้องของเราก็คือสายตาครับ ต้องบอกว่าห้องอาหารทรงกลมนี้สวยมากๆ แสงธรรมชาติที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกบานสูงรอบอาคารสลับกับเสาหินนั้นทำให้พื้นที่ดูสว่างปรอดโปร่ง ให้ความรู้สึกโอ่อ่าภูมิฐานและอบอุ่นไปพร้อมๆกัน สำหรับเมนูของที่นี่นั้นจะมี 3 ส่วน คือส่วนที่เป็น All-Day Dining ก็จะเป็นอาหาร Comfort Food ทั้งแบบกัมพูชาและแบบสากลที่อร่อยง่ายๆเสิร์ฟตลอดวัน ถัดมาจะเป็นเมนูอาหารเช้าที่เสิร์ฟช่วงเช้าเท่านั้น และส่วนสุดท้ายคือดินเนอร์ที่จะเปลี่ยนเมนูทุกวัน โดยในแต่ละมื้อนั้นจะมีตัวเลือกให้ทั้งอาหารกัมพูชาและอาหารตะวันตก อ้อ! เค้ามีบริการ Afternoon Tea ด้วย ซึ่งจะมีทั้ง Bakery แบบตะวันตกและขนมกัมพูชาที่ใช้วัตถุดิบคล้ายๆบ้านเรา แต่การปรุงและรสชาติอร่อยต่างไปนะครับ เรามาใช้บริการที่นี่แทบทุกมื้อเลยครับ รสชาติดีไม่มีผิดหวัง โดยเฉพาะมื้อเย็นที่เราจะตั้งตารอว่าวันนี้จะมีอะไรให้เราเลือกลองชิมบ้าง แถมยังมีความพิเศษตรงที่ทุกๆคืนจะมีนักดนตรีมาบรรเลงเพลงแบบเขมรดั้งเดิม โดยจะมีการสลับสับเปลี่ยนเครื่องดนตรีชิ้นเดี่ยวให้ต่างไปในแต่ละคืน ทั้งมินิมอลและไพเราะมาก คลอไปกับบรรยากาศที่สวยงามเพื่อเพิ่มความสุนทรีย์ในระหว่างที่เราละเลียดความอร่อย สำหรับเราแล้ว เรา Enjoy เมนูซุปร้อนๆในมื้อค่ำมากๆครับ โดยเฉพาะในวันที่ออกไปเที่ยวชมเมืองและโบราณสถานมาหนักๆ ซุปทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้ดีสุดๆเลย เป็น Trick ที่อยากแนะนำดูครับผม เรามาบ่อยจนเริ่มสนิทกับพนักงาน (Amansanti) ข้อมูลที่เราเอามาเล่าต่อให้เพื่อนๆฟังก็มักจะได้มาจากการพูดคุยกับพนักงานที่นี่แหละครับ น่าประหลาดใจที่พนักงานทุกคนรู้เรื่องราวของรีสอร์ทอย่างละเอียด แม่นไปจนถึงปีไหนเกิดอะไรขึ้นบ้าง Walking around the property ได้เวลาเดินสำรวจและทำความรู้จักอมันสราแล้วครับ เนื้อที่โรงแรมไม่ใหญ่มาก ทำให้เรารู้สึกว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้าน ฟีลโฮมมี่มากๆ แอบกระซิบว่าเค้ากำลังจะขยายพื้นที่ เพิ่มเติมห้อง Pool Villa ด้วยนะครับ The Pools & Fitness นอกจากสระน้ำส่วนตัวในห้องแล้ว หากเราอยากเสพบรรยากาศสระว่ายน้ำใหญ่ Amansara ยังมีสระไว้ให้บริการอีก 2 สระ สระแรกก็คือ Main Pool ที่ยาวถึง 27 เมตรเหมาะสำหรับเล่นน้ำทั่วๆไป หรือจะนอนอาบแดด จิบค็อกเทล สั่งอาหารมากินริมสระก็ได้เช่นกัน สระหลักนี้อยู่โซนดั้งเดิมและปรากฏอยู่ในภาพโปรโมทรีสอร์ทบ่อยๆ ฉะนั้นหากเราลงเล่นน้ำและถ่ายรูปที่สระนี้ คนที่รู้จัก Amansara ก็จะอ๋อแกมอิจฉาทันทีเลยครับ แต่หากเพื่อนๆอยากออกกำลังจริงจัง ด้านหลังของโซนต่อขยายจะมีอีกสระซึ่งเป็น Lap Pool ที่ยาวถึง 25 เมตร โบนัสของสระนี้ก็คือความ Private ที่มากกว่า เพราะซ่อนอยู่ด้านในสุดของรีสอร์ท และมีฟิตเนสขนาดย่อมแต่อุปกรณ์ครบครัน ที่สำคัญคือโปร่งสบายด้วยกระจกสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดานอยู่ในบริเวณเดียวกันกับ Lap Pool ด้วยครับ ฉะนั้นสาย Active สบายใจได้เลยครับ หากอยากจะเข้าคลาสพิเศษอื่นๆ ไม่ว่าจะฟลายอิ้งโยคะ หรือเรียนรำอัปสราก็สามารถสอบถามทางรีสอร์ทได้เช่นกัน เพราะที่นี่นั้นมีห้อง Movement Studio เอาไว้รองรับคลาสพิเศษโดยเฉพาะเลย ซึ่งบรรยากาศดีมากเลยครับ เพราะอยู่ในส่วนเดียวกันกับสปาจึงสวยสงบและร่มรื่นสุดๆครับ Amansara Spa สปาที่ Amansara นั้นงดงามมีมนตร์จริงๆครับ ทันทีที่ก้าวเท้ามาก็รู้สึกได้ถึงความสงบปราศจากการรบกวนใดๆ แม้จะมีห้อง Treatment เพียง 4 ห้อง แต่ทุกห้องก็มีห้องอาบน้ำ ห้องอบไอน้ำส่วนตัว รวมไปถึงห้องให้นั่งพักผ่อนหลังจบ Treatment ด้วย อีกสิ่งที่เราชอบมากๆในงานตกแต่งก็คือภาพสลักนูนต่ำบนหินทรายที่ยาวกว่า 43 เมตรตลอดแนวกำแพงสปา ซึ่งทั้งงดงาม มีเอกลักษณ์ และสะท้อนถึงศิลปะขอมและความเป็น Aman ได้อย่างลงตัว วันนี้เราเลือกลองกันคนละทรีตเมนต์ครับ คุณเค้กเลือก Full Body Oil Massage (Massa Preng) ด้วยเทคนิครีดกล้ามเนื้อแบบกัมพูชา ส่วนคุณเฟิร์สเลือก Temple Walk ซึ่งเป็นทรีตเม้นต์ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่เหนื่อยล้าหลังจากออกไปเดินสำรวจโบราณสถานในเขต Angkor โดยเฉพาะ ซึ่งจะเริ่มด้วยการขัดเท้าแล้วบำรุงด้วยโลชั่นฤทธิ์เย็นของ Aman จากนั้นจึงนวดด้วยน้ำมันทั้งที่เท้า ขา และคอ บ่า ไหล่ เอาเข้าจริงๆเราก็จำอะไรไม่ได้มากเพราะเคลิ้มหลับไปด้วยความสบายซะเป็นส่วนใหญ่ เสร็จทรีตเม้นต์กันแล้ว ก่อนออกจากสปา อย่าลืมแวะดูสินค้าแบรนด์ Aman ด้วยนะครับ น่าสนใจหลายชิ้นเลย Library & Boutique ไม่รู้ว่ามีใครเป็นเหมือนเรามั้ยนะครับ เวลามาพักรีสอร์ทดีๆ เราชอบเข้าไปนั่งทำงาน-อ่านหนังสือในห้องสมุด เพราะเรารู้สึกว่าเป็นอีกจุดที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจที่คนมักมองข้าม และห้องสมุดของ Amansara นั้นก็สวยสมเกียรติสถานที่ครับ หนังสือที่นี่เน้นเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม งานออกแบบ และรีสอร์ทต่างๆของ Aman และอยากจะบอกว่าตรงนี้เป็นที่หลบร้อนระหว่างวันที่ดีมากๆเลยครับ การบริการก็เป็นเลิศอีกเช่นเคยครับ ทันทีที่เราเข้าใช้ห้อง พนักงานก็เข้ามาถามว่าอยากรับเครื่องดื่มอะไรระหว่างนั่งทำงานมั้ย เรียกว่ารู้ใจในทุกโมเม้นต์เลยครับ นอกจากห้องสมุดแล้ว ใกล้ๆกันก็จะมีห้อง Boutique ที่รวบรวมเอางานฝีมือของชาวกัมพูชาที่ทาง Amansara คัดสรรมาแล้วมาวางขายสำหรับแขกที่สนใจด้วย ยังไงก็อย่าลืมแวะเข้าไปชมกันนะครับ Biking Around Siem Reap แค่เพียงใช้เวลาในรีสอร์ทก็คุ้มค่ามากแล้วครับ แต่ที่นี่ยังมีกิจกรรมอีกมากให้เลือกทำครับ เริ่มต้นเบาๆด้วยการปั่นจักรยานชมเมืองเสียมเรียบ จะไปซื้อกาแฟ กินอาหาร หรือช็อปปิ้งก็เพลินมาก ในเสียมเรียบนั้นมีร้านเก๋ๆซ่อนตัวอยู่ค่อนข้างเยอะกว่าที่เราคิดไว้แต่ต้องรู้จักและหาข้อมูลไปล่วงหน้านิดนึงนะครับ ส่วนตัวเมืองนั้นร่มรื่นและถนนกว้างดีมาก แต่หากใครขี้เกียจปั่นจักรยานก็สามารถให้ทางรีสอร์ทขี่รถลากพ่วง (Remork) ไปส่งได้ทั่วโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเลยครับ เพราะรวมอยู่ในค่าห้องพักแล้ว แต่แน่นอนว่าเสียมเรียบมีอะไรให้สำรวจอีกเยอะมาก และเพื่อนๆก็สามารถเลือกซื้อแพ็คเก็จต่างๆเพิ่มเติมกับทาง Amansara ได้ตามความสนใจเลยนะครับ Breakfast at Dining Room เมื่อคืนเราหลับกันสบายมาก ตื่นมาดูเวลาอีกทีได้เวลาอาหารเช้าแล้วครับ มื้อเช้าที่นี่หลากหลายมากๆ ครับ มีทั้งอาหารสไตล์ฝรั่ง ขนมอบ ครัวซองต์ รวมไปถึงอาหารสไตล์กัมพูชาด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นแบบอาลาการ์ทที่สั่งได้ไม่อั้น แต่อย่าลืมทานให้หมดนะ บอกเลยว่าอาหารที่นี่ถูกปากเรามากๆ Angkor Wat วัตถุประสงค์ของการมาเยือนเสียมเรียบของคนส่วนใหญ่ก็คือมาชมนครวัดนี่แหละครับ ถึงขนาดมีคำกล่าวโดย Arnold Toynbee นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษว่า “See Angkor Wat and die.” เพราะที่นี่เป็นศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งกินอาณาเขตกว่า 1,000 ไร่ และเป็นสิ่งก่อสร้างแห่งอารยธรรมเขมรหรือขแมร์ (Khmer) ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดด้วย โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นคริสตศตวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าสุรยวรมันที่ 2 เพื่อให้เป็นพระราชสุสานของพระองค์เอง จนถึงปัจจุบันรวมอายุได้กว่า 900 ปีแล้ว ถือว่าอายุไม่มากเมื่อเทียบกับอีกหลายๆโบราณสถานในเขมรนะครับ ในปี 1854 มีบาทหลวงชาวฝรั่งเศสชื่อ คุณพ่อ Charles-Emile Bouillevaux ได้เขียนบันทึกไว้หลายฉบับเอาไว้ว่าเขาได้มาพบนครวัด ซึ่งบทความเหล่านั้นบังเอิญได้มาผ่านสายตาของ Henri Mouhot นักสำรวจชาวฝรั่งเศส ทำให้เขาดั้นด้นหาสปอนเซอร์เพื่อเดินทางมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอ้างว่ามาศึกษาพันธุ์ไม้และแมลง จนในที่สุดเขาก็ได้พบนครวัดจริงๆในเดือนมกราคม ค.ศ. 1860 (162 ปีที่แล้ว) และนครวัดจึงเป็นที่รู้จักในระดับโลกนับแต่นั้นมา ยิ่งถ้าเป็นจริงตามที่ไกด์เล่าว่าคุณ Henri นั้นได้เข้าป่าตามผีเสื้อมาจนพบนครวัดก็ยิ่งเข้าพล็อต Hollywood มากๆเลยครับ ฮ่าๆๆ ทางเข้านครวัดแบบ Exclusive เฉพาะแขกของ AMANSARA เท่านั้น นอกจากจะเอาไว้เก็บพระบรมศพแล้ว เริ่มแรกนครวัดยังเป็นวัดในศาสนาฮินดูเพื่อบวงสรวงบูชาพระวิษณุโดยเฉพาะ ซึ่งต่างจากวัดฮินดูส่วนใหญ่ที่มักจะสร้างขึ้นเพื่อสักการะพระศิวะ โดดเด่นด้วยศิลปะภาพสลักนูนต่ำบนหินรอบอาคาร โดยเล่าเป็นเรื่องราวความเชื่อและวิถีชีวิตของผู้คนในยุคโบราณ ซึ่งมีชาวละโว้ (ลพบุรี) เป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วยนะครับ แต่ต่อมาไม่นานเมื่อศาสนาพุทธได้เข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้มากขึ้น จึงมีการปรับเปลี่ยนให้เป็นวัดพุทธ ทำให้ในปัจจุบันเราจึงสามาถเห็นได้ทั้งความเป็นพุทธและฮินดูที่นครวัด แต่ถ้าจะให้พูดแบบข้ามมุมมองทางประวัติศาสตร์ใดๆไปเลย ก็ต้องบอกว่านครวัดสวยและขลังมากครับ และขอย้ำอีกทีว่าช่วงนี้เป็นนาทีทองที่ควรจะมาเที่ยวเพราะนักท่องเที่ยวยังบางตา (เพิ่งเริ่มกลับมาแค่ 5% เท่านั้น) ทำให้ถ่ายรูปสวยๆได้ง่ายมาก และถ้าหากซื้อแพ็คเก็จนำชมนครวัดกับทาง Amansara เราก็จะได้สิทธิทางเข้าด้านหลังที่พิเศษเฉพาะแขกรีสอร์ทโดยเฉพาะ ซึ่งจะยิ่งดีงามขึ้นไปอีกหากเราเลือกมาตอนเช้าตรู่จะได้มาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดเลย และยังมีไกด์มืออาชีพความรู้แน่นที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องปร๋อ (บางคนก็ได้ภาษาไทยนิดหน่อย) รวมทั้งรถรับส่งที่พกเอาน้ำดื่มเย็นๆและผ้าเย็นไปไว้คอยบริการเราด้วย ถ้าสนใจยังไงลองสอบถามทางรีสอร์ทถึงรายละเอียดต่างๆดูอีกครั้งนะครับ Angkor Thom - Bayon นครธมคืออัครนครอันแห่งสุดท้ายของอาณาจักรเขมร เชื่อกันว่าเคยมีประชากรนับล้านคนอาศัยอยู่ในเมืองหลวงอันรุ่งโรจน์ขนาด 9 ตารางกิโลเมตรแห่งนี้ แต่บ้านเมืองของผู้คนนั้นสร้างขึ้นด้วยไม้จึงผุพังมลายไปตามกาลเวลา เหลือไว้แต่เพียงโครงสร้างหินที่ตรงประตูเมืองทั้ง 4 ทิศ (แต่ละทิศใช้เดินทางเข้า-ออกด้วยวัตถุประสงค์ต่างกัน) และปราสาทบายนใจกลางเมืองที่ดูขลังราวกับมีชีวิต ในปัจจุบันเราน่าจะคุ้นเคยกับใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบบายนบนยอดปราสาทกันได้ดี ใบหน้าเหล่านี้ว่ากันว่าเป็นใบหน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างนครธรมซึ่งสถาปนาตนเป็นสมมติเทพ ทำให้มีการอ้างอิงว่าใบหน้าเหล่านี้เป็นใบหน้าเดียวกันกับใบหน้าพระพุทธเจ้าด้วย Bayon ไม่ถึง 100 ปีหลังจากที่นครวัดสร้างเสร็จ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้กอบกู้อาณาจักรเขมรคืนจากอาณาจักรจามปาได้สำเร็จ ก็ได้สร้างปราสาทบายนขึ้นตามพุทธคติ และได้สร้างแนวกำแพงเมืองนครธมล้อมรอบโดยอยู่ห่างจากนครวัดไปทางเหนือเพียง 1.5 กม. แต่ต่อมาศาสนาฮินดูได้กลับมาเป็นศาสนาหลักในเขมรอีกครั้ง จึงมีการทำลายองค์ประกอบแบบพุทธลงแล้วใส่ความเชื่อฮินดูเข้าไปแทน ปราสาทบายนจึงมีความผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและฮินดูเข้าไว้ด้วยกันเช่นเดียวกับนครวัด เพียงแต่สลับยุคสมัยกัน หากเพื่อนๆต้องการมาเที่ยวนครธมด้วย เราแนะนำให้วางแผนล่วงหน้านิดนึงครับ เพราะตั๋วการเข้าชมเขต Angkor นั้นมีหลายแบบ ใช้เข้าชมสถานที่ต่างๆได้มากน้อยต่างกัน หรือจะสอบถามเพิ่มเติมกับทาง Amansara ก็สะดวกดีครับ Ta prohm วัดตาพรหม หรือชื่อทางการว่าราชวิหาร เป็นวัดที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้ก่อตั้งนครธม ได้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระราชมารดา (และสร้างวัดพระขรรค์ซึ่งเราไม่ได้ไปในทริปนี้ เพื่ออุทิศให้กับพระราชบิดา) ไกด์บอกว่าที่คนเรียกว่าวัดตาพรหมก็เพราะไปเข้าใจว่าใบหน้า 4 ทิศตรงยอดประตูของวัดเป็นใบหน้าของพระพรหม ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดมานานนั่นเอง แต่ในวันนี้ สิ่งที่ผู้คนจดจำวัดตาพรหมได้ก็คือรากต้นสำโรง (หรือต้นสะปง) ขนาดใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมหลังคาวัดหินโบราณ ทำให้ดูขลังอย่างมาก มีเสน่ห์ถึงขนาดเป็นหนึ่งในฉากหลักของภาพยนตร์ Hollywood เรื่อง Lara Croft: Tomb Raider ที่นำแสดงโดย Angelina Jolie เลยทีเดียว ซึ่งก็ยิ่งทำให้ภาพของวัดตาพรหมเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นไปอีก เราแอบไปค้นหาดูว่าหนังเรื่องนี้ออกฉายเมื่อไหร่ เพราะสำหรับเราแล้วก็รู้สึกเหมือนไม่นานมานี้เอง แล้วก็ต้องตกใจว่าออกฉายตั้งแต่ปี 2001 ก่อนที่ Amansara จะเปิดตัวเสียอีก ฮ่าๆๆๆ สำหรับเราแล้ว วัดตาพรหมกลับกลายเป็นโบราณสถานที่เราชอบที่สุดในทริปนี้เลย ไม่แน่ใจว่าเพราะอากาศเป็นใจและโล่งสบายแทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นเพราะขนาดของอาคารที่ยังมีความเป็น Human Scale ไม่ได้แกรนด์เท่ากับอีก 2 ที่ที่ไปมา ผสมกับความดิบของต้นไม้ที่ขึ้นไต่ตามสิ่งปลูกสร้างแบบธรรมชาติ แต่การเดินเล่นสำรวจวัดตาพรหมคราวนี้นั้นเพลิดเพลินมากๆครับ ใครที่ได้ไปวัดตาพรหมนอกจากจะมุมถ่ายรูปกับรากไม้ซึ่งมีหลายจุดแล้ว เราขอแนะนำอีก 3 จุดที่คนอาจจะมองข้ามครับ นั่นก็คือโถงปลดปล่อยความโศกเศร้า (อันนี้เราตั้งชื่อให้เองเพราะไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าอะไร ฮ่าๆ) เป็นพื้นที่ด้านในพระปรางค์ที่เราสามารถยืนพิงผนังอธิษฐานและทุบไปที่อกของเราจนเกิดเสียงก้อง เพื่อปลดปล่อยความทุกข์ในใจของเราได้ จุดที่สองก็คือก้อนหินหน้ายิ้มอันนี้บอกยากว่าอยู่ตรงไหน เพราะเราก็บังเอิญเจอเช่นกันแต่น้องน่ารักมากเลยครับ และจุดสุดท้ายก็คือภาพสลักบนหินรูปไดโนเสาร์ที่จนถึงทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังงงๆว่ามาโผล่ที่วัดแห่งนี้ได้ยังไง หรืออาจจะเป็นแค่เป็นผลงานของคนมือบอนก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ นอกจาก 3 โบราณสถานที่ยอดฮิตเราพาไปสำรวจแล้ว เสียมเรียบและบริเวณใกล้เคียงก็ยังมีวัดและปราสาทหินที่เก่าแก่ยิ่งกว่านี้อีกเยอะมากครับ บ้างก็อยู่บนยอดเขา บ้างก็อยู่กลางน้ำ บ้างก็แฝงตัวอยู่กับบ้านเรือนผู้คน หากเพื่อนๆสนใจในประวัติศาสตร์เขมรก็มีที่ให้สำรวจอีกไม่รู้จบเลยล่ะครับ Aman Khmer Village House เที่ยวที่โบราณๆกันมาเยอะแล้ว เรามาดูชีวิตผู้คนที่ใกล้ตัวเข้ามากันบ้าง หมู่บ้านเขมรดั้งเดิมนั้นยังพอมีให้เราได้เห็นกัน แต่ก็ค่อยๆถูกสังคมแบบใหม่กลืนไปทีละน้อย และ Amansara ก็ได้พยายามช่วยอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวบ้านในวันวานเอาไว้ด้วยการเข้าไปดูแลจัดการบ้านไม้ทรงเขมรแท้ๆพร้อมกับช่วยฝึกอบรมชาวบ้านในละแวกนั้นให้มาช่วยดูแลบ้านหลังนี้ และสาธิตวิถีชีวิตจริงๆของพวกเขาให้เราดู เช่นตอนที่เราไปนั้นก็มีการสาธิตการทำเส้นขนมจีนแบบเขมรและให้เราได้มีส่วนร่วมทำได้ด้วย ถ้าพอใจกับผลงาน จะให้ทีมของ Amansara เอาเส้นไปปรุงต่อกลายเป็นอาหารเขมรฝีมือเราเองก็ได้เช่นกัน ในเคสของเรานั้นเราก็ได้รับประทานขนมจีนเขมรเป็นอาหารเช้าที่นั่นด้วย เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์น่ารักๆที่น่าจดจำมากครับ หากเพื่อนๆสนใจจองมื้ออาหารที่บ้านทรงเขมร หรือต้องการเอ็นจอยกับวิถีชีวิตชาวบ้านแบบ Authentic ก็สอบถามกับทางรีสอร์ทได้เลยนะครับ A Vintage Jeep Ride To Siem Reap’s Outskirt & Water Blessing Ritual อีกกิจกรรมที่สนุกมากก็คือการนั่งรถ Jeep วินเทจไปชานเมืองเสียมเรียบครับ เพราะเสียมเรียบไม่ได้มีแค่โบราณสถาน แต่ยังมีชนบทที่สวยงาม และวิถีชีวิตชาวบ้านจริงๆที่ต่างจากภาพในนิตยสาร ทริปชานเมืองของเราในวันนี้นั้น เราได้นั่งรถจี๊บบนถนนลูกรังผ่านหมู่บ้านที่ไม่ได้อยู่ในเขตท่องเที่ยว การเกษตรและปศุสัตว์ของชาวบ้านตลอดเส้นทาง และปลายทางของเราก็คือวัดพุทธที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ซึ่งเราจะมาเข้าพิธีรับพรพระสงฆ์กัมพูชาด้วยการอาบน้ำมนต์กันครับ สิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับการบริหารจัดการของ Aman ก็คือการพยายามรักษาจิตวิญญาณดั้งเดิมของแต่ละสถานที่เอาไว้ ที่นี่ก็เช่นกันครับ ทีมงานของรีสอร์ทได้อำนวยความสะดวกจัดห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เราโดยเฉพาะ โดยยังรักษาความกลมกลืนกับวัดแห่งนี้เอาไว้ได้อย่างแนบเนียน เมื่อเปลี่ยนชุดเป็นโสร่งเสร็จ ก็ได้เวลาไปนั่งที่แคร่ และพระกัมพูชาก็จะมาสวดมนต์และอาบน้ำมนต์ให้เราประมาณ 3-5 นาที (น้ำค่อนข้างเย็นนะครับ) สดชื่นและอิ่มบุญแล้ว เราก็ไปเปลี่ยนชุดกลับ ซึ่งทุกขั้นตอนสมูธมากๆครับ หลังจากนั้นเราก็จะไปทำพิธีต่ออีกเล็กน้อยที่อุโบสถ หากอยากบริจาคช่วยเหลือวัดก็สามารถทำได้ที่นี่เลยครับ ซึ่งเราก็ทำบุญไปเช่นกัน ขากลับโชคดีที่อากาศเป็นใจ คนขับจึงแวะ Snack Break ข้างๆทุ่งนาเขียวขจี ทางรีสอร์ทได้จัดเอาขนมและเครื่องดื่มเตรียมไว้ให้เรามาปิกนิกกันเล็กๆพร้อมมีผ้าเย็นกลิ่นตะไคร้ให้เราด้วย การแวะสั้นๆนี้เป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ Thoughtful และเซอร์ไพร้ซ์เรามาก ต้องขอชมเชยว่า Amansara ใส่ใจรายละเอียดสุดๆเลยครับ Tonle Sap Cruise เพื่อนๆรู้มั้ยครับว่าที่กัมพูชานั้นมีทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ด้วย ซึ่งก็คือโตนเลสาบนั่นเอง ใหญ่ขนาดไหนน่ะเหรอครับ ก็ 2,700 ตร.กม. หรือแค่ประมาณ 12 เท่าของบึงบอระเพ็ดทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในไทยเท่านั้นเอง และ Amansara ก็มีเรือเฉพาะของรีสอร์ทที่ชื่อ Amanbala ที่จะพาเราล่องไปอย่างไพรเวทเพื่อชมวิถีชีวิตชาวบ้านริมน้ำ เสพวิวที่กว้างสุดลูกหูลูกตาและรับสายลมเย็นๆจากแหล่งน้ำขนาดมหึมาและธรรมชาติรอบๆ ต้องบอกว่าชิลล์เกินคาดไปมาก หากเพื่อนๆมาตอนเย็นและโชคดีฟ้าเปิดก็จะได้เห็นวิวตะวันตกดินที่งดงามมาก นอกจากนี้บนเรือยังมีอาหารว่างเสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มด้วยครับ หรือหากเพื่อนอยากจัดเต็ เป็น Private Dinner Cruise ก็สอบถามกับทาง Amansara ได้เลยครับ ปิดท้ายวันด้วยมื้อค่ำ ณ ห้องอาหาร Dining Room หลังจากไปทำกิจกรรมต่างๆนอกรีสอร์ท เราก็กลับมาทานมื้อค่ำกันที่นี่อีกครั้ง ซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายก่อนจะกลับพรุ่งนี้ รอบนี้เราลองอาหารทั้งสไตล์ฝรั่ง และ กัมพูชาเลยครับ แถมวันนี้ยังได้นั่งฟังเสียงดนตรีบรรเลงจากขิม โดยคนกัมพูชาด้วยครับ Turn Down ได้เวลากลับห้องพักผ่อนกันแล้วครับ ค่ำคืนนี้ห้องของเราได้รับการ Turn Down พร้อมนอน ทีม Housekeeping เซอร์ไพร้ส์เราด้วยการวางพวกมาลัยมะลิ กลิ่นหอมๆ ไว้บนเตียงในคืนแรก ส่วนคืนที่สองก็นำพริกไทยกัมปอตซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อของที่นี่ คืนที่สามจัดเต็มที่สุดคือเป็นภาพถ่ายปราสาทตาพรหม พร้อมข้อความน่ารักๆ และยังมีการจัดเตรียม Bath tab ลอยดอกบัวสีชมพู ให้เราพร้อมลงไปแช่ตัวอีกด้วย ขอบคุณมากๆเลยครับ Wrapping Up Our Trip ไม่ต้องบอกก็คงจะเดาได้ว่าเราประทับใจกับ Amansara มากแค่ไหนนะครับ หลายปีมาแล้วสมัยที่เรายังวัยรุ่น เราเคยมาเสียมเรียบเพื่อเที่ยวนครวัดแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นประสบการณ์แตกต่างจากครั้งนี้แบบพลิกแผ่นดินเลย และตัวแปรสำคัญก็คือ Amansara นั่นเองครับ รีสอร์ทระดับ Ultra-Exclusive แห่งนี้นั้นมีบริการที่สามารถยกระดับการเดินทางของเราให้เป็น Once-In-A-Lifetime Experiece ได้แบบเหนือความคาดหมาย เรารู้สึกเป็นคนสำคัญดุจแขกบ้านแขกเมืองในวันวานที่ได้รับการดูแลแบบยอดเยี่ยมที่สุดในทุกๆวันที่เราอยู่ที่นี่ และมันไม่ใช่แค่ความหรูหราหรือสิทธิพิเศษต่างๆที่ทาง Amansara มอบให้เท่านั้น แต่เรารู้สึกได้ถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งถึงจิตใจ ยิ่งซีนที่เราเช็คเอ้าท์ และรถ Vintage Mercedez คันงามค่อยๆพาเราออกจากรีสอร์ท แล้วพนักงานทุกคนมายืนเข้าแถวโบกมือบอกลานั้น สารภาพตามตรงว่าจู่ๆก็น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเลยครับ แถมตอนพาเรามาส่งที่สนามบิน ยังแอบเห็น Tag กระเป๋าเดินทางดีไซน์พิเศษเฉพาะ AMANSARA ให้เราทั้งสองคนด้วย ไม่รู้ว่าแอบติดตอนไหนนะ บอกแล้วครับ ประสบการณ์ที่นี่ดีมากจริงๆ แล้วเราจะกลับมาอีกแน่นอนครับ :) Amansara: Closer to home ยลนครวัดแบบ Ultra-Exclusive กับข้อเสนอสุดพิเศษที่ hoparound.co เท่านั้น #HoparoundDeals ครั้งแรกกับห้องพักเรทพิเศษสำหรับคนไทยเริ่มต้นคืนละ 𝗨𝗦𝗗 𝟲𝟬𝟬++ เพียงแจ้งโค้ด '𝗛𝗼𝗽 𝗔𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱' สิทธิประโยชน์: 1. ห้องพักเรทพิเศษเริ่มต้นที่ USD 600++/คืน 2. อาหารเช้า ณ The Dining Room 3. อัปเกรดห้องพักฟรีเป็นห้องพักลำดับถัดไป (ขึ้นอยู่กับห้องว่างในแต่ละวัน) 4. การเช็คอิน-เช็คเอ้าท์ที่ยืดหยุ่น (ขึ้นอยู่กับห้องว่างในแต่ละวัน) 5. ชุดน้ำชายามบ่ายพร้อมผลไม้สดทุกวันตลอดการเข้าพัก 6. บริการรถจักรยาน, ตุ๊ก ตุ๊ก และรถรับส่งภายในตัวเมืองเสียมเรียบ 7. บริการซักรีด (ไม่รวมซักแห้ง) 8. บริการจัดทัวร์เข้าชมนครวัดและโบราณสถานอื่นๆ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) 9. พิเศษสำหรับผู้ที่จองและเข้าพักภายในเดือนสิงหาคม-ตุลาคมนี้ เลือกรับฟรีนวดน้ำมัน 60 นาที สำหรับสองท่าน หรือ Afternoon Tea Set สำหรับสองท่าน สำรองห้องพัก: โทร (855) 63 760 333 อีเมล: amansarares@aman.com อย่าลืมแจ้งโค้ด '𝗛𝗼𝗽 𝗔𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱' เมื่อสำรองห้องพัก จองและเข้าพักได้ถึง 31 มีนาคม 2025 โอกาสทองมาถึงแล้ว เราอยากให้เพื่อนๆได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีงามอย่างที่เราได้ไปสัมผัสมา เพราะดาวเคราะห์ใบนี้เป็นของเรา มากระโดดโลดเที่ยวไปด้วยกันกับ hoparound.co นะครับ #LetsHoparound #Amansara #SiemReap #Cambodia #BestDeal #ExclusiveDeal #BestRate
- AMANDAYAN ขุมทรัพย์แห่งยูนนาน อลังการเขาหิมะมังกรหยก มรดกโลกลี่เจียง อมันดายัน
Amandayan ขุมทรัพย์แห่งยูนนาน อลังการเขาหิมะมังกรหยก มรดกโลกลี่เจียง อมันดายัน ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าเมืองโบราณลี่เจียงและวิวภูเขาหิมะที่ตระการตาเบอร์นี้จะอยู่ห่างจากกรุงเทพฯเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น เรารู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากๆทันทีที่ได้รับคำเชิญจากรีสอร์ทที่ Exclusive ที่สุดในลี่เจียงอย่าง Amandayan ให้ไปสัมผัสกับความงดงามของทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรมชาวเขาเผ่านาชี (Naxi บางทีก็สะกด Nakhi) และเมืองโบราณ “ดายัน” ที่มีอายุกว่า 800 ปีแถมสวยเว่อร์วังอย่างกับฉากในภาพยนตร์ และสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างยิ่งพิเศษขึ้นไปอีกหลายขั้นก็คือการดูแลอย่างดีเยี่ยมโดยทีมของ Aman ซึ่งไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยสักครั้ง ถ้าเพื่อนๆอ่านโพสต์นี้แล้ว อยากจะตามรอย เรามีโปรดีๆมาบอกกันเอาไว้ก่อนด้วยนะครับ เพียงแจ้งโค้ด Hop Around และจองตรงกับเราที่ info.hoparound@gmail.com เพื่อนๆก็จะได้รับส่วนลดพิเศษสำหรับห้องพัก และสิทธิประโยชน์อีกหลายรายการตามรายละเอียดด้านล่างนะครับ ราคาพิเศษสำหรับแฟนๆ ชาว Hoparound.co กับราคาเริ่มต้นดังนี้ Courtyard Suite เริ่มต้น CNY 4,876++, Deluxe Suite เริ่มต้น CNY 5,336++, Amandayan Villa เริ่มต้น CNY 16,560++ ต่อคืนพร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย Overview เพื่อนๆชาว #hopsters คงรู้ดีกันอยู่แล้วถึงความ Exclusive และเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Aman ซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดของวงการรีสอร์ทและโรงแรมหรูทั่วโลก สำหรับที่ Amandayan นี้ตัวรีสอร์ทตั้งอยู่บนยอดเนินเขาสิงโต (Lion Hill) ที่คั่นระหว่างเมืองเก่าและเมืองใหม่ ทำให้จากรีสอร์ทเราก็สามารถมองเห็นวิวเมืองเก่าได้แบบพาโนราม่าเลย และหากจะลงมาเดินเล่นไม่ว่าจะในเขตเมืองเก่าหรือเมืองใหม่ก็ใช้เวลาเดินลงมาไม่ถึง 10 นาที จึงสะดวกมากๆและในขณะเดียวกันเมื่ออยู่ภายในรีสอร์ทก็มีความเป็นส่วนตัวขั้นสุดสมกับความหมายของ “Aman” ที่แปลว่าความสงบ ส่วนคำว่า “Dayan” นั้นเป็นชื่อของเมืองเก่าที่อยู่เบื้องล่างรีสอร์ทนั่นเอง ที่จริงลี่เจียงมีเมืองโบราณอยู่ถึง 3 เมืองซึ่งเกิดจากการค่อยๆย้ายถิ่นฐานเพื่อหาแหล่งเพราะปลูกลงมาทางใต้ของชาว Naxi ซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ในแถบนี้มาแต่โบราณ จากเมือง Baisha (ไป๋ชา) ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดถึง 1,200 ปีทางตอนเหนือ และยังคงมีผู้คนอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน ลงใต้มาสู่เมือง Shuhe (ชู่เหอ) อายุ 1,000 ปี ก่อนจะลงใต้มาอีกสู่แหล่งที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดจนก่อตั้งเป็นเมือง Dayan (ดายัน) เมื่อ 800 ปีก่อน เมืองเก่าดายันจึงเป็นกลายเป็นเมืองเก่าขนาดใหญ่ (3.8 ตารางกิโลเมตร) และยังมีสภาพดีที่สุด และก็เป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดในเมืองลี่เจียงด้วยเช่นกัน เมืองลี่เจียงตั้งอยู่บนความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,400 เมตร (ใกล้เคียงกับยอดดอยอินทนนท์) และล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูงเสียดฟ้าอีกมากมาย แต่ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของลี่เจียงก็คือเขาหิมะมังกรหยก ซึ่งสูงถึง 5,596 เมตรจากระดับน้ำทะเล (สูงกว่า Mont Blanc ในยุโรปซะอีก) นอกจากนี้ลี่เจียงเป็นเมืองปลอดอุตสาหกรรมหนัก จึงไร้มลพิษในอากาศและมีความเย็นตลอดทั้งปี แม้ในหน้าร้อนที่สุดในเดือนกรกฎาคม อุณหภูมิก็ยังอยู่ที่ประมาณ 25-28 องศาเท่านั้น และด้วยเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง แถมไม่ต้องทำวีซ่าให้ยุ่งยาก จึงทำให้เราสามารถหลบร้อนมาที่ลี่เจียงได้อย่างสะดวกสบาย เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมณฑลยูนนานก็คือประชากรส่วนใหญ่ยังคงเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอยู่รวมกันมากถึง 25 ชนเผ่า ซึ่งต่างจากมณฑลอื่นๆของจีนที่ประชากรส่วนใหญ่มักเป็นชาวฮั่น และสำหรับลี่เจียงนั้นก็เป็นดินแดนของชนเผ่า Naxi เป็นหลัก จะมีชนเผ่าอื่นๆแซมบ้างก็เพียงเล็กน้อย ชาว Naxi ถือเป็นชนเผ่าที่มีหัวก้าวหน้า เฉลียวฉลาดรู้จักวางแผน และมีค่านิยมส่งเสริมเรื่องการศึกษามาแต่โบราณ เคยรุ่งเรืองถึงขนาดก่อตั้งเป็นราชวงศ์มู่ (Mu) ขึ้นมาปกครอง มีทั้งภาษาพูดและเขียนเป็นของตัวเอง ทำให้ลี่เจียงเป็นหนึ่งในเมืองการค้าที่สำคัญบนเส้นทาง Tea Horse Road ที่ก่อตั้งขึ้นกว่า 1,000 ปีก่อน เพื่อนำใบชาจากผู่เอ๋อร์แบกขึ้นหลังม้าไปกระจายสู่ภูมิภาคอื่นๆของจีน ทิเบต และบางส่วนของอินเดีย วัฒนธรรมของลี่เจียงจึงมีความรุ่มรวยไม่เหมือนใคร ในปัจจุบันว่ากันว่า 80% ของจำนวนประชากรกว่า 1.25 ล้านคนของลี่เจียงนั้นยังคงกระจายอาศัยกันอยู่บนภูเขามากกว่าอยู่ในเมือง วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านจึงยังคงดำเนินไปอย่างไม่ถูกรบกวนจากเทคโนโลยีภายนอกมากนัก ลี่เจียงแห่งแคว้นยูนนานเป็นเมืองจีนโบราณอายุนับพันปีที่งดงามเปี่ยมเสน่ห์พร้อมสะกดทุกผู้มาเยือน ยิ่งได้ฉากหลังเป็นเขามังกรหยกสูงเสียดฟ้ากว่า 5,500 เมตร มีหิมะปกคลุมยอดตลอดทั้งปี ก็ยิ่งทำให้ทั้งเมืองดูขลังและอลังการสมกับที่ UNESCO รับรองให้เป็นมรดกโลกเลยล่ะครับ สำหรับการเดินทางก็สะดวกเพราะไม่ต้องขอวีซ่า และบินตรงเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง เป็นการหลบร้อนไปพึ่งเย็นที่ทั้งง่ายและชวนหลงไหลจนไม่น่าเชื่อว่าลี่เจียงจะอยู่ใกล้บ้านเรามากขนาดนี้ และคงไม่น่าแปลกใจเลยหากที่นี่จะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายยอดฮิตสำหรับคนไทยในอนาคตอันใกล้นี้ครับ The Arrival Ruili Airlines เป็นสายการบินเดียวที่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯไปลี่เจียงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพียง 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงลี่เจียงเลย อีกทางเลือกหนึ่งก็คือเดินทางด้วยสายการบินหลักอื่นๆไปลงที่คุนหมิง แล้วนั่งรถไฟต่อมาที่ลี่เจียงก็ได้เช่นกัน หากเพื่อนๆเลือกจองที่ Amandayan ด้วยโค้ด “Hop Around” ก็สามารถเลือกให้ทางรีสอร์ทมารับที่สนามบินได้เลยก็จะสะดวกมากๆ ในแพ็คเก็จแขกสามารถเลือกรับบริการจาก Amandayan ระหว่างให้มารับหรือมาส่งที่สนามบินได้ขาใดขาหนึ่ง แต่เราแนะนำให้เลือกให้มารับมากกว่าเพราะการเรียกรถแท็กซี่จาก International Terminal ที่ลี่เจียงอาจจะไม่ค่อยสะดวกมากนัก (ถ้าเดินไปที่ Domestic Terminal จะมีแท็กซี่มากกว่า) และแนะนำดาวน์โหลดแอ๊ป WeChat และ AliPay พร้อมผูกบัตรเครดิตเอาไว้ให้เรียบร้อยตั้งแต่อยู่ไทย จะได้พร้อมใช้งานเลย ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องอินเตอร์เน็ตเมื่อไปถึง จากสนามบินเราใช้เวลาบนรถ Mercedez-Benz ที่ทาง Amandayan ส่งมารับประมาณ 45 นาทีก็มาถึงรีสอร์ทบนเนินเขา Lion Hill กลางเมืองลี่เจียง เมื่อถึงจุด Drop Off พนักงานของ Amandayan ก็มายืนรอต้อนรับกันพร้อมหน้า นับเป็นความประทับใจแรกตามตำรับ Aman ที่เราคุ้นเคย หลังจากรับผ้าเย็นแล้ว เราก็ถูกเชิญให้ไปนั่งพักจิบ Welcome Drink (ชาเขียวยูนนานผสมน้ำผลไม้) เพื่อรอเช็คอินที่ Lobby Amandayan เปิดตัวในปี 2015 และออกแบบโดยสถาปนิกระดับตำนานอย่าง Ed Tuttle โดยได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะของชาว Naxi อาคารทั้งหมดนั้นสร้างขึ้นมาใหม่ให้มีกลิ่นอายโบราณเป็นหนึ่งเดียวกับเมืองเก่า มีเพียงอาคารเดียวในเขตรีสอร์ทเท่านั้นที่เป็นศาลเจ้าโบราณสถานอายุกว่า 300 ปีซึ่งเปิดให้คนนอกสามารถเข้าชมได้ และเราจะพาเพื่อนๆไปชมกันหลังจากเช็คอินแล้วนะครับ เราสัมผัสได้ถึงความนิ่งสงบตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินเข้ามาสู่ Lobby วัสดุในการตกแต่งภายในส่วนใหญ่ทำมาจากไม้ ซึ่งให้ความรู้สึกที่หรูหราและอบอุ่นไปพร้อมๆกัน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็เห็นจะเป็นโคมไฟทรงกระบอกยาว 9 โคมที่แขวนสูงทะลุขึ้นไปถึงโถงชั้น 2 ของอาคาร รสนิยมอันละเมียดละไมของคุณ Ed Tuttle ที่ทำให้สเปซมีความโดดเด่นอย่างกลมกล่อมนั้นฝังตัวอยู่ในทุกอณูของ Lobby ที่นี่เลยครับ Our Room: Courtyard Suite เช็คอินเรียบร้อยแล้ว เราพาไปชมห้องพักของเรากันดีกว่าครับ ก่อนอื่นต้องขอเล่าให้เห็นภาพใหญ่กันก่อนว่าบนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ของ Amandayan นี้ มีห้องพักเพียงแค่ 34 ห้อง บวกกับอีก 1 วิลล่าที่เปิดให้จองได้ ดังนั้นเรื่องความเป็นส่วนตัวจึงไม่ต้องห่วงเลย ส่วนของห้องพักก็แบ่งเป็น 2 แบบเท่านั้น คือ Courtyard Suite ที่อยู่ชั้นล่างและ Deluxe Suite ที่อยู่ชั้นสอง ห้องชั้นล่างนั้นได้เปรียบเรื่องความสะดวกเวลาจะเข้าออกห้องพัก ส่วนชั้นสองจะได้เปรียบเรื่องระเบียงที่สามารถเห็นวิวจากมุมที่สูงกว่า แต่หากคืนใดมีงานเลี้ยงเสียงดังในเขตเมืองเก่าที่อยู่ไม่ไกลออกไป ห้องชั้นบนก็อาจจะมีเสียงเล็ดลอดเข้ามาง่ายกว่าชั้นล่างเช่นกัน การตกแต่งภายในห้องพักทั้ง 2 ประเภทนี้มีรูปแบบและหน้าตาห้องเหมือนกันหมดทุกประการ อาจจะมี Layout ที่สลับฝั่งซ้าย-ขวากันบ้างในบางห้อง แต่ในภาพรวมแล้วการพาไปดูห้องของเราซึ่งเป็นแบบ Courtyard Suite เพียงห้องเดียวก็เท่ากับว่าเพื่อนๆจะได้เห็นหน้าตาห้องของทั้งรีสอร์ทเลยครับ ห้องของเราหมายเลข 121 มีขนาด 72 ตารางเมตร กว้างขวางสะดวกสบายมาก การจัดแบ่งพื้นใช้สอยก็ทำได้ดีเลิศเลยครับ เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา เราก็จะเจอกับพื้นที่นั่งเล่นที่มีโซฟาขนาดใหญ่สำหรับเอกเขนกก่อนเลย ด้านหลังโซฟาเป็นผนังบุผ้าทอลวดลายศิลปะท้องถิ่นที่นอกจากจะประดับไว้เพื่อความงามแล้ว ยังเป็นบานเลื่อนในตัวที่เอาไว้เปิด-ปิดซ่อนทีวีที่อยู่เบื้องหลังได้ด้วย บนโต๊ะกลางก็มีผลไม้ ของว่าง และข้อมูลต่างๆของรีสอร์ทที่ทางแม่บ้านจัดเตรียมไว้ให้เรา เมื่อหันไปทางซ้ายก็จะเจอกับเตียง King Size ที่ดูโอ่อ่านุ่มสบาย แต่สิ่งที่ทำให้ห้องดูสวยงามและโดดเด่นอย่างมากก็คือฉากไม้ที่เจาะฉลุลวดลายดอกไม้แบบจีน ช่างไม้ฝีมือเนี้ยบมากครับ ยิ่งเมื่อแสงแดดส่องทะลุเข้ามา แสงเงาที่เกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้ห้องดูงดงามราวกับมีเวทมนตร์เลยทีเดียว ด้านหลังฉากไม้ฉลุนี้เป็นโซนของโต๊ะทำงาน และมินิบาร์ซึ่งเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล เราสามารถรับประทานได้ทั้งหมดเพราะรวมอยู่ในค่าห้องเรียบร้อยแล้ว ตรงจุดนี้นอกจากอุปกรณ์ชง Cocktail ที่เราจะเจอได้ตามโรงแรมหรูทั่วไปแล้ว ที่นี่ยังจัดเตรียมเซ็ตชงชาเอาไว้ให้แขกเป็นพิเศษด้วย ซึ่งช่วยยกระดับบรรยากาศของห้องพักให้มีความพิถีพิถันแบบจีนมากขึ้นไปอีก ถัดจาก Minibar เข้าไปหลังผนังโซนนั่งเล่น ก็จะเป็นห้องน้ำและห้องแต่งตัวแบบ Walk-in Closet มีอ่างล้างหน้าแยก 2 เซ็ตสำหรับแขก 2 ท่าน ตรงกลางเป็นอ่างอาบน้ำ และมีห้อง Shower กับห้องส้วมแยกออกไปต่างหากอย่างเป็นสัดส่วนดีมากครับ สิ่งหนึ่งที่เราขอให้ทางรีสอร์ทจัดหาให้เพิ่มเติมก็คือเครื่องทำความชื้นในอากาศครับ เพราะลี่เจียงอากาศค่อนข้างแห้งจึงทำให้รู้สึกแห้งในจมูกและคอเวลาตื่นนอน นี่แหละครับข้อดีของการมาพักที่ Aman เขาใส่ใจรายละเอียดทุกอย่างจริงๆ Private Villa ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราพาเพื่อนๆไปดู Private Villa หนึ่งเดียวของ Amandayan ที่เปิดให้จองกันได้ต่อเลยดีกว่าครับ วิลล่าหมายเลข 888 นี้ (เลขมงคลสุดๆ) เป็นวิลล่า 2 ห้องนอนสำหรับแขกที่ต้องการอยู่เป็นกรุ๊ป 4-5 ท่านแบบเป็นส่วนตัว สำหรับกรุ๊ปที่ใหญ่กว่านี้สามารถปรึกษาทาง Reservation ได้นะครับ เพราะจริงๆแล้วทางรีสอร์ทก็สามารถเปิด Private Villa หลังอื่นเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษได้อีก ห้องพักแบบวิลล่านั้นจะมาพร้อมกับ Butler ส่วนตัวที่คอยให้บริการเราตลอด 24 ชม. มีการจัดสรรพื้นที่เป็นห้องนอนให้ Butler นอนพักภายในตัววิลล่าด้วยเลย ซึ่งทาง Aman แบ่งโซนตรงนี้ได้ดีมากครับ ยังคงความเป็นส่วนตัวของแขกอย่างเต็มที่ เนื่องจากถ้าไม่สังเกตเราก็แทบมองไม่เห็นห้องพักของ Butler เลย วิลล่า 888 มีการจัดวางอาคาร 2 ชั้นเป็นรูปตัว L บนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีพื้นที่ว่างเป็นลาน Courtyard ส่วนตัวที่เงียบสงบ เมื่อเปิดประตูเข้ามา ด้านขวามือภายในตัวอาคารก็จะเป็นห้องรับประทานอาหารกับโต๊ะกลมหมุนได้แบบจีน เดินลึกเข้าไปอีกนิดก็จะพบกับห้องครัวส่วนตัวที่มีอุปกรณ์พร้อมสรรพ อีกฝั่งของอาคารตัว L ก็จะเป็นห้องนั่งเล่น ที่มาพร้อมกับโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเบ้อเริ่มตรงกลางห้อง พร้อมโซฟาที่นั่งได้รอบโต๊ะเลย ถัดออกไปติดผนังก็เป็นทีวี นอกจากนี้ก็ยังมีโต๊ะทำงานเซ็ตใหญ่อีก 2 เซ็ตตั้งอยู่ตรงข้ามกัน ที่ชั้นล่างนี้จะมีห้องน้ำอยู่ตรงจุดก่อนถึงบันไดขึ้นชั้น 2 และทางเข้าห้องพักของ Butler ก็อยู่ใต้บันไดนี่เอง ชั้น 2 ของวิลล่าก็จะเป็นห้องนอนพร้อมห้องน้ำในตัว ซึ่ง Layout ทุกอย่างก็เหมือนกับห้องพักของเราเลยครับ เพียงแต่ห้องนอนของวิลล่าที่อยู่คนละปีกก็จะมีการสลับฝั่งของการจัดสรรพื้นที่ให้อยู่ทิศตรงข้ามกัน Man Yi Xuan - The Main Chinese Restaurant สำหรับเรื่องอาหารที่ Amandayan จะมีทั้งสิ้น 3 Outlets แต่ห้องอาหารหลักนั้นมีชื่อว่า Man Yi Xuan ซึ่งเสิร์ฟอาหารจีนในมื้อกลางวันและเย็นโดยมีทั้งเมนูจีนทั่วไป และอาหารยูนนานท้องถิ่นที่ทั้งอร่อยและหาทานได้ยากครับ ในวันที่ฟ้าใสเพื่อนๆก็จะสามารถมองเห็นวิวภูเขาหิมะมังกรหยกแบบเต็มตาได้จากห้องอาหาร Man Yi Xuan นี้ได้เลย เรียกได้ว่าอร่อยลิ้นและอิ่มเอมสายตาไปพร้อมๆกัน วิวตรงนี้คือ Iconic View พันล้านที่เป็นจุดขายในภาพโฆษณาของ Amandayan เลยก็ว่าได้ครับ เมนูที่เราอยากจะแนะนำหากเพื่อนๆได้มารับประทานอาหารที่นี่ก็คือ Hot Pot แต่ต้องสั่งจองกันล่วงหน้านิดนึงนะครับ เนื่องจากทางห้องอาหารต้องเตรียมการอย่างน้อย 4 ชั่วโมงเลย Hot Pot ของที่นี่เสิร์ฟในหม้อดินดำที่นำเข้ามาจาก Shangri-la ดูสวยขลังมากครับ ตัวน้ำซุปนั้นกลมกล่อม ส่วนเนื้อสัตว์ก็มีให้เลือกทั้งเนื้อไก่ฟาร์ม ซี่โครงหมูบ่ม 6 เดือน และเนื้อจามรี มื้อนี้เราเลือกลองซี่โครงหมูและเนื้อจามรีจานเล็กๆมาลองครับ เชฟจะนำเนื้อซี่โครงหมูดิบๆมานวดคลึงเคล้าด้วยเครื่องปรุงและเครื่องเทศท้องถิ่น ก่อนจะบ่มเก็บเอาไว้นานถึง 6 เดือนจนเข้าเนื้อ ตอนแรกเราคาดหวังว่าเนื้อหมูคงจะนุ่มเปื่อยแบบละลายไปเลย แต่จริงๆแล้วเท็กซ์เจอร์นั้นนุ่มกำลังดียังมีความสู้ฟันพอให้เราได้เคี้ยวอยู่ครับ แต่มีรสชาติเข้มข้นแทรกซึมอยู่ในเนื้อหมูเลย ส่วนเนื้อจามรีนั้นรสชาติเหมือนเนื้อวัวชั้นดีเลยครับ ไม่เหนียวหรือมีกลิ่นสาบอย่างที่คิด อีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของ Hot Pot ก็คือเห็ดและผักซึ่งสดอร่อยมาก โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมที่เป็นฤดูเก็บเห็ด เพื่อนๆก็จะได้ลิ้มลองเห็ดหลายชนิดเลยครับ ที่มีชื่อที่สุดน่าจะเป็นเห็ดสน หรือ Matsutake ที่ปกติราคาค่อนข้างสูง ถ้ามีโอกาสอย่าลืมสั่งมาลองดูกันนะครับ The Lounge มื้อเช้าของทุกวันนั้นรวมอยู่ในแพ็คเก็จข้อเสนอพิเศษเมื่อจองด้วยโค้ด Hop Around ด้วยนะครับ ซึ่งมื้อเช้าที่ Amandayan จะเสิร์ฟกันที่ The Lounge ซึ่งอยู่ในพื้นที่อีกฝั่งของ Lobby เมนูอาหารเช้าของที่นี่ก็จะมีทั้งแบบตะวันตก แบบจีนทั่วไป และแบบยูนนาน และมีเมนูทิเบตแซมๆมาด้วย เช่น ชาผสมเนยจามรี เพราะจริงๆแล้วถัดจากลี่เจียงไปนิดเดียวก็ทิเบตแล้ว ในแต่ละวันที่เข้าพักเราก็พยายามสั่งเมนูที่แตกต่างกันไปเพื่อให้เพื่อนๆได้เห็นหน้าตาอาหารเช้าหลากหลายแบบที่สุด ส่วนตัวแล้วเราถูกใจกับรสชาติที่เข้มข้นของเมนูเส้นเป็นพิเศษทั้งแบบแห้งและแบบน้ำ อยากให้เพื่อนๆได้ลองดูครับ ส่วนอาหารเช้าแบบท้องถิ่นนั้นมีธัญพืชเป็นวัตถุดิบค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่วเลนทิล (อันนี้มีเอามาทำเป็นเจลลี่ด้วย แปลกดีครับ) รวมไปถึงมันสีต่างๆ ซึ่งเรารู้สึกว่าดีต่อสุขภาพมากเลย อีกอันที่แปลกดีก็คือก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้กลีบกุหลาบ อ่อ! ลืมบอกไปว่าที่ลี่เจียงนี่เป็นดินแดนแห่งดอกไม้นานาพันธุ์เลยครับ ดอกไม้หลากสีบานสะพรั่งสวยมากจริงๆ และคนก็นิยมนำดอกไม้หลายชนิดมาประกอบอาหารเช่นกัน อย่างของฝากชื่อดังที่มีขายทั่วเมืองเก่าก็คือขนมเปี๊ยะไส้กลีบกุหลาบนี่แหละครับ The Boutique ในบริเวณเดียวกันกับ The Lounge จะมีห้องเล็กๆที่หลบอยู่ใกล้โต๊ะรีเซ็พชั่น ซึ่งภายในจะเป็น Boutique ร้านขายของที่ระลึกทั้งที่ทาง Amandayan คัดสรรมาจากช่างฝีมือท้องถิ่น และสินค้าในแบรนด์ Aman เองซึ่งมีตั้งแต่เครื่องหอมไปจนถึงเสื้อผ้าเลยครับ เป็นมุมเล็กๆที่น่าสนใจยังไงก็ลองมาแวะชมกันนะครับ The Library and The Meeting Room พาขึ้นมาชมชั้นสองของอาคาร Lobby กันบ้างครับ ห้องสมุดของทุก Aman นั้นเป็นมุมที่เราชอบเป็นพิเศษ เป็นมุมเงียบๆที่ตกแต่งสวยอบอุ่น ให้อารมณ์บ้านผู้ดีเก่าที่มีความ Sophisticated แบบไม่ต้องพยายาม และที่ Amandayan ก็เช่นกันครับ ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ที่พิเศษกว่า Aman อื่นที่เราเคยไปก็คือที่นี่มีห้องประชุมขนาดค่อนข้างใหญ่ที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทุกอย่างเอาไว้ให้บริการด้วย จากสายตาคิดว่าสามารถรองรับคนได้ประมาณ 30 คนสบายๆ ไม่สงสัยเลยว่าทำไม Amandayan ถึงมีบริษัทเก๋ๆพาพนักงานมาพักแบบ Buy Out กันอยู่เรื่อยๆ The Theatre อาคาร Lobby ยังมีชั้นใต้ดินให้เราลงไปสำรวจกันอีกนะครับ ข้างล่างนี้มีห้องที่พิเศษมากก็คือ Private Theatre หรือโรงหนังส่วนตัวที่เพื่อนๆสามารถชวนกันมาเลือกดูหนังได้อย่างจุใจ ห้องนี้จะเป็นที่นิยมมากในช่วงเทศกาลแข่งขันกีฬาต่างๆไม่ว่าจะเป็น โอลิมปิค บอลโลก เทนนิสโอเพ่น ฯลฯ ในบางวันก็จะมีโปรแกรมหนังที่ทางทีม Amandayan เลือกเอามาฉายด้วย และห้องนี้ก็ไม่ได้มาเล่นๆนะครับ ตั้งแต่การออกแบบ วัสดุที่ใช้ตกแต่ง ระบบภาพและเสียง รวมไปถึงคุณภาพของที่นั่งทุกอย่างคือดีเยี่ยมทั้งหมด ตอนที่เปิดเข้ามาเห็นครั้งแรก เราเซอร์ไพร้ซ์กับความจริงจังนี้มากครับ The Spa นอกจากห้องพักที่สวยงามแล้ว อีกสิ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมากที่ Aman ก็คือสปาครับ จากประสบการณ์การใช้สปาในแต่ละ Aman ที่เราเคยได้ไปสัมผัสมานั้นดูเหมือนว่าจะมีเวทมนตร์บางอย่างที่มากไปกว่าแค่เพียงความผ่อนคลายสบายตัว แต่จิตใจเราก็รู้สึกสงบนิ่งปลอดภัยราวกับเราได้เข้าไปอยู่ใน Sanctuary บางอย่าง และที่ Amandayan นี้ก็เช่นกัน คุณ Therapist นวดโดยใช้เทคนิคจีนเข้ามาผสม แต่คำว่า “นวด” ก็อาจจะดูน้อยและเบาไปนิดในความรู้สึกของเรา คำว่า “บำบัด” น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะเรารู้สึกได้ถึงความใส่ใจในทุกๆการกด การรีด และการลงน้ำหนักมืออันไหลลื่นซึ่งช่วยให้ความตึงเครียดที่สะสมอยู่ในทั้งร่างกายและจิตใจของเราค่อยๆคลายลงจนเราเผลอหลับไปเลยครับ The Gym ชั้นล่างของอาคารสปาเป็นที่ตั้งของห้องฟิตเนสและห้องโยคะที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป แต่อุปกรณ์นั้นมีครบครันและทุกชิ้นก็มาตรฐานสูงจากแบรนด์ TechnoGym สายออกกำลังไม่ต้องห่วงเลยครับ ได้ใช้อุปกรณ์ชั้นเยี่ยมอย่างเป็นส่วนตัวแน่นอนครับ The Pool นี่คือหนึ่งในสระน้ำ Outdoor เพียงไม่กี่สระในเขตเมืองเก่าของลี่เจียง (เราคิดว่าน่าจะเป็นสระกลางแจ้งสระเดียวเลยด้วยซ้ำ) ยิ่งไปกว่านั้นสระของ Amandayan ยังมีระบบรักษาอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 28 องศาเซลเซียส ดังนั้นแม้ในวันที่อากาศหนาว แขกของรีสอร์ทก็ยังสามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบายตัว จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะได้ว่ายน้ำในเซ็ตติ้งจีนโบราณแบบนี้ The View Pavilion และนี่ก็น่าจะเป็นศาลาชมวิวจากบนเนินเขาหนึ่งเดียวของเมืองเก่าลี่เจียงเช่นกัน เพื่อนๆจะได้ชมวิวเมืองเก่าในมุมที่สวยที่สุดของลี่เจียงแบบพาโนรามาโดยไม่ต้องไปแย่งชิงกับฝูงชนใดๆ นับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ Exclusive สำหรับแขกของ Amandayan เท่านั้นครับ เพราะคนนอกไม่สามารถเข้ามาตรงจุดนี้ได้ The Tea House ยูนนานนั้นเป็นอีกแหล่งปลูกชาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน โดยเฉพาะที่เมืองผู่เอ๋อร์ทางใต้ของลี่เจียง ด้วยความที่ลี่เจียงเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคมาแต่อดีต โดยเป็นจุดผ่านที่สำคัญของ Tea Horse Road จึงทำให้ลี่เจียงเป็นแหล่งซื้อขายใบชาชั้นดีไปโดยปริยาย การจิบน้ำชาจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวที่ลี่เจียง และในเมืองเก่าก็มีร้านขายชาเก่าแก่มากมายที่เพื่อนๆสามารถไปลองชิมชาได้ แต่ที่ The Tea House ของ Amandayan ไม่ได้มีดีแค่ชาเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีเครื่องดื่มอื่นๆให้เลือกหลากหลาย และมีบริการทั้งติ่มซำและเซ็ต Afternoon Tea แบบจีนประยุกต์ที่พรีเซ้นต์ได้สวยงามขึ้นกล้องมากๆ และที่ว้าวที่สุดก็คือวิวเมืองเก่าจากมุมสุด Exclusive ที่ยิ่งช่วยเสริมให้รสชาติของชานั้นยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นไปอีก Wenchang Palace ศาลเจ้าเหวินชางเป็นอีกหนึ่งไอเท่มลับของ Amandayan เลยครับ เมื่อ 300 กว่าปีก่อนสถานที่แห่งนี้เคยถูกใช้เป็นจุดสอบคัดเลือกเข้าเป็นขุนนางข้าราชการของจีน ปัจจุบันผู้คนจึงนิยมมาขอพรเรื่องการเรียนและการงานที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ต้นไม้บางต้นที่อยู่ในบริเวณศาลเจ้าก็เป็นต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่มาตั้งแต่ก่อนสร้างศาลเจ้าด้วยซ้ำ และเนื่องจากศาลเจ้านี้อยู่ติดกันกับพื้นที่ของรีสอร์ท ทางการจีนจึงมอบหมายให้ Amandayan เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยทั้งหมด ดังนั้นบริเวณนี้จึงเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาเที่ยวชมได้ตั้งแต่ 10:00-17:00 น. ในบางวันนอกจากจะมีคนมาขอพรและชมวิวแล้ว เราอาจจะได้เห็นศิลปินมานั่งสเก็ตช์ภาพสวยๆด้วย ได้อารมณ์ชะมัด The Old Town Dayan นั้นเป็นเมืองที่เก่าที่อยู่ในยุครุ่งเรืองที่สุดในบรรดา 3 เมืองโบราณของลี่เจียง ตัวเมืองจึงมีขนาดใหญ่ที่สุดและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดด้วยเช่นกัน กลายเป็นภาพจำของผู้คนทั่วไปเมื่อพูดถึงเมืองเก่าลี่เจียงโดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยว ดังนั้นชื่อเมือง Dayan จึงถูกแทนที่ด้วย Lijiang Old Town ไปโดยปริยาย เขตเมืองเก่าของลี่เจียงนั้นสวยงามดั่งภาพในนิยายจีนโบราณ และมีพื้นที่ถึง 3.8 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นโซนต่างๆได้ตามทิศเหนือ-ใต้-ออก-ตก ข้อดีของ Amandayan ก็คือมีทางเดินลงมาที่เมืองเก่าได้หลายทางซึ่งแต่ละทางก็จะพาไปโซนที่ต่างกันของเมือง โดยโซนทางเข้าฝั่งทิศเหนือ (North Gate) นั้นนับว่าเป็นทางเข้าหลัก นักท่องเที่ยวก็จะค่อนข้างเยอะกว่าทางเข้าอื่น ตรงกันข้ามกับฝั่ง South Gate ที่นักท่องเที่ยวจะบางตากว่า ใจกลางของเมืองเก่าก็คือ Square Market (จตุรัสกลางเมือง) ซึ่งก็เป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวหนาแน่นเช่นกัน ทางเดินในเมืองเก่านั้นเต็มไปด้วยตรอกซอกซอยมากมาย วิธีการเดินเที่ยวที่ดีที่สุดคือเดินไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ตัวเองได้หลงทางสำรวจเมืองแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก อาจจะยึดเอา Square Market ที่อยู่กลางเมืองและสายน้ำที่ไหลจากเหนือลงใต้ทะลุเมืองเก่าเป็นหลักในการเดาทิศแบบคร่าวๆ ในแต่ละซอกซอยก็เรียงรายไปด้วยร้านค้าตลอดสองข้างทางทั่วทั้งเมือง แต่ก็มักจะขายสินค้าคล้ายๆกัน สินค้าที่มีชื่อจากลี่เจียงและควรค่าจะซื้อกลับไปเป็นของฝากก็อย่างเช่น ชาผู่เอ๋อร์เกรดต่างๆ เห็ดตากแห้ง ขนมเปี๊ยะไส้กลีบกุหลาบ และเครื่องเงิน (อันนี้ต้องเลือกร้านดีๆนะครับ หรือปรึกษา Conceirge ที่ Aman ก่อนก็ได้ เพราะได้ข่าวมาว่าบางร้านก็ไม่ใช้เงินแท้) ในแต่ละช่วงเวลาของวัน เมืองเก่าจะมี Vibes ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ช่วงเช้าเป็นช่วงที่เราชอบมากที่สุด เพราะยังเงียบสงบ ร้านรวงยังเปิดกันไม่ครบ นักท่องเที่ยวยังน้อย เหมาะมากกับการเดินเล่นชมเมืองเพลินๆและเก็บภาพสวยๆ ลี่เจียงในช่วงเช้ามีเสน่ห์มาก เราแนะนำให้เพื่อนๆลองมาเดินเล่นกันดูนะครับ ช่วงกลางวันตัวเมืองเริ่มพลุกพล่านไปด้วยผู้คนทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวาไปอีกแบบ เราเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนตั้งใจมาแต่งชุดพื้นเมืองถ่ายรูปกันแบบจริงจังเลย ส่วนในช่วงกลางคืน (โดยเฉพาะบริเวณ Square Market) เมืองเก่าก็จะกลายร่างเป็นผีเสื้อราตรีงานแสงสีเสียงฉ่ำมาก ผับบาร์พร้อมใจกันอวดแสงไฟหลากสี และมีดนตรีทั้งเล่นสด และเปิดแผ่นเรียกลูกค้ากันสนุกสนานเลย Zhongyi Market ถ้าเพื่อนๆอยากจะหลบหลีกนักท่องเที่ยวไปหามุมที่ “Authentic” ในเมืองเก่าลี่เจียง เราขอแนะนำให้ลองมาเดินตลาดจงยี่ตอนเช้า ที่นี่เป็นตลาดสดที่เราแทบไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย แต่จะเป็นคนท้องที่ที่เข้ามาจับจ่ายผลิตผลทางการเกษตรต่างๆ เราจะได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ทางอาหารและวัฒนธรรมของผู้คนที่อาศัยอยู่บนภูเขารอบๆลี่เจียง ลำพังแค่หัวมันก็มีตั้งหลายชนิดและหลายสีให้เลือกแล้ว Fun Fact ที่เราก็เพิ่งรู้ก็คือถ้าเนื้อของหัวมันเป็นสีอะไร ดอกของต้นมันก็จะเป็นสีนั้นไปด้วย ส่วนใครที่อยากลิ้มลองอาหารท้องถิ่น ใกล้ๆกับตลาดก็มีฟู้ดคอร์ทแบบชาวบ้านไว้บริการด้วยนะครับ Mu’s Mansion ตระกูล Mu (มู่) เป็นตระกูลชาว Naxi ที่ปกครองดินแดนละแวกนี้มากว่า 1,200 ปี ตระกูล Mu มีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการวางผังเมือง และเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาอารยธรรมของชาว Naxi ให้ก้าวหน้าแซงชนเผ่าอื่นๆในละแวกนี้จนถึงขั้นมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง นอกจากนี้ยังมีค่านิยมที่ปลูกฝังให้ลูกหลานรักการอ่านเขียน จึงยิ่งทำให้ชาว Naxi นั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าใคร ด้วยการให้ความสำคัญกับการศึกษามายาวนาน เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภายในคฤหาสน์ของตระกูล Mu นี้จึงมีหอสมุดที่เป็นอาคารสูง 3 ชั้นเพียงหลังเดียวในเมืองเก่าลี่เจียง อาคารอื่นๆทั้งหมดในตัวเมืองจะเตี้ยกว่านี้ทั้งสิ้น ในวันที่รุ่งโรจน์ที่สุดของตระกูล Mu อาณาบริเวณของคฤหาสน์แห่งนี้เคยกว้างขวางถึงประมาณ 40 ไร่ และมีความยิ่งใหญ่งดงามจนมีคนเอาไปเปรียบว่าเป็นขนาดย่อส่วนลงมาของพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่ง ตระกูล Mu นั้นอาศัยอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ต่อเนื่องกันมาถึง 22 รุ่น แต่หลังจากผ่านศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วนโดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีนก่อนจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง Mu’s Mansion บางส่วนจึงถูกทำลายลงไปจนปัจจุบันเหลือพื้นที่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น และอาคารส่วนใหญ่ที่เห็นในปัจจุบันก็เป็นการสร้างขึ้นใหม่ตามดีไซน์เก่าในช่วงทศวรรษ 90 แต่ความสวยงามก็ยังคงทำให้เราตื่นตะลึงได้ไม่ยากนัก Naxi Ancient Music Recital สำหรับใครที่อยากดื่มด่ำกับความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของชาว Naxi ไปอีกระดับ เราขอแนะนำให้มาชมการแสดงดนตรีโบราณแบบสดๆ สามารถให้ทาง Amandayan จองให้ได้เลยครับ แนวดนตรีจะมีความคล้ายงิ้วที่ประณีตขึ้นมาอีกระดับ เป็นเรื่องน่าทึ่งนะครับที่คนโบราณสามารถประดิษฐ์เครื่องดนตรีขึ้นมาได้หลากหลายแบบ และทำให้ทุกชิ้นสอดประสานกันขึ้นเป็นเพลงที่ไพเราะและมีเอกลักษณ์ได้แบบนี้ Black Dragon Pool อีกหนึ่งพิกัดสุด Iconic ของลี่เจียงก็คือสระมังกรดำที่ตั้งอยู่ที่เชิงเนินเขาช้าง (Elephant Hill) ซึ่งสระแห่งนี้เป็นทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน สวนสาธารณะที่ร่มรื่นเดินเพลิน สถานอนุรักษณ์น้ำของรัฐ ที่ตั้งพิพิธภัณฑ์และสถาบันวิจัยวัฒนธรรมตงปา (Dongba) ของชาว Naxi และเป็นแหล่งรวมงานสถาปัตยกรรมจากหลายยุคสมัยทั้งแบบ Naxi และแบบชาวฮั่น อาคารบางหลังเช่นหอ Wufeng หลังคาซ้อน 3 ชั้นที่ปัจจุบันตั้งอยู่คู่กับสะพานหินอ่อนสีขาวกลางสระ ก็เป็นศิลปะตั้งแต่ราชวงศ์หมิง อายุกว่า 400 ปี ซึ่งถูกย้ายมาจากวัด Fuguo ที่อยู่นอกเมือง Dayan ออกไป ใดๆก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Black Dragon Pool มีชื่อเสียงที่สุดก็คือวิวที่สวยหยาดเยิ้มชวนฝัน เป็นความลงตัวของการจัดวางสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์กับวิวภูเขาหิมะมังกรหยกที่ตั้งเป็นฉากปังๆอยู่ด้านหลัง สระน้ำที่สะท้อนเงาวิวทั้งหมดในวันฟ้าใสก็ยิ่งเพิ่ม Wow Factor ให้กับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า หากเพื่อนๆมีเวลานอกจากจุดชมวิวชื่อดังแล้ว Black Dragon Pool ก็ยังมีอะไรอีกเยอะแยะให้เดินดูได้เพลินๆหลายชั่วโมงเลยครับ Excursions มณฑลยูนนานของจีนนั้นเป็นมณฑลที่มีเมืองที่ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่หลักสิบเมตรไปจนถึงหลายพันเมตร ถ้าจะเอาตัวเลขเป๊ะๆก็คือ 76.4 - 6,740 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ดังนั้นจึงเป็นมณฑลที่มีความหลากหลายมาก ข้อดีของการมาเที่ยวลี่เจียงก็คือเราสามารถเทค Day Trip ออกนอกเมืองไปที่อื่นได้อีกหลายจุด โดยเราสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็วและราคาไม่แพง (โดยเฉพาะการเดินทางด้วยรถไฟ) เช่น ต้าลี่ และคุนหมิง ซึ่งในทริปนี้เรายังไม่มีโอกาสได้ไปเก็บภาพมาฝากกัน แต่ไม่ต้องห่วงครับ เราไปเยี่ยมชมที่อื่นๆมาอีกหลายที่เลยครับ ลองดูเพื่อเป็นไอเดียตามรอยได้ด้านล่างนี้ครับ Jade Dragon Snow Mountain ที่แรกที่พลาดไม่ได้ก็คือภูเขาหิมะมังกรหยกที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 5,596 เมตร ซึ่งสูงกว่า Mont Blanc (4,809 เมตร) ภูเขาที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตกเสียอีก นอกจากจะสวยมากๆแล้ว ภูเขาแห่งนี้ยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาว Naxi ให้ความเคารพมาแต่โบราณ ด้วยเหตุนี้จึงว่ากันว่ายังไม่เคยมีใครได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเหยียบบนจุดสูงสุดยอดเขาจริงๆเสียที แต่เราสามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปที่ความสูง 4,506 เมตร เพื่อชมยอดเขาในระยะใกล้ๆได้ จากจุดนี้ก็จะมีทางให้เดินเท้าขึ้นต่อไปได้อีกแต่ก็ไม่ถึงจุดยอดสุดนะครับ สำหรับการเดินทางจากลี่เจียง เราต้องนั่งรถออกนอกเมืองไปประมาณ 1 ชม. เราสามารถเช่ารถพร้อมคนขับ แล้วให้คนขับช่วยจัดการเรื่องตั๋วกระเช้าลอยฟ้าและตั๋วจุดท่องเที่ยวอื่นๆได้เลย (หาดูได้ตามกลุ่มเที่ยวเมืองจีนต่างๆในเฟสบุ้คนะครับ) หรือจะให้ทาง Amandayan จัดทริปให้ก็จะสะดวกมากกว่า อีกอย่างก็คืออย่าลืมพกกระป๋องออกซิเจนขึ้นมาด้วยนะครับ เพราะอาการข้างบนค่อนข้างบาง ส่วนใครที่เป็นโรคแพ้ความสูงก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้ามาให้ดีด้วยนะครับ Lijiang Impression Show ใกล้ๆกับสถานีกระเช้าลอยฟ้าขาขึ้นด้านล่างเขามังกรหยก ก็จะเป็นโรงละครสำหรับการแสดงอันเลื่องชื่อของเมืองลี่เจียงที่กำกับโดยจาก อี้ โหมว ผู้กำกับชาวจีนผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 3 ครั้ง และยังเป็นผู้ออกแบบการแสดงในพิธีโอลิมปิกที่ปักกิ่งเมื่อปี 2008 ด้วย สารภาพตามตรงว่าครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีการแสดงที่นี่ เราไม่ได้รู้สึกอยากดูเลยเพราะคิดว่าจะต้องเป็นกับดักนักท่องเที่ยวที่การแสดงจะออกแนวแห้งๆปลอมๆแน่ๆ แต่เมื่อได้เข้ามาดูจริงๆกลับรู้สึกประทับใจกับการนำเสนอที่มีรสนิยมสมชื่อ Lijiang Impression Show ความตระการตาเริ่มต้นตั้งแต่ภูเขามังกรหยกที่ตั้งเป็น Background อยู่ด้านหลัง ตัดกับเวทีสีแดงสุด Iconic เอาเข้าจริงๆเราแทบไม่ได้ติดตามเส้นเรื่องของตัวโชว์เท่าไหร่นัก แต่เราก็อินไปกับงาน Visual และ Movement ของนักแสดงในทุกๆฉาก แม้ในวันที่เราเข้าชมฝนจะตกหนักเกือบตลอดการแสดง แต่นั่นก็ยิ่งกลับทำให้ได้ความ Dramatic ไปอีกแบบ ที่สำคัญนักแสดงกว่า 500 ชีวิตนั้นเป็นชาว Naxi พื้นเมืองทั้งหมดก็แสดงแบบมืออาชีพมาก ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร The Show Must Go On ฉะนั้นก็เท่ากับว่าเราก็จะได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านมีรายได้ไปด้วย ใครที่ลังเลอยู่ว่าจะดูโชว์ดีมั้ย เราก็แอบเชียร์ให้ดูนะครับ อย่างน้อยก็จะได้รูปปังๆมาอวดเพื่อนแน่นอน Blue Moon Valley ไม่ไกลจากจุดขึ้นเคเบิ้ลคาร์ของภูเขามังกรหยกมาทางทิศตะวันออก ก็คือ “ไป๋ซุยเหอ” หรือ Blue Moon Valley ซึ่งเป็นอุทยานน้ำสีฟ้าที่สวยงามมาก จนมองลงมาจากที่สูงแล้วเห็นเหมือนมีพระจันทร์สีน้ำเงินฝังอยู่ในหุบเขา เนื่องจากบนเขาหิมะมังกรหยกนั้นมีแร่ธาตุ Copper Sulfate ค่อนข้างเข้มข้น เมื่อหิมะละลายไหลลงมาจึงพาเอาไอออนทองแดง (Copper Ion) มาอยู่ในน้ำด้วย ซึ่งน้ำสวยๆแบบนี้ไม่เหมาะกับการบริโภคนะครับ แต่จะมีความเชื่อให้ล้างมือ 3 ครั้งในน้ำเพื่อความโชคดี 3 เรื่อง โดยครั้งแรกจะหมายถึงอาชีพการงาน ครั้งที่สองหมายถึงทรัพย์สินเงินทอง และครั้งที่สามหมายถึงความรักที่มั่นคง แม้ชื่อจะแปลว่าหุบเขา แต่หุบเขา Blue Moon Valley นี้ก็ยังตั้งอยู่ที่ระดับความสูงกว่า 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ลำธารที่ไหลมาจะถูกแนวหินกั้นแบ่งเอาไว้กลายเป็นแอ่งน้ำคล้ายทะเลสาบย่อยๆถึง 5 แห่ง หลังจากซื้อตั๋วแล้วก็จะมีบริการรถ Buggy สีเขียววิ่งรับส่งระหว่าง 3 จุดสต็อปอยู่ตลอดเวลาและเราก็สามารถขึ้นลงได้ตามความสะดวก ตัวธรรมชาตินั้นมหัศจรรย์และสิ่งปลูกสร้างอำนวยความสะดวกก็ยอดเยี่ยมมาก แต่อาจจะต้องเล็งจังหวะในการถ่ายรูปดีๆ เพราะความสวยของหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินนี้ก็มีพลังดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากให้เดินทางมาชมด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคู่ว่าที่บ่าวสาวที่นิยมมาถ่ายรูป Pre-Wedding กันหลายคู่เลย Wenhai Yi Village ความเอ็กซ์คลูซีฟของ Aman ก็คือเราสามารถขอให้ไกด์จัดทริปพาออกนอกเส้นทางที่เป็นที่นิยมนักท่องเที่ยวทั่วไปเพื่อไปสัมผัสกับวิถีชีวิตแบบ Authentic ของผู้คนท้องถิ่นได้ด้วย อย่างที่เล่ามาตั้งแต่แรกว่า Naxi คือชนเผ่าหลักที่อาศัยอยู่ในลี่เจียง แต่ในความเป็นจริงแล้วยูนนานประกอบไปด้วยชนเผ่าต่างๆกว่า 25 เผ่า วันนี้ทาง Amandayan จึงพาเราไปเยี่ยมชมหมู่บ้านชาว Yi (ยี่) ที่อยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบเหวินไห่ และแวะชมธรรมชาติที่สวยงามระหว่างทางไปด้วย ทะเลสาบเหวินไห่เป็น Alpine Lake ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,100 เมตร และจะมีน้ำเป็นบางฤดูกาล ทำให้พื้นที่รอบๆนั้นเป็น Wet Land ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยหญ้าเขียวขจี และชาวบ้านจึงใช้เป็นสถานที่เลี้ยงม้าหลายสิบตัว จึงเกิดเป็นภาพที่สวยงามแปลกตา เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยว Unseen ของลี่เจียงครับ หลังจากแวะถ่ายรูปกับน้องม้าจนพอใจแล้ว ไกด์ (คุณโทมัส) ก็พาเราเดินทางขึ้นเขาต่อไปยังหมู่บ้านของชาว Yi แบบไม่ได้มีจุดหมายว่าจะไปบ้านไหนเป็นพิเศษ คุณโทมัสบอกว่าถ้าเจอใครอยู่บ้านก็จะไปเคาะประตูขอเข้าไปชมบ้านและพูดคุยแบบดิบๆเลยเพื่อความ Real และเราก็โชคดีครับ มีคุณตาคุณยายคู่หนึ่งอยู่ที่บ้านพอดี เราจึงได้เข้าไปเยี่ยมชมภายในบริเวณบ้านของพวกเขา และได้นั่งคุยโดยมีไกด์ช่วยแปลภาษาให้ด้วย เป็นประสบการณ์ที่พิเศษมากเลยครับ คุณโทมัสเล่าให้ฟังว่าชาวเผ่า Yi นั้นรักสนุก และใช้ชีวิตแบบมีความสุขวันต่อวัน โดยเฉพาะผู้ชายที่จะดื่มสุราหนักและมักจะมีชีวิตสั้นกว่าผู้หญิง ต่างจากชาว Naxi ที่ชอบคิดการณ์ไกลและวางแผนล่วงหน้าโดยคุณโทมัสเปรียบเทียบว่า ถ้ามีการฆ่าหมูมาทำอาหาร ชาว Yi ก็จะชวนคนมาสังสรรค์กันทั้งหมู่บ้านและกินหมูให้หมดภายในคราวเดียว ส่วนชาว Naxi จะมีการแบ่งและถนอมอาหารเก็บไว้กินในอนาคต Tiger Leaping Gorge ช่องเขาเสือกระโจนอันเลื่องชื่อนั้นอยู่ห่างจากลี่เจียงไปทางเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร ถ้าใครเดินทางไป Shangri-la ด้วยรถยนต์ก็แวะเที่ยวเป็นทางผ่านได้นะครับ ช่องเขาเสือกระโจนเป็นช่องแคบระหว่างภูเขาสูงเสียดฟ้า 2 ลูกเป็นระยะทาง 23 กิโลเมตรคือเขาหิมะมังกรหยก (สูง 5,596 เมตร) กับเขาหิมะฮาปา (สูง 5,390 เมตร) โดยเบื้องล่างมีแม่น้ำแยงซีตอนบน (Upper Yangtze) ไหลผ่าน แต่จุดที่เป็นที่มาชองชื่อช่องเขาเสือกระโจนจริงๆนั้นจะเป็นจุดที่แคบที่สุด (25 เมตร) โดยชื่อนี้ได้มาจากตำนานที่ว่าเคยมีเสือตัวหนึ่งกระโจนข้ามแม่น้ำณ จุดนี้เพื่อหลบหนีนายพราน และความแคบนี้ก็ยิ่งทำให้แม่น้ำเชี่ยวกรากดุดันสุดๆเช่นกัน สำหรับจุดที่ลึกที่สุดของช่องเขานี้โดยวัดจากยอดเขาลงไปที่แม่น้ำด้านล่างก็คือ 3,790 เมตร ซึ่งลึกกว่าแกรนด์แคนยอนเกือบ 2 เท่า สรุปง่ายๆว่าทั้งแคบมาก แรงมาก และลึกมากกกกกกก การเข้าชมช่องเขาเสือกระโจนนั้นต้องซื้อตั๋วคนละ 45 หยวน และถ้าไม่อยากออกแรงเดินลงและเดินกลับขึ้นมาด้วยตัวเองซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็สามารถจ่ายเพิ่มเพื่อใช้บันไดเลื่อนอีกคนละ 70 หยวนรวมสำหรับทั้งขาลงและขากลับขึ้นมา นอกจากจุดที่แคบที่สุดแล้ว ตลอดระยะทาง 23 กิโลเมตรของช่องเขาเสือกระโจนนี้เต็มไปด้วยวิวที่สวยอลังการตลอดเส้นทาง เราขับรถทะลุออกมาอีกฝั่งและแวะจิบกาแฟชมยอดเขาหิมะ Haba ที่สูงไล่เลี่ยกันกับเขามังกรหยกเลย ปล.ถ้ามีเวลา มีคนแนะนำให้ลองค้างคืนแบบ Glamping แถวๆจุดที่เราแวะจิบกาแฟนี้ จะเห็นดาวเต็มฟ้า และทางช้างเผือกได้ชัดๆเลยครับ Bai Shui Tai ไป๋สุยไถ หรือระเบียงธารน้ำขาว อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่อยู่ห่างจาก Shangri-la ประมาณ 106 กิโลเมตร ถ้าไม่ได้เดินทางด้วยรถยนต์จากลี่เจียงมา Shangri-la อาจจะต้องข้ามที่นี่ไป ว่ากันว่าไป๋สุ่ยไถนั้นเป็นจุดที่ผู้ก่อตั้งลัทธิ Dongba (ตงปา) ของชาว Naxi ที่นับถือธรรมชาติเป็นพระเจ้าใช้ประกาศคำสอนหลังเดินทางกลับมาจากทิเบต แอ่งน้ำทรงโค้งสีขาวที่เรียงตัวลดหลั่นกันเป็นขั้นบันไดลงมาตามไหล่เขาเกิดจากหินปูน (Calcium Carbonate) ในน้ำที่ค่อยๆก่อตัวผ่านกาลเวลาปีแล้วปีเล่าทำให้เกิดภาพที่มหัศจรรย์ไม่เหมือนใคร สีของน้ำเองก็มีหลายเฉดทั้งใส ฟ้า เขียว และเหลืองสวยงามมาก ขาขึ้นเราตัดสินใจเช่าม้าแคระขี่ขึ้นมา และค่อยๆเดินลงเองไปตามเส้นทางที่เดินค่อนข้างสะดวกสบายครับ Shangri-La แชงกรีล่า หรือ เซียงเกอหลีลา เป็นชื่อเมืองในเขตการปกครองตนเองของชนชาติทิเบตตี๋ชิ่งที่รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจเปลี่ยนจากชื่อเดิมคือจงเตี้ยน เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อเมืองลึกลับที่ถูกสมมติขึ้นมาในนิยายเรื่อง The Lost Horizon ที่เขียนโดย James Hilton ในปี 1933 หลังจากที่เขาได้เดินทางมายังเทือกเขาหิมาลัยไม่กี่ปีก่อนหน้านั้นโดยในนิยายเขาพรรณนาถึง Shangri-la ไว้ว่าเป็นเมืองอันใกล้โพ้นซึ่งงดงามดั่งสวรรค์ มีผู้คนที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและมีอายุยืนยาวนับร้อยปี แม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าบริเวณใดในเทือกเขาหิมาลัยที่ตรงกับคำบรรยายในนิยายที่สุด บ้างก็ว่าน่าจะเป็นที่ Hunza Valley ในปากีสถานมากกว่า แต่เมืองจงเตี้ยนนั้นเคลมไวก่อนใคร และได้ใช้ชื่อแชงกรีล่าอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี 2001 ที่นี่จึงกลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งเมื่อมาเที่ยวลี่เจียงเพราะสามารถนั่งรถไฟมาถึงได้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที อย่างไรก็ตาม แชงกรีล่าหรือเมืองจงเตี้ยนเดิมนั้นก็สวยงามและมีเอกลักษณ์ในแบบทิเบต ตัวเมืองเก่านั้นดูขลังและสงบ มีแลนด์มาร์คเป็นกงล้อธรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกสีทองอร่ามของวัดต้าฝอ (วัดพระใหญ่) ที่อายุเก่าแก่กว่า 1,600 ปีตั้งเด่นอยู่บนเนินเขาใจกลางเมือง กงล้อธรรมนั้นมีลักษณะเหมือนหอคอยสูง 23 เมตรที่สามารถหมุนได้เมื่อหลายๆคนช่วยกันผลัก ว่ากันว่าเมื่อสวดมนต์ขอพรขณะหมุนกงล้อก็จะทำให้บทสวดนั้นก้องกังวานไปถึงสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีอีกวัดที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันก็คือวัดซงจ้านหลิน (Songzanlin) ซึ่งอยู่ห่างออกจากเมืองเก่าไปประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นวัดทิเบตนิกายลามะหมวกเหลืองที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน และถอดแบบมาจากพระราชวังโปตาลาในกรุงลาซา จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น Little Potala Palace วัดซงจ้านหลินสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1679 โดยดาไลลามะองค์ที่ 5 ด้วยศิลปะทิเบตผสมจีนฮั่น ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดว่ากันว่ามีกุฏิในวัดที่สามารถรองรับพระสงฆ์ได้ถึง 2,000 รูป แต่ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน วัดก็ได้รับความเสียหายไปเยอะมากจึงต้องบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี 1983 ปัจจุบันแม้พระสงฆ์จะมีจำนวนน้อยลงกว่าในยุคก่อน แต่ภายในวัดนั้นก็ยังเต็มไปด้วยสมบัติเก่าและวัตถุมีค่าให้ไปศึกษามากมาย แต่หากมีเวลาน้อย(เหมือนเรา) แค่เดินชมบรรยากาศก็คุ้มค่ามากๆแล้วครับ ถ้าใครชอบแต่งชุดท้องถิ่นถ่ายรูป ก็สามารถจัดเต็มที่นี่ได้เช่นกันครับ Wrapping Up Our Stay การมาพักที่ Amandayan นั้นดูเหมือนจะสามารถต่อยอดเป็นทริปย่อยๆออกไปได้ไม่รู้จบ เวลาถูกถามว่าควรที่นี่พักกี่คืนดี เราจึงตอบได้ค่อนข้างยากเพราะขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนๆอยากจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง แต่หากเน้นเที่ยวเมืองเก่าลี่เจียงเป็นหลักและอาจจะออก Day Trip โดยรวบเที่ยวภูเขาหิมะมังกรหยก ดูโชว์ Lijiang Impression และ Blue Moon Valley ให้ครบทั้ง 3 ที่ภายในวันเดียวกันก็สามารถทำได้ เพราะทั้ง 3 จุดนั้นอยู่ใกล้กัน จากประสบการณ์เราคิดว่า 3-4 คืนน่าจะกำลังดีครับ แต่หากจะไปเที่ยวจุดอื่นๆที่ไกลออกไปด้วยก็ต้องเผื่อเวลาเพิ่ม หรือแทรกด้วยการไปนอนค้างที่เมืองอื่น อย่าลืมว่าตัว Amandayan เองก็เป็นจุดหมายปลายทางในตัวเองอยู่แล้วด้วยเช่นกัน ในเมื่อเพื่อนๆมีโอกาสได้มาพักที่นี่ทั้งที เราก็อยากให้เพื่อนๆได้มีเวลาดื่มด่ำประสบการณ์วิถี Aman ที่รีสอร์ทอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเร่งรีบ ธรรมชาติที่อลังการและความ Exotic ของลี่เจียงนี้อยู่ใกล้บ้านเรามากกว่าที่คิด ยังไงมาตามรอยกันนะครับ Amandayan รอให้คุณมาสัมผัสอยู่ครับ ข้อเสนอพิเศษ Lijiang Escape จาก Amandayan ร่วมกับ Hoparound.co เพียงแจ้งโค้ด Hop Around เมื่อจองตรงกับทางเราหรือรีสอร์ท จะได้สิทธิพิเศษดังนี้ 1. ห้องพักเรทพิเศษ เริ่มต้น 4,876 ++ หยวน (ลดลงจากเรทปกติของแต่ละ Room Type 20%) 2. อาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน 3. บริการรถรับหรือส่งจาก สนามบิน Lijiang Sanyi Airport หรือสถานีรถไฟ (เลือกได้ขาใดขาหนึ่ง) 4. บริการผลไม้สดประจำวัน และ Turn Down Amenities 5. กิจกรรมเชิงวัฒนธรรมประจำวัน 6. ซอฟท์ดริ้งค์ในมินิบาร์ ห้องพักเรทพิเศษ Courtyard Suite เริ่มต้น CNY 4,876++ Deluxe Suite เริ่มต้น CNY 5,336++ Amandayan Villa เริ่มต้น CNY 16,560++ เนื่องจากข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอพิเศษสำหรับคนไทย ตอนเช็คอินต้องยื่นพาสปอร์ตไทยด้วยนะครับ สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ เข้าพักได้ฟรี เด็กอายุระหว่าง 6-12 ขวบ มีค่าอาหารเช้า 150 หยวนเน็ต/คน/คืน และเด็กที่อายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไป มีค่าเตียงเสริมและอาหารเช้า 805 หยวนเน็ต/คน/คืน จองวันนี้เข้าพักได้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เลยนะครับ #LetsHoparound HOPAROUND.CO EXCLUSIVE DEALS
- AMANOI อมันนอย มุมลับแห่งเวียดนาม ณ มหาสมุทรสีครามกึ่งทะเลทราย
Vietnam Escape Exclusive Deal with AMANOI ดีลลับสุดพิเศษกับอมันนอย เวียดนาม จองและเข้าพักได้ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2568 เท่านั้น เป็นความพิเศษที่หาได้ยากมากนะครับ ที่จะมีรีสอร์ทหรูระดับ Ultra Luxury เปิดให้บริการอยู่ในอุทยานแห่งชาติไม่ว่าจะที่ประเทศไหนก็ตาม และยิ่งถ้าเป็นอุทยานแห่งชาตินุ้ยชั้วของเวียดนามที่ได้คุ้มครองจาก UNESCO ให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑล (Biosphere Reserve) เพราะมีธรรมชาติกึ่งทะเลทรายที่ไม่เหมือนใครด้วยแล้ว ก็น่าจะมีโอกาสเป็นไปได้ยากมากขึ้นไปอีก แต่ก็คงไม่มีทำเลใดที่ยากเกินไปสำหรับ Aman เพราะเป็นเวลานับ 10 ปีแล้วที่ Amanoi รีสอร์ทแสนสงบแห่งนี้ได้ยืนสง่าอย่างกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์ ที่น่าแปลกใจก็คือจนถึงวันนี้ที่นี่ก็ยังคงเป็นเหมือนมุมลับของเวียดนามที่ถูกทนุถนอมเอาไว้อย่างดีจนน้อยคนจะเคยได้มาสัมผัส — วันนี้นอกจากเราจะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับรีสอร์ทที่อยู่บนจุดสูงสุดของความลักชูรี่ในเวียดนามแห่งนี้แล้ว เรายังมี Exclusive Deal ที่ Amanoi ทำร่วมกับ hoparound.co โดยเฉพาะมานำเสนอให้เพื่อนๆได้ตามไปดื่มด่ำกับประสบการณ์ Vietnam Escape แบบเดียวกับเราด้วย เพียงแจ้งโค้ด Hop Around เมื่อจองตรงกับรีสอร์ทไม่ว่าจะทางอีเมลหรือโทรศัพท์ เพื่อนๆก็จะได้รับห้องพักเรทพิเศษและสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกเกือบ 10 รายการเลยครับ — ครั้งแรกกับห้องพักเรทพิเศษสำหรับคนไทยและ Expat ที่อาศัยในประเทศไทยเริ่มต้นคืนละ USD 1,168 Net และรับเครดิตต่อวันสูงสุดถึง USD 1,730 Net Amanoi Vietnam Escape เอ็กซ์คลูซีฟดีลเฉพาะ Hoparound.co เท่านั้น! Overview “ความสงบ” เป็นทั้งความหมายของคำและ DNA ของแบรนด์ Aman ส่วนคำว่า Noi ในภาษาเวียดนามนั้นแปลว่าสถานที่ เมื่อนำมารวมกัน Amanoi จึงหมายถึงสถานที่แห่งความสงบนั่นเอง เพียงแต่ความสงบของสถานที่แห่งนี้นั้นถูกโอบล้อมไปด้วยความงามดั่งรูปวาดของธรรมชาติและแซมด้วยสถาปัตยกรรมที่เผยเสน่ห์เวียดนามออกมาได้อย่างเปี่ยมรสนิยม ก่อนที่ห่อหุ้มทุกอย่างเอาไว้ด้วยความหรูหราทว่าเรียบง่าย แต่สิ่งที่ทำให้ Amanoi เป็นรีสอร์ทระดับ Ultra Exclusive ก็คือความใส่ใจในทุกๆรายละเอียดของพนักงานทุกตำแหน่งเกือบ 350 ชีวิตที่เฝ้าดูแลและให้ความเป็นส่วนตัวกับแขกในเรือนพักที่มีเพียงแค่ 44 ยูนิตเท่านั้น แม้พื้นที่บนเนินเขาริมทะเลของรีสอร์ทแห่งนี้จะกว้างใหญ่เกือบ 300 ไร่ และกำลังขยายออกไปอีก The Arrival เพียง 2 ชั่วโมงจากสนามบินดอนเมือง เครื่องบินก็ร่อนลงจอดที่ Cam Ranh Airport ซึ่งดูใหม่และทันสมัยกว่าที่คาดไว้ พอผ่านตม.ปุ๊บ พนักงานต้อนรับจาก Amanoi ก็ยืนรอพาเราไปที่สายพานกระเป๋าทันที จากนั้นก็จัดการนำสัมภาระทั้งหมดของเราขึ้นรถ Mercedez Benz ของรีสอร์ทที่จอดรออยู่ด้านนอกอาคาร คนขับจะพาเราเดินทางผ่านตัวเมือง Cam Ranh หมู่บ้านต่างๆ และธรรมชาติข้างทางที่สวยงามสู่อุทยานแห่งชาตินุ้ยชั้วที่ตั้งของรีสอร์ท โดยจะใช้เวลาประมาณ 70 นาที หากเพื่อนๆใช้สิทธิ์จองด้วยโค้ด “Hop Around” ก็จะได้รถรับส่งสนามบินแบบไพรเวทฟรีด้วยเช่นกันครับ เมื่อมาถึงรีสอร์ทเราก็พบว่ามีทีมงาน Amanoi (Aman มีศัพท์เฉพาะสำหรับเรียกพนักงานทุกคนว่า Amansanti) มายืนเรียงแถวต้อนรับเราอยู่ รวมถึงคุณจอย GM สาวไทยคนเก่งก็ให้เกียรติมาต้อนรับเราเช่นกัน เสียดายที่เราถ่ายรูปเอาไว้ไม่ทัน เพราะนี่คือโมเม้นต์ความประทับใจแรกที่เรามีต่อ Amanoi เลยล่ะครับ นอกจากการต้อนรับของ Amansanti แล้ว สิ่งที่ทำให้เราประทับใจมากๆก็คือความโอ่อ่าที่เรียบง่ายสไตล์เวียดนามของอาคาร Main Pavillion ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Lobby ห้องอาหารหลัก บาร์ และห้องสมุดของรีสอร์ท ขอปรบมือรัวๆให้กับคุณ Jean-Michel Gathy สถาปนิกระดับโลกผู้ดูแลงานออกแบบทั้งหมดของ Amanoi เพราะทุกอย่างนั้นดูสง่างาม ลงตัว และมีความ Iconic แบบไม่รู้สึกว่าต้องพยายามอะไรมากมายเลย Our Room & Our Butler อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่าที่นี่มีเรือนพักทั้งหมดเพียง 44 ยูนิตในพื้นที่หลายร้อยไร่ (และกำลังจะสร้างเพิ่มพร้อมขยายพื้นที่ไปอีก) จริงๆแล้วเราก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้คำอะไรในการเรียกห้องพักของ Amanoi เพราะคำว่า “ห้องพัก” นั้นดูเล็กจุ๋มจิ๋มไปถนัดตาเมื่อเทียบกับของจริงที่มาเป็นหลัง และบางยูนิตก็ประกอบไปด้วยเรือนพักหลายหลัง ก็เลยขอเรียกรวมๆว่าเป็น 1 ยูนิตก็แล้วกันนะครับ แต่ละยูนิตนั้นมีขนาดและการจัดวางที่แตกต่างกันไป สิ่งที่ต้องรู้ก็คือทาง Amanoi จะใช้คำว่า Bedroom เพื่อเรียก “เรือนนอน” 1 หลัง ไม่ใช่ “ห้องนอน“ แบบที่เราแปลตรงตัว ถ้ายูนิตไหนมี 3 Bedroom ก็แสดงว่ายูนิตนั้นก็ประกอบไปด้วย “เรือนนอน” ที่แยกกันออกไปถึง 3 อาคารย่อย ไม่ใช่อาคารเดียวแล้วมีห้องนอน 3 ห้องอย่างที่เราเคยเข้าใจผิดตอนที่ยังไม่ได้เห็นสถานที่จริง เอาเป็นว่าเรือนพักทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ โซนรีสอร์ท ประกอบไปด้วย Pavillion ที่ไม่มีสระว่ายน้ำ 9 หลัง และ Pool Villa 24 หลัง และโซนเรสซิเดนซ์ ทั้งหมด 11 หลัง มีขนาดตั้งแต่ 1 Bedroom ไปจนถึง 5 Bedroom ซึ่งรองรับผู้ใหญ่ได้สูงสุดถึง 15 คน Residence แต่ละหลังนั้นมีเจ้าของที่ถือกรรมสิทธิ์ขาด แต่เจ้าของให้ Amanoi ช่วยบริหารจัดการในการปล่อยเช่า เรือนพักในโซนนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าโซนรีสอร์ท มี Pantry และห้องรับประทานอาหารจริงจัง ที่สำคัญคือมีการบริการ Butler ประจำ Residence ของเรา ซึ่งเราสามารถส่ง Whatsapp ให้ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่อธิบายมาทั้งหมดก็เพื่อจะให้เพื่อนๆพอนึกภาพตามออกเมื่อเราพาไปชมเรือนพักของเรา ซึ่งก็คือ One-Bedroom Residence (หมายเลข R1) ขนาด 340 ตร.ม. เป็นเรือนพักในโซน Residence ขนาดเริ่มต้นที่ก็ใหญ่เกินพอสำหรับเรา 2 คนไปหลายขุม แม้ชื่อจะบอกว่ามี 1 ห้องนอน แต่จริงๆแล้วสามารถรองรับผู้ใหญ่ได้สูงสุดถึง 5 คน เพราะของจริงนั้นมี 2 ห้องนอนที่แยกกันอยู่คนละชั้น ห้องนอนหลักจะอยู่ชั้นบนมาพร้อมกับ Living Area สระ Infinity Pool และวิวพาโนราม่าที่สวยพิฆาตดั่งภาพวาด ส่วนห้องนอนชั้นล่าง ทาง Amanoi เรียกว่า Junior Room และไม่นำมานับเป็นห้องนอนที่ 2 ทั้งที่ภายในห้อง Junior Room ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันแทบไม่ต่างจากห้องนอนหลัก แม้กระทั่งอ่างอาบน้ำก็ยังเป็นไซส์เดียวกันกับห้องนอนชั้นบนด้วย นอกจากห้องนอน สระว่ายน้ำ และวิวสุดอลังการแล้ว ใน Residence ของเรายังมีห้อง Pantry ที่สามารถใช้ทำครัวได้จริงจัง แบบเอาไว้ถ่ายรายการทำอาหารดีๆได้เลย พร้อมกับมุมรับประทานอาหารชมวิวสบายๆ และมีโบนัสเป็นทางเดินเฉพาะของเราที่คดเคี้ยวไปตามไหล่เนินเขาเพื่อลงไปเดินเล่นที่ลานหินส่วนตัวใกล้ทะเลได้ด้วย แน่นอนว่าเรือนพัก R1 ของเรานั้นมาพร้อมกับ Butler ส่วนตัวด้วย เธอเป็นสาววัยกลางคนชาวเวียดนามนามว่า Le (เล๋) ที่คล่องแคล่ว ช่างสังเกต และรู้จังหวะในการเข้าหาเราอย่างมืออาชีพ ที่สำคัญคือจิตใจดีมากเลยครับ ตอนเราเช็คเอ้าท์เค้าแอบไปซื้อของในตลาดมาเป็นของฝากให้เราด้วย Other Villas and Residences เราบอกคุณเล๋ Butler ของเราว่า เราอยากจะเข้าไปเก็บภาพเรือนพักยูนิตอื่นๆมาฝากคนติดตามของเรา คุณเล๋ก็เช็คให้ทันทีว่าหลังไหนที่ไม่มีแขก และจะเข้าไปถ่ายเวลาไหนถึงจะได้แสงสวยๆในแต่ละหลัง เราได้เข้าไปชมทั้งหมด 4-5 ยูนิต โดยยูนิตที่ใหญ่ที่สุดนั้นสามารถรับรองผู้ใหญ่ได้ถึง 15 คนเลย เพราะมีเรือนนอนที่แยกกันไปถึง 5 หลัง และได้วิวอ่าวทั้งอ่าวเป็นของตัวเอง ถ้าเพื่อนๆถามเราว่าหลังไหนสวยที่สุด คำตอบแบบสัตย์จริงก็คือทุกหลังสวยและมีจุดเด่นที่ไม่แพ้กันเลยครับ อยากให้ดูที่งบประมาณและจำนวนคนที่จะเข้าพักด้วยกันจะดีกว่า แต่ถ้าจะมาพัก 2 คนและอยากได้มุมที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆต้องบอกว่า Villa หมายเลข V1 นั้นแสงทองตอนเช้านั้นอาบจิตชะโลมใจมากครับ แต่ต้องตื่นมาดูกันเช้าหน่อยนะครับ คุณเล๋แอบกระซิบเราว่าค่ำนี้มีแขกที่พักในอีกยูนิตหนึ่งรีเควสต์ให้จัด Private Dinner ที่ Residence หมายเลข R3 ซึ่งเป็นยูนิตที่วิวดีมากและว่างให้จัดงานได้พอดี ถ้าเราต้องการก็คุณเล๋ก็จะพาเข้าไปเก็บภาพก่อนระหว่างทีมงานจัดเตรียมสถานที่ได้ และนี่คือบรรยากาศดินเนอร์ที่ปังสุดๆ นี่คือเสน่ห์อีกอย่างของ Aman ครับ คือเค้าให้ความสำคัญกับแขกมากๆ ไม่ว่าแขกต้องการอะไร ถ้าจัดให้ได้ก็จะไม่ปฏิเสธครับ พักอยู่อีกห้อง แต่อยากมาจัด Private Dinner อีกห้อง ก็สามารถแจ้งได้เช่นกัน รูปนี้เป็นส่วนหนึ่งของยูนิตที่ใหญ่ที่สุดนะครับ เป็น 1 ในอาคาร 6 หลัง (เรือนนอน 5 + เรือนรับแขก 1) ที่ประกอบกันเป็นยูนิตเดียวของ Residence หมายเลข R18 ของจริงคือเหมือนได้รีสอร์ทเล็กๆในบ้านเราทั้งรีสอร์ทเป็นของตัวเองไปเลย คุณเล๋เล่าให้ฟังว่าแขกที่จองยูนิตนี้มักจะเข้าพักแค่ไม่กี่คน แต่ก็จะเหมาทั้งหมดเพื่อความเป็นส่วนตัวสุดๆ Main Restaurant (Breakfast, Lunch, Afternoon Tea, Dinner) ณ Main Pavillion ถ้าเราเดินขึ้นบันไดต่อเนื่องมาจาก Lobby เราก็จะพบกับ Main Restaurant ที่มีวิวสวยๆรอบด้านเลยโดยเฉพาะที่ระเบียง และไม่ว่าจะมื้อไหนที่ Main Restaurant ของ Amanoi ก็เปิดต้อนรับเราเสมอครับ ถือเป็นจุด All-Day Dining ของรีสอร์ท ในแต่ละมื้อเมนูที่นี่ก็มีให้เลือกหลากหลายและยังมีการสลับสับเปลี่ยนเพื่อความแปลกใหม่ไม่จำเจกันอยู่เรื่อยๆ ตลอด 3 คืน 4 วันที่เราเข้าพัก เราก็แวะมาที่นี่บ่อยจนเหมือนเป็นครัวที่บ้านเราเองเลย พอนึกได้ว่าเรากำลังอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติที่ไกลจากความเจริญอื่นๆพอสมควร เราก็ยิ่งรู้สึกประทับใจกับคุณภาพของอาหารของ Amanoi มากขึ้นไปอีก อยากจะแนะนำให้เพื่อนๆสั่งเมนูอาหารเวียดนามมาลองกินกันดูครับ อร่อยได้ทุกมื้อจริงๆ มีทั้งเมนูเวียดนามที่เราพอจะคุ้นเคยกันอยู่บ้าง และเมนู Local ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน อย่างน้อยถ้าเป็นมื้อเช้าที่รวมอยู่ใน Exclusive Deal ของเราอยู่แล้ว ก็อย่าลืมสั่งเนื้อตุ๋นและเฝอปลามาลองกันดูนะ ส่วนตัวแล้วเราชอบกันมากเลยล่ะ และหากใครคิดถึงรสชาติจัดจ้านของอาหารไทยก็สามารถรีเควสต์กันได้ครับ อย่าลืมว่า GM ที่นี่เป็นคนไทยนะครับ สบายใจไปอีกหนึ่งเรื่อง :-) อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพูดถึงก็คือ Afternoon Tea ที่รวมมาอยู่ใน Exclusive Deal ของเราเช่นกัน ทุกๆบ่ายทาง Amanoi ก็จะจัดของว่างสไตล์เวียดนามและผลไม้สดมาให้เราเลือกรับประทานได้ตามชอบ แต่ดาวเด่นก็คือขนมครกเวียดนาม (Bánh Căn) ที่มีพนักงานมาทำสดๆให้ หรือถ้าเราอยากจะลองทำดูเองก็ได้เช่นกัน แต่บอกเลยว่าทำไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะเราลองมาแล้วครับ ฮ่าๆๆๆ อีกสิ่งที่เราเอ็นจอยเป็นพิเศษคือชาสมุนไพรเย็นๆชื่นใจและกาแฟเวียดนามที่เข้มข้นมากๆทั้งแบบกาแฟดำและแบบใส่นม The Bar ยามค่ำคืนที่ Amanoi ไม่ได้เงียบเหงา แม้จะอยู่ท่ามกลางความสงัดของธรรมชาติ ที่บาร์ของโรงแรมนั้นมีเครื่องดื่มอร่อยๆให้นั่งจิบชิลล์ๆ ยิ่งช่วงสุดสัปดาห์ที่นี่ก็จะคึกครื้นไปด้วยดนตรีสดอันไพเราะ ตอนที่เราเข้าพักนั้นมีคู่หูนักร้อง-นักเปียโนมาประจำอยู่ที่รีสอร์ทในช่วงนี้พอดี ก็เลยได้ฟังเพลงเพราะๆเคล้าค็อกเทล เพลินมากครับ The Boutique อยู่ในอุทยานแห่งชาติก็ช้อปได้นะครับ นอกจากงานฝีมือท้องถิ่นที่ทีม Amanoi ไปคัดสรรและจัดหามาให้แขกเลือกซื้อแล้ว ใครเป็นสาย Quiet Luxury หรือเบื่อแบรนด์ดังในห้างหรูแล้วน่าจะถูกใจกับสินค้าไฮเอ็นด์เฉพาะกลุ่มในแบรนด์ Aman ที่มีวางขายแค่เฉพาะในรีสอร์ท Aman เท่านั้น ถ้าซื้อไปใส่ก็คงจะต้องเป็น Aman Junkie ด้วยกันเท่านั้นถึงจะรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า Accessories ต่างๆ ไปจนถึงเครื่องหอมและเครื่องประทินผิว The Beach Club อีกจุด Hang Out ที่ป๊อปปูล่าร์สำหรับแขกของ Amanoi ก็คือ The Beach Club เพราะตั้งอยู่บนหาดส่วนตัวที่น้ำใสทรายขาว และยังมีธรรมชาติที่สมบูรณ์มากสมกับที่เป็นอุทยานแห่งชาติ พนักงานเล่าให้ฟังว่าเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนยังมีเต่ามาวางไข่อยู่เลย ถ้าเพื่อนๆ อยากเปลี่ยนบรรยากาศการกินอาหารจากที่ Main Restaurant ก็สามารถย้ายมาลองมื้อกลางวันกันที่ Beach Club ได้ เมนูที่นี่จะออกแนว Casual อินเตอร์ที่แตกต่างไปเล็กน้อย เมนูเวียดนามก็ยังมีครับ แต่จะพรีเซ้นต์ให้ดูทันสมัยเข้าถึงง่ายมากขึ้น และเราก็ยังยืนยันอยากให้สั่งเมนูเวียดนาม มากกว่าเมนูอินเตอร์นะครับ สำหรับเพื่อนๆที่จองด้วยโค้ด “Hop Around” ก็จะได้แถม Resort Credit มากน้อยไปตาม Type ห้องที่เลือกจอง ตัวเครดิตก็สามารถนำมาจ่ายค่าอาหารต่างๆแทนเงินสดได้นะครับ หรือจะเก็บเอาไว้ใช้กับกิจกรรมอื่นๆ หรือสปาก็ได้เช่นกัน ที่นี่มีกิจกรรมให้เลือกทำได้หลายอย่าง ไม่มีเบื่อเลย หรือจะออกไปเที่ยวไปหาของกินในเมืองชาวประมงใกล้ๆก็ได้เช่นกันครับ นอกจากอาหารละเครื่องดื่มแล้ว ที่ Beach Club ยังมีสระว่ายน้ำ และเตียงให้นอนแอบแดดหลายมุมเลย สำหรับสายกิจกรรม The Beach Club นี้ เพื่อนๆที่จองด้วยโค้ด Hop Around สามารถยืมอุปกรณ์กิจกรรมทางน้ำต่างๆได้ฟรีเลยครับ หรือหากมาพร้อมกับเด็กๆทางรีสอร์ทก็มีการจัดกิจกรรมสำหรับเด็กๆที่ใช้บริการได้ฟรีเช่นกัน อุปกรณ์ทางน้ำที่เราไม่เคยเห็นที่รีสอร์ทไหนมาก่อนก็คือเรือใบ Hobie Cat ที่ทีมของ Amanoi จะพาเราลงเรือโต้ลมชมทะเลในอ่าวเหวนเฮจนจุใจ อีกกิจกรรมในบริเวณ Beach Club นี้ที่เราก็ไม่เคยเห็นรีสอร์ทอื่นใดมีให้บริการก็คือ Archery หรือยิงธนูครับ เราก็เลยถือโอกาสนี้ลองดูซักครั้ง เบสิคไม่มีไม่เป็นไร เพราะมีพนักงานคอยประกบอยู่ตลอด ที่สำคัญคือพี่เค้ารู้มุมถ่ายรูปและวิดิโอสวยๆให้ด้วยแหละ ในช่วงดินเนอร์ของวันหยุดสุดสัปดาห์ ตรงหาดหน้า The Beach Club ก็จะมี BBQ On The Beach ให้แขกเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งทานอาหารทะเลปิ้งย่างกันตรงนี้ได้ด้วยนะครับ บอกเลยว่าซุปหอยตลับอร่อยมาก อารมณ์คล้ายๆกินโป๊ะแตกบ้านเราเลย Rock Studio ในอาณาบริเวณที่ไพศาลของ Amanoi มีมุมเล็กๆอยู่มุมหนึ่งที่เราตกหลุมรัก และขอยกให้เป็นมุมโปรดท็อปๆในใจของเราเลยครับ ที่นี่คือ Rock Studio สถานที่จัด Private Event ขนาดย่อมที่มาพร้อมกับวิวมหึมาของโขดหินธรรมชาติสีครีมแกมเหลืองมัสตาร์ดซึ่งตัดกับท้องทะเลสีครามที่อยู่ไกลออกไปได้สวยแปลกตาพอดีราวกับมีคนตั้งใจมาจัดวางเอาไว้ ต้องบอกว่ามุมนี้เหมาะกับการจัดงานเลี้ยงส่วนตัวมากๆครับ ไม่ว่าจะเป็นงานวันเกิดแบบปังๆ ดินเนอร์ส่วนตัวสุดโรแมนติก ไปจนถึง Cooking Class สนุกๆระหว่างเพื่อนๆหรือสมาชิกครอบครัวน่าจะก็สร้างความประทับใจให้ทุกคนได้ไม่ยากเลย Cliff Pool ที่อยู่ไม่ไกลจาก Rock Studio ก็คือสระว่ายน้ำ Cliff Pool ที่ดูเผินๆแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันกับทะเลเบื้องล่างเลยครับ นับเป็นอีกมุมซิกเนเจอร์ของ Amanoi ที่ไม่ว่าจะถ่ายรูปยังไงก็สวย โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ฟ้าเปิด สีฟ้าครามทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างต่างก็มาบรรจบเป็นเนื้อเดียวกัน Spa รีสอร์ทของ Aman นั้นมีชื่อเสียงเรื่องสุขภาพและความงามมากมาแต่ไหนแต่ไร สปาของ Amanoi นั้นก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มีเมนูที่เน้นทั้งการ Grounding, Purifying และ Nourishing เราแยกกันทดลอง Signature Vietnamese Massage ที่มีการครอบแก้วตามแนวเส้น Meridian ร่วมด้วยแต่ไม่ทำให้เกิดรอยเป็นจ้ำๆเหมือนการครอบแก้วแบบจีนทั่วไป และ Signature Amanoi Massage ซึ่งเป็นการรวมเอาเทคนิคนวด Swedish, กดจุดสะท้อน และ Energy Work ไว้ด้วยกัน สารภาพตามตรงว่าเราจำอะไรมากไม่ได้ เพราะพี่ๆเธราปิสเริ่มนวดไปแค่แป๊บเดียว เราก็ผล็อยหลับไปแล้วครับ Fitness เราชอบฟิตเนสของที่นี่มากเลยครับ เพราะเงียบสงบ อุปกรณ์ครบและคุณภาพดี๊ดี และตกแต่งสวยงามจนอยากออกกำลังกายนานๆ ถ้าเพื่อนๆมีโอกาสได้มาพักที่นี่ ยังไงก็อย่าลืมแวะมาใช้บริการกันนะครับเพราะถ้าจองด้วยโค้ด Hop Around ก็ได้รับสิทธิ์มาใช้บริการฟิตเนสฟรี รวมถึงคอร์ทเทนนิสของรีสอร์ทด้วย Morning Workout Classes กิจกรรมนี้ก็ฟรีสำหรับเพื่อนๆที่ใช้โค้ดของเราในการจองเช่นกันครับ ทุกๆเช้าทางศูนย์สุขภาพของรีสอร์ทจะมีโปรแกรมการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆสลับกันไปเพื่อให้แขกของรีสอร์ทสามารถเลือกเข้าร่วมได้ วันนี้เป็น Session การยืดกล้ามเนื้อ มีเทรนเนอร์หนุ่มหล่อเข้มจากแอฟริกาใต้นามว่าคุณ Brahim มานำคลาสยืดกล้ามเนื้อที่ได้รับแรงบันดาลใจจากท่าโยคะ บรรยากาศการออกกำลังก็จะชิลๆ เงียบๆ เป็นส่วนตัวมาก และก็ตัวเราก็ตึงมากเช่นกัน ฮ่าๆๆ Sacred Cham Dinner ย้อนกลับไปเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว บริเวณที่ Amanoi ตั้งอยู่นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจามปาที่รุ่งเรืองมานับพันปี ปัจจุบันชาวจามที่สืบเชื้อสายและวัฒนธรรมมาแต่โบราณก็ยังคงเป็นหนึ่งใน 54 กลุ่มชาติพันธุ์ของเวียดนามที่มีวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ Amanoi จึงมีโปรแกรมให้แขกได้เลือกลองสัมผัสประสบการณ์วัฒนธรรมจามทั้งผ่านอาหาร พิธีกรรม และการออกทัศนศึกษา อาหารค่ำมื้อนี้ทาง Amanoi ได้จัดเป็น Private Dinner ให้เราได้ลิ้มลองอาหารจามกันที่ Rock Studio โดยให้เชฟมาปรุงอาหารกันสดๆตรงหน้าเลย โดยเชฟมีการประยุกต์เมนู เลือกใช้วัตถุดิบและเทคนิคการทำอาหารสมัยใหม่ในการปรุงทำให้รสชาติของอาหารจามมื้อนี้อร่อยถูกปากแขกได้ง่าย ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่เราดีใจที่ได้มาสัมผัส เราคิดว่าบรรยากาศดินเนอร์มื้อนี้นั้นโรแมนติกและเหมาะมากๆสำหรับคู่รักที่ต้องการให้ทางรีสอร์ทจัดมื้อพิเศษให้ โดยแขกสามารถรีเควสต์ประเภทอาหารที่ชอบได้หมดเลยครับ Cham Blessing Ritual อีกหนึ่งประสบการณ์วิถีจามที่เราได้มีโอกาสเข้าร่วมก็คือพิธีเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาให้พรและเสริมสิริมงคลให้กับเรา ถ้าเปรียบเทียบกับของบ้านเราก็อาจจะคล้ายๆการทำบายศรีสู่ขวัญ ปกติพิธีนี้จะจัดที่ใต้ต้นไม้ แต่เนื่องจากวันนี้ยังมีฝนตกปรอยๆอยู่ ทางรีสอร์ทจึงย้ายมาจัดที่ศาลากลางน้ำบริเวณสปาให้แทน เรารู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้รับพลังดีๆ นับเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับเรามากครับ Goga Peak ในปี 2014 เมื่อ Amanoi เพิ่งเปิดให้บริการได้ยังไม่ครบปี เนื่องจากพื้นที่ของรีสอร์ทกว้างขวางมากจึงมีอีกหลายบริเวณที่ยังไม่ได้ถูกสำรวจ แขกผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่ง (เราได้ข่าวมาว่าเป็นนางแบบด้วย) ได้อาสาไปกับทีมสำรวจเพื่อขึ้นไปยังยอดของหนึ่งในเนินเขาที่สูงที่สุดในละแวกนี้ เธอมีนามสกุลว่า Goga ทางทีม Amanoi จึงตั้งชื่อยอดของเนินเขาลูกนี้ว่า Goga Peak เพื่อเป็นเกียรติแก่เธอ และทุกวันนี้ Goga Peak ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยที่สุดของ Amanoi ที่แขกทุกคนไม่ควรพลาด โดยเฉพาะตอนพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าตรู่ วันนี้เราก็เลยไม่ยอมพลาด จะพาเพื่อนๆไปชมตะวันลอยขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าที่ Goga Peak กันครับ เราได้คุณ Brahim เทรนเนอร์คนเก่งอาสาพาเราเดินขึ้นไปชมวิวกันด้วย ใช้เวลาเดินไม่น่าจะเกิน 20 นาทีก็ถึงยอด และทางก็ไม่ได้วิบากอะไรมากมายครับ แค่ต้องกะเวลาเริ่มเดินก่อนพระอาทิตย์ขึ้นให้ดีเท่านั้นเอง The Secret Beach เราไม่รู้หรอกครับว่าหาดนี้มีชื่อจริงๆว่าอะไร แต่เราเห็นความขาวโพลนของหาดและโขดหินงามๆได้จากระเบียงห้องของเรา เลยขอคุณเล๋ให้ช่วยพามาที และพอมาถึงก็รู้สึกว่าคิดถูกที่ได้มา แม้สีขาวที่เห็นจะไม่ใช่หาดทรายเนื้อละเอียด แต่เป็นเปลือกหอยและปะการังที่หักอยู่เกลื่อนกลาด ซึ่งยิ่งทำให้ดูแปลกตา มีความ Dreamy อย่าน่าประหลาด ถ้าเพื่อนๆมีโอกาสได้มาที่ Amanoi แล้วไม่รู้จะมาที่หาดนี้ยังไงก็ลองโชว์รูปของเราให้พนักงานดูนะครับ The Library อีกมุมโปรดในทุกๆ Aman ของเราก็คือห้องสมุดครับ สำหรับเราแล้วห้องสมุดของ Amanoi นั้นเป็นมุมที่ดูอบอุ่นน่านั่งที่สุด แถมยังดูดีมีรสนิยมมากทีเดียว พอได้เข้ามาใช้บริการแล้วรู้สึกว่าเหมือนได้อยู่ในห้องทำงานในฝัน เราอยากมีห้องทำงานแบบนี้ที่บ้านบ้างจัง Wrapping Up Our Stay สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยบอกใครก็คือ เราเคยเห็นคลิปวิดิโอของ Amanoi ตั้งแต่เราเริ่มทำเวป hoparound.co ใหม่ๆ และรู้สึกตกหลุมรักกับสถานที่แห่งนี้มากจนตั้งใจไว้ว่าสักวันเราจะต้องมาพักที่นี่ให้ได้ แทบไม่น่าเชื่อว่าวันนั้นได้มาถึงแล้ว และ Amanoi ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับ ความตระการตาของทั้งธรรมชาติและงานออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างมีรสนิยมนั้นดูกลมกลืนกันราวกับภาพฝัน แต่สิ่งที่ทำให้ประทับใจที่สุดก็ยังคงเป็นความใส่ใจในทุกๆรายละเอียด ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นแขกคนสำคัญและได้รับการต้อนรับเอาใจใส่อย่างดีที่สุด หากเพื่อนๆอยากลองสัมผัสมุมลับของเวียดนามที่ดีงามในทุกมิติ Amanoi น่าจะเป็นตัวเลือกที่จะไม่ทำให้ผิดหวังครับ และอย่าลืมใช้โค้ด Hop Around ของเราในการจองด้วยนะครับ Amanoi Vietnam Escape เอ็กซ์คลูซีฟดีลเฉพาะ Hoparound.co เท่านั้น! ห้องพักราคาเริ่มต้นคืนละ USD 1,168 Net และรับเครดิตเพื่อใช้ในรีสอร์ทต่อคืนมูลค่าสูงสุดถึง USD 1,730 Net — ข้อเสนอสุดพิเศษนี้สำหรับคนไทย ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และ Expat เท่านั้น เพียงแจ้งโค้ด "𝗛𝗼𝗽 𝗔𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱" เมื่อจองตรงกับทางรีสอร์ททางอีเมล amanoi.res@aman.com , info.hoparound@gmail.com หรือ โทรศัพท์ +𝟴𝟰 𝟮𝟱𝟵 𝟯𝟯𝟳𝟬 𝟳𝟳𝟳 จำนวน 2 คืนขึ้นไป ก็จะได้รับห้องพักเรทพิเศษเริ่มต้นที่ USD 1,168 Net และรีสอร์ทเครดิต (Experience Velue) สูงสุดถึง USD 1,730 Net รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกมากมายตามรายละเอียดด้านล่างนี้ครับ — 𝟭. อาหารเช้าทุกวัน 𝟮. บริการรถรับส่งสนามบินญาจางไป-กลับแบบส่วนตัว 𝟯. รับเค𝘀ดิตมูลค่าตั้งแต่ USD 250 Net จนถึง USD 1,730 Net ต่อคืน ขึ้นอยู่กับประเภทห้องพักที่ทำการจอง (สามารถใช้ได้กับ อาหารและเครื่องดื่ม สปาทรีตเมนต์ เดินป่า กีฬาทางน้ำ และรถเช่า) 𝟰. ชุดน้ำชาและของว่างยามบ่ายทุกวัน 𝟱. เข้าคลาสเช้าเพื่อสุขภาพทุกวัน เช่น โยคะ พิลาทิส ฟิตเนส 𝟲. บริการอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมทางน้ำ (𝗦𝗻𝗼𝗿𝗸𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴, 𝗛𝗼𝗯𝗶𝗲 𝗖𝗮𝘁, 𝗦𝗨𝗣, 𝗪𝗶𝗻𝗱𝘀𝘂𝗿𝗳𝗶𝗻𝗴, 𝗞𝗮𝘆𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴) 𝟳. กิจกรรมสำหรับเด็กฟรี 𝟴. ใช้บริการห้องออกกำลังกายและสนามเทนนิสฟรี 𝟵. การเช็คอินก่อนเวลาและการเช็คเอาท์ล่วงเวลา (ขึ้นอยู่กับความพร้อมของห้อง ณ เวลาเช็คอิน) — #Amanoi #PlaceofPeace #ExclusiveDeal #LetsHoparound #HopStay #AmanResort #Vietnam #Resort #LuxuryResort #BestPlacetoStay #AmanFoodie #AmanJunkies #TheSpiritofAman #NúiChúaNationalPark #UNESCO #BiosphereReserve #VinhHyBay #อมันนอย #เวียดนาม #รีสอร์ท #รีสอร์ทในเวียดนาม #รีสอร์ทน่าพักในเวียดนาม #ญาจาง HOPAROUND.CO EXCLUSIVE DEALS
- The Sukhothai Bangkok เดอะสุโขทัยกรุงเทพฯ สุขละเมียดดุจเวลาอรุณรุ่ง
แฟชั่นกูรูชาวฝรั่งเศสท่านหนึ่งเคยบอกกับเราว่าความหรูหราที่แท้จริงนั้นไม่ควรทำให้เรารู้สึกว่าต้องพยายามใดๆ "True luxury should be effortless" เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็คือความสุนทรีย์ในคุณภาพชีวิตที่ลงตัว จู่ๆคำกล่าวนี้ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของเราเมื่อตอนที่ได้ไปพักผ่อนที่ The Sukhothai Bangkok เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน และตลอด 30 ปีที่ผ่านมา โรงแรมหรูไพรเวทแบรนด์แห่งนี้ก็ได้ส่งมอบความลักชัวรี่ที่รุ่มรวยสวยสง่าอย่างไทยและสร้างความประทับใจให้กับแขกเหรื่อระดับโลกมาแล้วนับไม่ถ้วน เราเข้าพักในช่วงที่ Main Wing ของโรมแรมซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์กลางน้ำ 5 องค์ Icon สำคัญของ The Sukhothai กำลังปิดปรับปรุงพอดี แต่ความโชคดีก็คือเราได้ห้องพัก Club Suite ที่ทั้งสวยทั้งใหม่และใหญ่มากๆ (ขนาด 93 ตร.ม.) ในตึก Club Wing ที่เพิ่ง Renovated เสร็จไปเมื่อปลายปี 2018 ก่อนสถานการณ์โควิดพอดี ที่สำคัญและพิเศษที่สุดก็คือการตกแต่งใหม่ทั้งหมดของอาคาร Club Wing นี้เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่ได้ฝากโลกเอาไว้ของ Ed Tuttle สถาปนิกชาว Seattle ระดับตำนาน ผู้อยู่ในลิสต์ท็อป 1 ใน 100 ของโลกที่จัดโดย Architectural Digest ก่อนที่เขาจะจากไปด้วยโรคเนื้องอกในสมองเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมาอย่างน่าเสียดาย เขาได้ฝากผลงานโรงแรม Ultra Luxury อื่นๆไว้มากมายทั่วโลก โดยเฉพาะรีสอร์ทในเครือ Aman และโรงแรม Park Hyatt ดีลห้องพักราคาพิเศษคลิ๊กจองที่นี่ The Arrival จากถนนสาทรที่คราคร่ำไปด้วยการจราจรอันวุ่นวาย เราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่บรรยากาศเงียบสงบร่มรื่นของโรงแรม อาคารทรงไทยประยุกต์หลังเตี้ยๆทยอยปรากฏกายให้เห็น ตัดกันกับตึกสูงระฟ้าย่านสาทรที่ห้อมล้อมอยู่รอบนอกโรงแรม เราเทียบรถที่หน้าอาคาร Club Wing ให้ Porter ช่วยลำเลียงสัมภาระลง ก่อนเจ้าหน้าที่จะเสนอตัวนำรถไปจอดให้ เมื่อก้าวเท้าเข้าด้านในก็พบกับ Conceirge ที่รอให้การต้อนรับเราด้วยแววตาที่ยิ้มละมุน (เราได้เห็นแค่แววตาเพราะเราต่างก็ใส่แมสก์ปิดปากกันอยู่) พี่ตุ้ม Conceirge รุ่นซุปเปอร์ซีเนียร์ของโรงแรมผู้ทำงานที่นี่มาตั้งแต่ลงเสาเข็มก็ได้เข้ามาทักทายดูแล และพาเราไปเช็คอินที่ Lobby บนชั้น 6 ชั้นเดียวกับที่ตั้ง Club Lounge สุด Exclusive ของ The Sukhothai เลยครับ คุณอีฟ Receptionist คนเก่งรับช่วงต่อจากพี่ตุ้มทำการเช็คอินให้เราด้วยความราบรื่นและรวดเร็ว จากนั้นคุณเมี้ยว ไดเร็คเตอร์ฝ่ายมาร์เก็ตติ้งก็ให้เกียรติมาต้อนรับเราด้วยตัวเองเลย ต้องขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ ประทับใจมากเลยครับ เสน่ห์ของการเป็นโรงแรม Private Brand ที่ไม่ใช่แฟรนไชส์เหมือนโรงแรมส่วนใหญ่ ก็คือการดูแลแขกด้วย Personal Touch ที่ใกล้ชิดเป็นกันเอง ไมตรีระหว่างมนุษย์นั้นช่วยลดความเหินห่างที่มักจะมาพร้อมกับความหรูหราได้ดีจริงๆครับ หลังจากนั้นคุณอีฟก็นำทางพาเราขึ้นลิฟท์ไปยังห้องพักบนชั้น 7 เพื่อแนะนำส่วนต่างๆของห้อง เราจะได้ใช้สอยพื้นที่ห้องพักได้อย่างทั่วถึงและคุ้มค่าที่สุด Our Room : The Club Suite ทันทีที่เปิดประตูห้องพักหมายเลข 796 เข้าไป กลิ่นอายงานออกแบบของคุณ Ed Tuttle ก็ฟุ้งกระจายอยู่ในทุกอณูของความหรูหรา (ทว่าผ่อนคลาย) การผสมผสานวัสดุไม้เขตร้อน กระจก หินและโลหะนั้นถือเป็น Signature ของเขา แต่ความพิเศษของ The Sukhothai นั้นคืองานดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะยุคสุโขทัยอันรุ่งโรจน์สง่างามเน้นความสมมาตร เราสังเกตเห็นขาโต๊ะและเชิงโคมไฟที่ถูกดีไซน์ให้มีลักษณะเป็น Pattern เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆคล้ายกับการย่อมุมของเจดีย์ ความอบอุ่นของไม้สักและผนังบุวอลล์เปเปอร์ไหมของ Jim Thompson นั้นให้ความรู้สึกถึงความเป็นอยู่ที่ละเมียดละไมเสียเหลือเกิน ทั้งหมดนี้สอดประสานอย่างลงตัวกับเทคโนโลยีล้ำยุคที่ถูกจัดสรรให้เอาไว้เพื่อความสะดวกสบายภายในห้อง รวมไปถึงงานออกแบบงานหินในห้อง Shower จาก Versace และ Amenities จาก Bottega Venetta ซึ่งเดี๋ยวเราจะค่อยๆพาไปชมนะครับ ภายใน Club Suite ซึ่งมีพื้นที่กว่า 93 ตร.ม.นั้น อาจแบ่งได้เป็น 5 โซนใหญ่ๆที่ไหลต่อเนื่องกัน เริ่มต้นจาก Dining Area พร้อมมินิบาร์ อุปกรณ์ชงชากาแฟ แถมผลไม้และช็อคโกแลตของไทยที่ได้รางวัลการันตีซะด้วย โซนนี้เราสามารถใช้ได้ทั้งรับประทานอาหาร และต้อนรับแขกเพราะมีห้องน้ำแยกต่างหากให้อีก 1 ห้องเลย โซนต่อมาก็คือ Living Area ที่มีแผง Partition ฝัง TV ขนาด 55" กั้นแบ่งเอาไว้ แผงนี้หมุนได้เกือบรอบตัว ซึ่งมีประโยชน์มาก เราสามารถหมุนไปมาเพื่อดู TV ได้ทั้งจากโซน Dining และ Living แน่นอนว่าในโซน Living ต้องมีโซฟา และชุดรับแขกที่นี่ก็ใหญ่บึ้มสะใจมากๆ เรานั่งๆนอนๆอยู่ได้ทั้งวันเลยล่ะ (บางช่วงเกือบผล็อยหลับไปก็มี) แถมยังมีมุมนั่งทำงานให้ด้วย เบื่อๆก็สามารถเดินไปชมวิวที่ Exclusive มากๆของกรุงเทพฯผ่านบานกระจกสูงจากพื้นจรดเพดาน เพราะนอกจากจะมองเห็นสระว่ายน้ำสีเขียวลึกลับที่เป็นอีกหนึ่ง Icon ของโรงแรมแล้ว เรายังจะได้เห็นต้นไม้เขียวขจีสลับกับหลังคาบ้านท่านทูตจากประเทศต่างๆเป็น Foreground ให้กับบรรดาตึกสูงเสียดฟ้าที่อยู่ไกลออกไป กรุงเทพฯของเรานี่มีหลายเลเยอร์เหมือนกันเนอะ แมสก์กับสเปรย์แอลกอฮอลล์สกรีนโลโก้ The Sukhothai ก็มีเตรียมไว้ในห้องให้เราหยิบไปใช้ได้ด้วยนะครับ ห้องนอน โซนที่ 3 ก็คือห้องนอนสุดหรูพร้อมเตียง King Size และเครื่องนอนผ้าคอตต้อน 300 เส้นที่นุ่มเนียนไม่มีสะดุด ตรงหัวเตียงนั้นมีจอ Touch Screen สุดทันสมัยสำหรับควบคุมระบบไฟและเครื่องปรับอากาศในห้องได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ยังมี Armchair และ Bedroom Bench เอาไว้ให้เราเอนกายพักผ่อนโดยไม่ต้องขึ้นเตียงด้วย เกือบลืมบอกไปว่าในโซนนี้ก็มี TV จอใหญ่ให้อีกเครื่องด้วยนะ แต่เราไม่ใช่สาย TV ก็เลยไม่ได้เปิดใช้งานเลย ห้องแต่งตัว ถัดมาคือโซน Dressing Area ที่มีลักษณะเป็น Walk-In Closet ที่เราชอบมากๆ โดยเฉพาะลิ้นชักเก็บรองเท้า ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่มักปรากฏอยู่ในงานของ Ed Tuttle (เราจำฟังก์ชั่นนี้ได้จากตอนไปพักที่ AMANPURI) นอกจากราวแขวนเสื้อผ้า และที่วางกระเป๋าเดินทางแล้ว ในโซนนี้ยังมีตู้นิรภัย ถุง Laundry กระเป๋า Tote Bag สำหรับใส่ของระหว่างออกไปใช้บริการในโซนต่างๆของในโรงแรม รวมไปถึงรองเท้าแตะสำหรับทั้งภายในและภายนอกห้อง อ้อ! เราขอชื่นชมความหนานุ่มเป็นพิเศษของเสื้อคลุมอาบน้ำจาก La Bottega ที่ทางโรงแรมแขวนเตรียมไว้ให้ด้วยครับ นุ่มสบายผิวมากเลยครับ ห้องน้ำ โซนสุดท้ายที่ดูเหมือนจะเป็นไฮไลท์ของห้องก็คือห้องน้ำ เพราะสวยหมดจดจริงๆ โดดเด่นด้วยงานหิน งานไม้ และที่สำคัญคืองานกระจกที่ช่วยสร้างภาพสะท้อน จนเกิด Visual Effect ที่งดงามราวกับเราได้เดินเข้าไปในกล้อง Kaleidoscope ยังไงยังงั้นเลย จุดรวมสายตาของโซนนี้นั้นคงหนีไม่พ้นอ่างอาบน้ำสุดหรูพร้อมหัวเจ็ทจากุซซี่ แต่ดีเทลอื่นๆนั้นก็ชวนให้ Wow ไม่แพ้กัน เริ่มกันที่ชักโครกไฮเทคสไตล์ญี่ปุ่นในห้องผนังกรุไม้ซึ่งให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นหนึ่งเดียว อย่างที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่างานหินในห้องชาวเว่อร์นั้นก็ออกแบบโดย Versace เครื่องอาบน้ำตั้งแต่สบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผม ไปจนถึงสบู่ก้อนสำหรับล้างมือ และโลชั่นทาผิวนั้นก็เป็นผลิตภัณฑ์ของ Bottega Venetta ที่เลิศหรูอย่าบอกใคร ส่วนไดร์เป่าผมนั้นก็คงจะเป็นแบรนด์ใดไปไม่ได้ นอกจาก Dyson พาทัวร์ห้องพักแบบย่อๆกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ได้เวลาไปเสพความผ่อนคลายในสปาหรูของ The Sukhothai กันต่อได้เลย นวดผ่อนคลายที่ Spabotanica เดินจากอาคาร Club Wing เราลัดเลาะผ่านสระว่ายน้ำแล้วตรงมาที่ Spabotanica ของโรงแรม ตกแต่งเรียบง่ายด้วยโทนสีอ่อนสะอาดตา แซมด้วยงานไม้ทำให้ดูอบอุ่นผ่อนคลาย เรานวดคอร์ส The Sukhothai Signature ซึ่งผสมผสานเอาหลายๆเทคนิคการนวดเข้าด้วยกันไว้ในคอร์สเดียวเพื่อความสบายที่สุดของลูกค้า เราคิดว่านี่เป็นวิธีที่เวิร์คมากๆ เพราะหลายครั้งร่างกายอันแสนตึงเครียดของเราก็ต้องการทั้งการนวดแผนไทย อโรม่า สวีดิช รีดเส้น กดจุด ไปใน Session เดียวกันเลย สั้นๆก็คือชอบการนวดแบบรวมเทคนิคแบบนี้มากเลยครับ :-) หลังจากกรอกแบบฟอร์ม เลือกน้ำหนักมือ และจุดเน้นที่ต้องการแล้ว เราก็ถูกนำทางไปยังห้อง Treatment ที่ดูเรียบง่ายแต่มีรสนิยมเพื่อล้างตัวและเปลี่ยนชุดรอ จากนั้นเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะทันทีที่ฝ่ามือของพี่ๆ Therapists สัมผัสกับผิวของเราและค่อยๆเพิ่มแรงกดรีดไปตามแนวกล้ามเนื้อที่เราไม่รู้ตัวมาก่อนว่าเมื่อย เราก็แทบจำอะไรไม่ได้อีกเลย แบบนี้ใช่ไหมที่เค้าเรียกกันว่า "สบายลืมมมมม" มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่ Therapist บอกให้เราพลิกตัว แต่แล้วความทรงจำของเราก็เริ่มเลือนลางอีกครั้ง จนสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเมื่อการนวดจบลง ถ้าเราไม่มีโปรแกรม Pre-Dinner Cocktail ต่อ ก็อยากจะขอนวดต่อยาวๆอีกซักชั่วโมง Underground Gัym ก่อนจะไป Pre-Dinner Cocktail เราขอแวะลงไปสำรวจ Gym ที่อยู่ชั้นใต้ดินกันซักหน่อย เพราะได้ยินกิตติศัพท์มาหนาหู พอมาเห็นของจริงบอกได้คำเดียวว่าเกรียงไกรมากกกก ทั้งขนาดสถานที่ อุปกรณ์ และบริการที่มีให้ล้วนครบครันไปทุกสิ่งยิ่งกว่าฟิตเนสที่เราเคยเป็นสมาชิกอยู่ซะอีก ใครต้องการออกกำลังกายแบบ High-End เป็นมืออาชีพ ในบรรยากาศ Exclusive เราแนะนำให้มาลองดูที่นี่ มีสมัครสมาชิกรายปีด้วยนะ ติดต่อสอบถามที่โรงแรมโดยได้เลยครับ Pre-dinner Cocktail ที่ Club Lounge อีกหนึ่งสิทธิพิเศษของการนอนห้อง Club Suite คือเราสามารถใช้บริการ Cocktail ก่อนดินเนอร์ที่ Club Lounge ได้แบบสั่งเพิ่มได้ไม่อั้น ซึ่งตอนแรกเราคิดว่าจะมีแค่เพียงเครื่องดื่ม ที่ไหนได้คุณอีฟ Receptionist (ที่มาดูแลเราบ่อยจนเริ่มสนิทสนมกันนั้น) ก็ทยอยนำของว่างจานเล็กๆจานแล้วจานเล่าออกมาเสิร์ฟให้ อร่อยหมดทุกอย่างเลยแฮะ แถมขอเพิ่มได้ตลอด คุณอีฟบอกว่าของว่างเหล่านี้จะมีธีมที่หมุนเวียนไปตามช่วงเวลา อย่างช่วงที่เราไปก็จะเป็นธีม Italian ซึ่งก็เข้ากันกับมื้อค่ำต่อจากนี้ที่ La Scala พอดี โจทย์ที่ยากสำหรับเราก็คือจะแบ่งโควตาพื้นที่ในท้องอย่างไรให้เพียงพอกับความอร่อยทั้งหมดทั้งที่ Lounge และที่ La Scala ร้านอิตาเลียนมากรางวัลแห่ง The Sukhothai ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่นานนี้ Dinner at La Scala ในปี 2018 ร้าน La Scala เป็นร้านอาหารอิตาเลียนเพียงร้านเดียวในประเทศไทยที่ได้รับรางวัล 3 Forks ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดจาก Gambero Rosso Guide ที่ Specialized ในอาหารและไวน์อิตาเลียนโดยเฉพาะ การันตีว่าร้าน La Scala นี้เป็นหนึ่งในร้านอิตาเลียนที่ดีที่สุดที่อยู่นอกประเทศอิตาลี นอกจากนี้ใน Tripadvisor ร้าน La Scala ก็ยังขึ้นแท่นร้านอาหารอิตาเลียนอันดับ 1 จากกว่า 500 ร้านในกรุงเทพฯอีกด้วย และตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. 2021 นี้ ทางร้านก็จะได้เชฟ Eugenio Cannoni ชาวเมือง Monferro แคว้น Piedmont ทางตอนเหนือของอิตาลี เข้ามาเสริมทัพให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก เชฟหนุ่มแห่งวงการ Haute Cuisine ท่านนี้เคยเป็นเชฟให้กับร้านอาหารประดับดาวมิชลิน และที่ปรึกษาให้กับรายการ TV ทั้งในอิตาลีและอีกหลายประเทศมาก่อน แต่เราเข้าไปรับประทานอาหารก่อนวันที่เมนูของเชฟคนใหม่จะเปิดตัว อาหารทั้งหมดในรูปของเราจึงยังคงเป็นเมนูเดิมของร้านอยู่ ตอนแรกเราก็แอบเสียดาย แต่พอคิดอีกทีคือเราโชคดีมากๆที่จะได้ลิ้มรสทั้งเมนูเก่าในวันนี้ และเมนูใหม่ในโอกาสหน้า ซึ่งเราจะกลับมาอย่างแน่นอน เริ่มมื้อด้วยคู่คาวหวานคลาสสิคอย่างพาร์มาแฮมแท้ๆและเมล่อนหอมหวาน ช่วยเปิด Palate รับรสให้พร้อมสำหรับมหากาพย์ความอร่อยที่กำลังจะตามมา Carpaccio Di Capesante หอยเชลล์สดๆสไลซ์บางๆราดด้วย Passion Fruit Dressing ทำให้ได้ความสดชื่นจากทั้งรสเปรี้ยวและหวาน เพิ่มความซับซ้อนอีกนิดด้วยหัวเฟนเนล แอลมอนด์ มะเขือเทศ เนื้อส้ม มินต์ และดิลล์ Zuppa ซุปเห็ด Wild Mushroom และ เห็ดทรัฟเฟิลดำ เข้มข้นกลมกล่อมหอมอร่อย อุ่นๆสบายพุง ทานคู่กับ Mushroom Cracker กรุบกรอบ ดีงามมากครับ Risotto al Fruitti di Mare ริซ็อตโต้ซีฟู้ดที่ขนมาทั้งทะเล ได้กลิ่นและรสชาติของทะเลที่เข้มข้นชัดเจน เดาเอาเองว่าน่าจะมาจาก Shell Fish Stock ที่ทางเชฟเคี่ยวเพื่อนำมาหุงข้าว Arborio ให้สุกแบบ Al Dente ประทับใจทั้งหน้าตาและรสชาติครับ Capellini พาสต้าเส้นเล็กปรุงกับเนื้อล็อบสเตอร์และเนื้อปู ปกติทางร้านจะใช้ Blue Lobster แต่วันที่เราไปวัตถุดิบหมดเลยได้เป็น Canadian Lobster แทน สดอร่อย ไม่หักคะแนนใดๆครับ Agnello เนื้อแกะ Te Mana Lamb จากนิวซีแลนด์ ซึ่งต่างจากเนื้อแกะทั่วไปตรงที่เค้าจะอุดมด้วย Omega-3 และมีไขมันละเอียดแทรกอยู่ในกล้ามเนื้อ เชฟนำมาย่างให้สุกกำลังดี เพิ่มรสด้วยชีส Gorgonzola Dolce ซึ่งเป็นบลูชีสที่เราชอบมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เสิร์ฟคู่กับผักย่างหอมอร่อย รสชาติออกมาลงตัวมากๆและเนื้อแกะก็แทบไม่มีกลิ่นเลย จานนี้เป็น Ora King Salmon ปลาแซลมอนพันธุ์พิเศษจากนิวซีแลนด์เช่นกัน นำไป Poached ในน้ำชาดอกบัวซึ่งเป็นชา Signature ของโรงแรม เสิร์ฟพร้อมลูกเกด ไพน์นัท Jerusalem Artichoke (แก่นตะวัน) Guava Puree และ Kristal Caviar จานนี้เป็นเนื้อ Saitama Wagyu ที่นุ่มละลายในปาก ปรุงแบบเรียบง่ายเพื่อให้รสธรรมชาติของเนื้อเปล่งประกาย สารภาพว่าจำไม่ได้ว่าซอสทำจากอะไรบ้าง แต่จำได้ว่าอร่อยมากๆครับ แอบพลิกมีดไปเจอแบรนด์ Laguiole แบรนด์เครื่อง Cutlery เก่าแก่เกือบ 200 ปีจากฝรั่งเศส หรูหราหมดจดทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ ได้เวลาของหวานแล้ว เป็น Raspberry Pannacotta ใจจริงเราหมายตา Tiramisu เอาไว้แต่กลัวว่าคาเฟอีนจะรบกวนการนอน เลยเลือกน้องคนนี้มาแทน และก็ไม่ผิดหวังเลยครับ เนียนนุ่มหอมนมตัดด้วยความเปรี้ยวของราสป์เบอร์รี่ลงตัวพอดีเป๊ะ ส่วนอันนี้เป็นของหวานที่พิเศษมากๆครับ เพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Cocktail คลาสสิคของอิตาลีอย่าง Sgroppino แต่ที่ La Scala นำมาทำเป็นของหวานและทำสดๆให้เราดูที่โต๊ะเลย น้องคนนี้ประกอบไปด้วยเจลาโตวอดก้า โพรเซ็กโก้ และ Limoncello นำมาตีฟองจนเหมือนคาปูชิโน่เลยครับ Sgroppino ทำเสร็จแล้วก็จะหน้าตาสวยงามแบบนี้ครับ เขินจังที่จะบอกว่าทั้งหมดนี้ เราทานกันแค่ 2 คนเท่านั้นเอง ^^ ขึ้นมาแช่น้ำก่อนนอน ได้เวลาลงอ่างแล้วววว ต้องผลัดกันแช่นิดนึง สบายแค่ไหนไม่ต้องบรรยายมาก ให้ภาพเล่าเรื่องแล้วกันนะคับ Turndown Service เตียงนุ่มๆที่เทิร์นดาวน์เรียบร้อยพร้อมให้เราเอาตัวเข้าไปแทรกคุดคู้ได้ตามใจ พร้อมของที่ระลึกก่อนนอนที่ทางพนักงานวางไว้ให้บนเตียง และมีให้เลือกเมนูอาหารเช้าด้วย เมื่อเราติ๊กเสร็จก็นำไปแขวนไว้หน้าประตูได้เลย แต่เราเลือกที่จะไป Order โดยตรงที่ Club Lounge ตอนเช้าเลยดีกว่า เพราะก่อนมามีพรายกระซิบบอกว่าอาหารเช้าที่ Club Lounge ของ The Sukhothai นั้นดีมากๆ พรุ่งนี้เช้าเราไปพิสูจน์กันครับ ตื่นเช้าเริ่มวันใหม่ด้วยการนั่งชิลอ่านหนังสือบนเตียงก่อนจะอาบน้ำลงไปทานมื้อเช้า วันนี้เราเลือกใส่นาฬิกา IWC SCHAFFHAUSEN Pilot's Watch Edition "Le Petit Prince" กันทั้ง 2 คนเลยครับ เรือนแรกเป็น Automatic Chronograph สายหนัง ส่วนอีกเรือนเป็น Mark XVIII สายสแตนเลสครับ ทั้งสองเรือนเป็นนาฬิกาที่ใส่ง่ายได้ทุกวัน โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีน้ำเงินที่เป็นโทนเอกลักษณ์เฉพาะของ IWC สั้นๆก็คือใส่แล้วดูดีมากๆครับ แหะๆ เราจับคู่นาฬิกากับสร้อยข้อมือหนังสีน้ำตาลจาก Hermès รุ่น Tournis Tresse พร้อมแต้มน้ำหอม Maison Margiela 'REPLICA' กลิ่น Lazy Sunday แบบ Rollerball ที่เราพกติดกระเป๋าเอาไว้ ชื่อกลิ่นนั้น Appropriate กับสถานการณ์มาก เพราะเช้านี้เราถูก Spoiled จนขี้เกียจสุดๆเลย Breakfast at The Sukhothai ตั้งแต่เช็คอินที่ เดอะ สุโขทัย เราก็ไม่เคยได้ว่างเว้นของอร่อยเลยจริงๆ ยิ่งมื้อเช้าของที่นี่ต้องใช้คำว่า "ล้น" ไปด้วยของกินที่ทั้งเลิศรสและหลากหลาย มีครบทั้งคาวหวาน สัญชาติยุโรป ไทย จีน ญี่ปุ่นตอบทุกความต้องการ ปัญหาเดียวคือพื้นที่ในกระเพาะมีไม่พอจริงๆครับ อร่อยหมดทุกอย่าง แต่ที่เรา Surprised เป็นพิเศษคือข้าวมันไก่ครับ บอกเลยว่าต้องลอง ดีงามเกินเรื่องจริงๆ กลมกล่อม นุ่มนวล พร้อมน้ำจิ้มที่เด็ดดวงเหลือเกิน จริงๆแล้ว The Sukhothai นั้นมีชื่อมายาวนานเรื่องอาหารการกินครับ ที่นี่เป็นโรงแรมแห่งแรกในประเทศไทยที่จัด Sunday Brunch Buffet ที่เรียกได้ว่า Top-Notch อย่างแท้จริง วัตถุดิบที่นำมาเสิร์ฟให้ลูกค้านั้น ล้วนเป็นท็อปเกรดทั้งสิ้น ช่วงที่เราไปนั้นมีโปรโมชั่นที่คุ้มค่ามากๆ ซื้อ Sunday Brunch 2 ท่าน ได้ห้องพักฟรีไปเลย แต่ละช่วงจะมีโปรที่ต่างกันไปนะครับ ต้องลองเช็คดูเรื่อยๆน้าาา Buffet อีกรายการของ The Sukhothai ที่โด่งดังมากๆก็คือ Chocolate Buffet ที่รับผิดชอบโดยเชฟ Laurent Ganguillet เรียกย่อๆว่า "เชฟกัง" พนักงานคนแรกสุดของโรงแรม หมายเลขพนักงานของเชฟคือเบอร์ 1 เลยครับ และยังคงทำงานอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบัน ลองคิดดูว่าทางเจ้าของนั้นดูแลพนักงานได้ยอดเยี่ยมขนาดไหน ได้ยินมาว่าตอนน้ำท่วมใหญ่ ก็เปิดห้องโรงแรมให้พนักงานนอนฟรีเลยครับ กลับมาเรื่องช็อคโกแลตกันดีกว่าครับ 555 คือในบุฟเฟ่ต์เชฟกังได้คัดเลือกเอาช็อคโกแลตกว่า 30 ชนิดจากแหล่งปลูกทั่วโลก นำมารังสรรค์ให้เกิดเป็นเมนูต่างๆมากมาย แค่ช็อคโกแลตร้อนเมนูเดียว เราก็สามารถรีเควสต์ได้เลยว่าชอบรสชาติประมาณไหน เชฟสามารถนำมาเบลนด์จัดให้ได้หมดเลยครับ นอกจากนี้ยังมีอาหารคาวอร่อยๆเอาไว้ตัดเลี่ยนอีกด้วย ใครสนใจติดต่อโรงแรมด่วนเลยครับ เพราะปกติคิวจองแน่นมากๆ สระเขียว อีกหนึ่งจุด Iconic แห่ง The Sukhothai เคล็ดลับการย่อยอาหารของเราคือการลงไปว่ายน้ำครับ จากอิ่มๆว่ายป๋อมแป๋มแป๊บเดียวอาจกลายเป็นหิวทานต่อได้อีกทันที แน่นอนว่าช่วงเวลาพุงกางอาจจะไม่น่าโชว์นัก แต่โชคดีมากๆที่ทั้งสระไม่มีใครเลยนอกจากเรา นอกจากจะได้ย่อยอาหารแล้ว ยังเป็น Photo Op ที่หาได้ยากอีกด้วย จิบชาก่อนกลับ น่าเสียดายจังที่ Staycation ครั้งนี้ของเราใกล้จบลงแล้ว แม้ทางโรงแรมจะอนุโลมให้เรา Late Check-Out ได้ แต่เวลาก็ยังสั้นไปอยู่ดี ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วแบบนี้เสมอแหละ การว่ายน้ำเพื่อช่วยย่อยอาหารก่อนหน้านี้ของเรานั้นเป็นความคิดที่ถูกต้องมากๆ เพราะยังมี Afternoon Tea อีกเซ็ตใหญ่ๆที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ดูแลพวกเราส่งท้ายก่อนเช็คเอ้าท์ จัดเต็มเหมือนเคยครับทั้งของคาวและของหวาน รวมถึงชากาแฟครบชุด บางทีของที่ระลึกก็อาจมาในรูปแบบของน้ำหนักที่ได้เพิ่มกลับบ้านไปนะครับ สรุปความประทับใจ ก่อนหน้านี้เราเคยแวะมาร่วมงานต่างๆที่ The Sukhothai บ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่เคยได้มีโอกาสมา Staycation แบบนี้เลย ครั้งนี้เราได้เรียนรู้ถึงเรื่องราวที่น่าสนใจของโรงแรมหลายเรื่อง เช่น โรงแรมนี้เป็น Private Brand ที่มีครอบครัวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวฮ่องกงเป็นเจ้าของ (HKRI Group) และมีเพียง 2 แห่งในโลกคือที่กรุงเทพฯและเซี่ยงไฮ้ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน และเร็วๆนี้ที่กรุงเทพฯก็จะมีการเปิดตัวโปรเจ็คท์ใหม่ของแบรนด์อีกแห่งหนึ่งด้วย เราได้รู้อีกว่าตลอด 30 ปีที่ผ่านมา The Sukhothai ได้ริเริ่มธรรมเนียมปฏิบัติหลายๆอย่างในวงการโรงแรมของไทย ไม่ว่าจะเป็นการมอบดอกไม้ไทยเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือน หรือจะเป็นการจัด Sunday Brunch ที่ทุกวันนี้แทบทุกโรงแรมต่างก็มีให้บริการกัน แต่เรื่องเล่านั้นก็ยังไม่เท่าประสบการณ์ที่เราสัมผัสได้ด้วยตัวเองจากไมตรีของผู้ให้บริการ และรายละเอียดที่ลงตัวสวยงามของงานสถาปัตยกรรม ไปจนถึงอาหารเลิศรสมื้อแล้วมื้อเล่าที่เราได้ลิ้มลอง เมื่อทั้งหมดนี้มารวมกันอยู่ที่ The Sukhothai ก็ทำให้โรงแรมแห่งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ สมกับความหมายของ "สุโขทัย" ชื่อโรงแรมจริงๆ "Dawn of Happiness" หรือ "รุ่งอรุณแห่งความสุข" โมงยามแห่งความละเมียดที่เราสามารถสัมผัสได้ทุกวัน ดีลห้องพักราคาพิเศษคลิ๊กจองที่นี่
- Ponant ชวนไปสัมผัสกับมุมแรร์ไอเท่มของโลกใบนี้ในวิถี Quiet Luxury บนหลากหลายเส้นทางเดินเรือตั้งแต่ขั้วโลกเหนือจรดใต้ในจุดหมายที่เรือน้อยลำจะเข้าถึงได้ ล่องเรือสำราญ Ponant Cruise
ล่องเรือสำราญ Ponant Cruise สำรวจโลก ดีลพิเศษสำหรับการออกเดินทางครั้งใหม่ ใกล้พร้อมเปิดเรือต้อนรับเพื่อนๆแล้วครับ Hoparound.co X Ponant ชวนเพื่อนๆไปสัมผัสกับซอกมุมแรร์ไอเท่มของโลกใบนี้ในวิถี Quiet Luxury บนหลากหลายเส้นทางเดินเรือตั้งแต่ขั้วโลกเหนือจรดใต้ในจุดหมายที่เรือน้อยลำจะเข้าถึงได้ Ponant (โพน้องต์) คือแบรนด์เรือสำราญสุด Exclusive สัญชาติฝรั่งเศสที่ตอบโจทย์นักเดินทางผู้หลงไหลการสำรวจโลก (Expedition) โดยไม่ต้องลดคุณภาพ Lifestyle ในมิติที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน นอกจาก Ponant จะพาเราออกเดินทางสู่ความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ด้วยพลังงาน Hybrid เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว แต่ละเส้นทางของ Ponant ก็เป็นประสบการณ์ที่ห่อหุ้มด้วย Theme เฉพาะไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นแนว Gastronomy ที่ชวนลิ้มรสอาหารชั้นเลิศ และวัตถุดิบท้องถิ่นที่เลือกสรรมาอย่างดี และบางเส้นทางก็มีการเชิญเชฟชื่อดังระดับโลกตัวจริงมาปรุงอาหารให้เราเลย หรือจะเป็น Theme ดนตรีที่เชิญนักดนตรีชั้นครู (บางท่านเป็นแชมป์โลกเลยครับ) มาบรรเลงเพลงขับกล่อมเราตลอดเส้นทาง แขกของ Ponant จะได้สัมผัสกับความน่าตื่นตาตื่นใจของเรื่องราวประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คน และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่เราคาดไม่ถึง มาตกหลุมรักกับดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลกให้ลึกซึ้งกว่าเดิม พร้อมส่วนลดพิเศษเมื่อจองผ่าน Hoparound.co เร็วๆนี้ครับ
- BONCI (บอนซี่) คาเฟ่เปิดใหม่ย่านสะพานควาย
BONCI (บอนซี่) #คาเฟ่เปิดใหม่ #ย่านสะพานควาย “ความไร้คอนเส็ปต์” ก็กลายเป็นคอนเส็ปต์ได้ ถ้ารสนิยมดีซะอย่าง วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไป #hop ทำความรู้จักกับ BONCI คาเฟ่สวยเก๋ย่าน #สะพานฟราย (สะพานควายนั่นแหละ) ที่กลางวันเป็นคาเฟ่ ส่วนกลางคืนเป็นบาร์สุดฮิป เราถามเจ้าของร้านถึงที่มาของชื่อ BONCI ว่าชื่อนี้มาแต่ใด คำตอบก็คือ ”ตัวอักษร 5 ตัวนี้เรียงกันแล้วสวยดีนะ” แค่นี้ก็พอจะบอกได้ว่าคาเฟ่แห่งนี้สร้างขึ้นจากรสนิยมส่วนตัวของเจ้าของล้วนๆ แต่สำหรับเราแล้วจะว่าไร้คอนเส็ปต์เสียเลยก็ไม่ถูก เพียงแค่คอนเส็ปต์ของร้านนี้ไม่ได้ถ่ายทอดออกมาด้วยคำพูดให้สวยหรูก็แค่นั้นเอง แต่มันออกมาเป็นบรรยากาศของร้านให้จับต้องได้เลย ถ้าให้เราบรรยายตามความรู้สึกของเราเองก็ต้องบอกว่าที่นี่มี Good Vibes หนาแน่นมาก นอกจากการแต่งร้านที่ทำให้เรานึกถึงสไตล์สแกนดิเนเวียนแล้ว การคัดสรรเมล็ดกาแฟที่นำเข้ามาจากออสเตรเลียตามความชอบของเจ้าของ ก็ทำให้เรารู้ว่าอย่างน้อยก็ต้องมีคำว่า “ใส่ใจรายละเอียด” นั่งอยู่ในใจของเจ้าของอย่างแน่นอน ส่วนชั้นลอยนั้นตอนกลางคืนจะกลายร่างเป็นบาร์สุดฮิปนามว่า BONCI BAR เมนูแนะนำ สำหรับผู้ชอบความครีมมี่ นัวร์ๆ BIMBOM CREAM 150.- สำหรับใครที่ชอบความสดชื่น BIMBOM SOUR 150.- ส่วนครัวซองต์ที่เราได้ลองชิมคือ Spinach Croissant 150.- สายครัวซองต์ก็คือห้ามพลาด สรุปเลยแล้วกัน ร้านสวย กลางวันกาแฟดี กลางคืนนั่งดริ้งค์ได้ มีที่จอดรถด้านหลังร้านใกล้แยกสะพานควาย จะมีคอนเส็ปต์หรือเปล่าก็ช่างมันไปก่อนก็แล้วกัน อะไรดี Hop ก็ว่าดี ไปเช็คอินกันได้เลยค้าบบบ แถมช่วงนี้ก็จะมีตู้ถ่ายรูปสุดฮิตอย่าง Sculpturebangkok ไปตั้งอยู่ในร้านด้วยนะ ถ้าซื้อเครื่องดื่มขนมครบ 550.- จะได้ถ่ายฟรี 1 ครั้ง 1 แผ่น หรือใครอยากถ่ายแบบจัดเต็มก็จ่าย 150.- ต่อครั้งไปเลย!! BONCI Location: https://goo.gl/maps/ZBQrwCVqnf6NLUhdA 1477 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เวลาเปิด-ปิด : Café 10:00-18:00 | Bar 18:00-23:00 (เปิดให้บริการเร็วๆนี้) โทร : 06-4646-9245 ที่จอดรถ : ที่จอดรถ BONCI สามารถจอดรถได้หลังร้าน (ที่จอดรถจำกัด 5-6 ที่นะครับ) ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/hellobonci/
- TOKYO Highlights อัพเดท 30 จุดสุดฮิปจากทริปโตเกียวล่าสุดปี 2025
TOKYO Highlights อัพเดท 30 จุดสุดฮิปจากทริปโตเกียวล่าสุดปี 2025 ใช่, Tokyo คงไม่ใช่เมืองแปลกใหม่ของใครหลายๆคนอีกต่อไป แต่ยอมรับเถอะว่า เมืองหลวงของญี่ปุ่นแห่งนี้เป็นเมืองที่ “มีของ” มากที่สุดเมืองหนึ่งของโลก Tokyo ไม่เคยขาดแคลนความน่าตื่นตาตื่นใจ เพราะในแต่ละฤดูกาล แต่ละย่าน แต่ละครั้งที่เราได้ไปเยี่ยมเยือน Tokyo ก็มีอะไรใหม่ๆให้เรากระชุ่มกระชวยหัวใจได้อยู่เสมอ โดยเฉพาะครั้งนี้หลังจากที่เราไม่ได้ไปญี่ปุ่นเลยกว่า 3 ปี มาดูกันซิว่า มีที่ไหนให้น่าไป #Hop บ้าง ตามไปดูกันเลยยยย ดีลพิเศษเฉพาะชาว #Hopster เท่านั้น Exclusive Deals with Hoparond.co โรงแรม DDD HOTEL ราคาพิเศษ โรงแรม The Tokyo EDITION Toranomon ราคาพิเศษ โรงแรม Toggle hotel suidobashi ราคาพิเศษ โรงแรม ONSEN RYOKAN YUEN SHINJUKU ราคาพิเศษ โรงแรม sequence MIYASHITA PARK ราคาพิเศษ โรงแรม Andaz Tokyo Toranomon Hills ราคาพิเศษ โรงแรม MUJI HOTEL GINZA ราคาพิเศษ บัตรเข้าชม Warner Bros. Studio Tour Tokyo – The Making of Harry Potter Ticket พิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัล TeamLab Planets TOKYO | โตเกียว ญี่ปุ่น บัตรขึ้นจุดชมวิว "ชิบูย่า สกาย" (Shibuya Sky) | ซื้อแล้วรับบัตรได้ทันที (บัตรอิเล็กทรอนิกส์) เที่ยวสวนสนุกญี่ปุ่น | บัตรเข้าโตเกียวดิสนีย์รีสอร์ต (Tokyo Disney Resort) 1 วัน The Tokyo EDITION, Toranomon EAST MEETS WEST กลับมาโตเกียวในรอบ 3 ปี!! เลยอยากมาลองพักที่ The Tokyo EDITION, Toranomon เพราะชอบสไตล์มินิมอลของแบรนด์มากๆ แบรนด์ The EDITION ก่อตั้งขึ้นโดยคุณ Lan Schrager ผู้สร้างแบรนด์โรงแรมระดับตำนาน ร่วมกับ Marriott International เครือโรงแรมระดับโลก เป็นแบรนด์ Top สุดของเครือแมริออท The Tokyo EDITION, Toranomon เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมานี่เอง (ช่วงโควิดพอดี) เราชอบการตกแต่งอย่างอบอุ่นด้วยพื้นไม้ ผนังไม้ และเพิ่มเติมด้วยต้นไม้สีเขียว ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเตรียมพร้อมสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง โรงแรมตั้งอยู่ที่ชั้น 31–36 ของตึกระฟ้าใจกลางโตเกียวอย่าง “Tokyo World Gate” อยู่ในย่านธุรกิจ Kamiyachō ในทำเลที่สะดวกสบายติดกับจุดเชื่อมต่อรถไฟใต้ดินหลายสาย ทำให้สามารถเดินทางไปยังสถานที่ยอดนิยมอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง เช่น รปปงหงิ หรือ กินซ่า หรือไกลออกไปได้อย่างง่ายดายมากกกก ล็อบบี้ที่นี่จะอยู่ที่ชั้น 31 เราจะต้องกดลิฟต์ขึ้นมาจากชั้น 1 เมื่อลิฟต์เปิดมาเราจะเจอกับเก้าอี้ที่ตั้งเป็นงานอาร์ตและรูปถ่ายขนาดเล็ก ติดเรียงรายไปตลอดทางเดินที่ทอดยาวไปยังล็อบบี้และจุดสำหรับเช็คอิน ซึ่งล็อบบี้ที่นี่สวยมาก รู้สึกร่มรื่นเพราะเค้าตกแต่งด้วยต้นไม้กว่า 500 ต้นเลย แบ่งเป็นมุมต่างๆ ผ่อนคลายและดูไม่อึดอัด เราพักห้อง DELUXE เตียงคิงไซส์พร้อมวิวเมือง ขนาด 42 sqm ห้องพักที่นี่ออกแบบโดยสถาปนิกที่เราชอบมากที่สุดคนนึงในญี่ปุ่นเลย คือ คุณ Kengo Kuma ห้องมีความเรียบง่ายมาก มีเส้นสายที่สะอาดตาและขอบที่คมชัดตลอดแนวใช้สีออร์แกนิก เช่น พื้นไม้โอ๊คสีขาวพร้อมเฟอร์นิเจอร์สีเบจและสีขาว สิ่งที่ชอบสุดในห้องก็หนีไม่พ้น Amenities กลิ่นหอมละมุนสั่งทำพิเศษจากแบรนด์ Le Labo ใครอยากนำกลับบ้านก็ขวดละแค่ 8,000 JPY เท่านั้นนนนน สำรองห้องพัก: โรงแรม The Tokyo EDITION Toranomon ราคาพิเศษ DDD Hotel คนรักงานดีไซน์ต้องตกหลุมรักโรงแรมนี้ Design, Development and Destination คือคอนเซ็ปต์ของโรงแรมแห่งนี้ นี่คือ Hidden Gem ที่เรามาพบเข้าโดยบังเอิญขณะเสิร์ชหาโรงแรมในเว็ป Expedia นอกจากจะสวย เท่ สะดวก ดีไซน์ดีแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดก็คือคุณภาพเกินราคา! การตกแต่งเน้นสีเขียวเป็นหลัก Amenities หอมมาก ชั้นสองมีคาเฟ่ กาแฟ เบเกอรี่ เปิดให้คนภายนอกเข้าได้ด้วย สามารถมานั่งชิล นั่งทำงานได้ ตอนค่ำจะเปลี่ยนเป็นบาร์ มีดีเจเปิดเพลง ชั้น 1 เป็นห้องอาหาร "nôl" ที่จะเลือกสรรวัตถุดิบประจำซีซั่นมาปรุงอาหาร โรงแรมนี้ใกล้รถไฟ เดินทางสะดวก รอบๆ โรงแรมก็มีร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่เท่ๆ เพียบ! สำรองห้องพัก: โรงแรม DDD HOTEL ราคาพิเศษ เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง การเดินทาง: ลงสถานี Bakurochō เดินต่ออีก 1 นาที Location: https://g.page/ddd-hotel?share Bridge COFFEE & ICECREAM ตัวร้านนั้นตั้งอยู่ไม่ไกลจากสะพานเรียวโกกุ (Ryogokubashi) ครับข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามก็จะเจอกับร้าน Bridge COFFEE & ICECREAM เลย สังเกตุง่ายๆคือมีคำว่า COFFEE สีขาวๆ ติดอยู่บนกำแพงกระเบื้องสีน้ำเงินเข้ม ที่นี่มีให้บริการตั้งแต่ กาแฟ เบเกอรี่ ไอศกรีม เวลาเปิดปิด: 8:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Bakurochō เดินต่ออีก 1 นาที Location: https://goo.gl/maps/VMRTsX9ssWzmJHfd8 ชิลแบบมีสไตล์ที่ ‘SHARE GREEN MINAMI AOYAMA’ นี่คือที่ที่รวมเอา คาเฟ่ ร้านขายต้นไม้ ดอกไม้ ออฟฟิศให้เช่าและลานปิกนิกมาไว้ในที่เดียวกัน ตั้งอยู่ใจกลางโตเกียวเพียง 10 นาทีจากย่านช้อปปิ้งที่ทุกคนรู้จักกันดีอย่างโอะโมะเตะซันโด โดยมีคอนเซ็ปต์ว่า ‘PARK LIFESTYLE’ ไลฟ์สไตล์ใหม่ใจกลางเมืองใหญ่ “Little Darling Coffee Roasters” เป็นคาเฟ่ปรับปรุงมาจากโกดังเก่า ตกแต่งแนว Industrial มีที่นั่งทั้งอินดอร์เอ้าท์ดอร์ มีเมล็ดกาแฟให้เลือกจากหลากหลายประเทศ มีของว่างให้เลือกชิม รวมถึงของที่ระลึก เช่น เสื้อยืด กระเป๋า หนังสือก็มีขายด้วย “SOLSO PARK” ร้านขายต้นไม้กว่าร้อยชนิด รวมไปถึงอุปกรณ์ทำสวน ดีไซน์น่ารักๆ เต็มไปหมดทั้งร้านเลย “All Good Flower” ร้านขายดอกไม้หลากชนิด ที่ในร้านเรียงรายไปด้วยดอกไม้ตามฤดูกาล มีทั้งดอกไม้สดและดอกไม้แห้ง มีกระถาง แจกัน ของที่ระลึกน่ารักๆเพียบ! “LIFORK” ก็จะเป็นโซนออฟฟิศ ห้องสัมนาให้เช่า สรุป ที่นี่เหมาะสำหรับคนที่อยากหาสถานที่นั่งพักผ่อนหรือหลีกหนีจากความวุ่นวายจากความเป็นเมืองใหญ่ มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียว ที่สำคัญอยู่ใจกลางโตเกียวเลย เดินทางง่ายมากหรือจะแวะมาพักแล้วไปเดินช้อปต่อก็ไม่เลวนะ! เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวัน 8:00-20:00 น. การเดินทาง: ลงสถานี Aoyama-itchome หรือ Nogizaka Station เดินต่ออีก 6-10 นาที Location: https://goo.gl/maps/aLf2JMoyz5SXNvR47 21_21 Design Sight Tokyo Midtown เป็นย่านเมืองใหม่ที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2007 หนึ่งในพื้นที่สีเขียวอันงดงามของโครงการ ก็คือสวน Midtown Garden และที่นี่เองก็เป็นที่ตั้งของ “21_21 Design Sight” มิวเซี่ยมโมเดิร์นที่เราจะพาคุณ #hop ไปชมกัน อาคารที่เรียบเท่แห่งนี้ออกแบบโดย Tadao Ando สถาปนิคอัจริยะชาวญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลกและนักออกแบบแฟชั่น Issey Miyake ผู้เพิ่งล่วงลับไปได้ไม่นาน รอบนี้ที่เราไปมีงาน Exhibition เกี่ยวกับเบื้องหลังของการหุ้มประตูชัย Arc de Triomph ซึ่งเป็นผลงาน Installation Art ขนาดมหึมาใจกลางกรุงปารีส ของคุณ Christo และ Jeanne-Claude จะจัดแสดงระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน 2022 ถึง 12 กุมภาพันธ์ 2023 ปีหน้าเลยนะครับ เวลาเปิดปิด: พุธ-จันทร์ 10:00-19:00 น. การเดินทาง: ลงสถานี Kamiyacho เดินต่ออีก 7 นาที Location: https://goo.gl/maps/UcBMvuRPQNWFfxsr5 ย่าน Kiyosumi Shirakawa ย่านนี้ทำให้เรานึกถึงย่าน Chelsea West Side ที่นิวยอร์กเลย เป็นย่านที่รวมเราแกลอรี่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ คาเฟ่ และสงบมากๆ ไม่วุ่นวายเลย กลายเป็นอีกหนึ่งย่านที่ทำให้เราอยากกลับมาอีกแน่นอน ย่านนี้มีร้านกาแฟ แกลอรี่มากมายซ่อนตัวอยู่ตามจุดต่างๆ ให้เราได้สำรวจกัน Allpress Espresso Tokyo Roastery & Cafe นั่งจิบกาแฟ กินขนม ดูผู้คน ย่าน Kiyosumi Shirakawa ร้านกาแฟคุณภาพจากนิวซีแลนด์ ตั้งอยู่ในย่านชุมชนอย่าง Kiyosumi Shirakawa ร้านนี้คั่วกาแฟเองโดยมีเมล็ดกาแฟส่งมาจากทั่วทุกมุมโลก โดดเด่นด้วยหลังคาจั่วทรงสามเหลี่ยมมินิมอล เมื่อเดินเข้าไปในร้านก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟ เพดานสูงโปร่งบรรยากาศเรียบเท่ ทันสมัย แต่ก็อบอุ่นอยู่ในที มีเมนูเครื่องดื่มหลากชนิด แต่เราขอแนะนำเมนู Flat White ซึ่งเป็นที่นิยมในนิวซีแลนด์ (แย่งกันเคลมกับออสเตรเลียว่าใครคือต้นฉบับกันแน่) ในช่วงฤดูและวันที่อากาศดี แนะนำให้นั่งด้านนอกเลยครับ เราชอบ Vibe ของร้านนี้ที่จะมีผู้คนในชุมชนแวะเวียนกันมาจิบกาแฟกันอย่างไม่ขาดสายเลย เวลาเปิดปิด: จันทร์-ศุกร์ 9:00-17:00 เสาร์-อาทิตย์ 10:00-18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kiyosumi-shirakawa เดินต่ออีก 9 นาที Location: https://goo.gl/maps/eeLkPn4mK6aNbqHd Ando Gallery เยี่ยมชมแกลเลอรีส่วนตัว กับงานศิลปะร่วมสมัยที่น่าประทับใจ แวะชมงานอาร์ทสักครู่ที่แกลอรี่สุดมินิมอล ที่มองเผินๆเหมือนสำนักงานอะไรสักอย่าง Ando Gallery แต่ด้านในเต็มไปด้วยผลงานศิลปะ สถาปัตยกรรม และงานดีไซน์ที่น่าสนใจ รวมถึงงาน Installation โดยศิลปินร่วมสมัยทั้งจากญี่ปุ่นและต่างประเทศที่จะช่วยกระตุ้นแรงบันดาลใจให้สูบฉีดพุ่งพล่าน เวลาเปิดปิด: อังคาร-เสาร์ 11:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kiyosumi-shirakawa เดินต่ออีก 9 นาที Location: https://goo.gl/maps/eeLkPn4mK6aNbqHd8 เวลาเปิดปิด: อังคาร-เสาร์ 11:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kiyosumi-shirakawa เดินต่ออีก 9 นาที Location: https://goo.gl/maps/eeLkPn4mK6aNbqHd8 YUJI RAMEN TOKYO ไปชิมราเมงกับซุปกระดูกปลากัน! ร้านนี้ตั้งอยู่ในย่าน Kiyosumi-Shirakawa ซึ่งเป็นย่านที่มีร้านใหม่ๆเกิดขึ้นเพียบ! ร้านที่ดึงดูดความสนใจของเราขณะเดินผ่านอีกฝั่งของถนนคือ Yuji Ramen Tokyo ที่เราเห็นโลโก้แล้วคุ้นมากกก อ้อ!! ร้านนี้เค้ามาจาก Brooklyn ที่ New York นี่นา ความพิเศษของที่นี่คือเป็นราเมงแบบ “Tuna Kotsu Ramen" ที่เคี่ยวน้ำซุปจากหัวและกระดูกปลาทูน่าแทนกระดูกหมูซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Yuji Ramen Tokyo เท่านั้น ราเมงชามนี้จึงเต็มไปด้วยอูมามิของปลาทูน่า กลิ่นอาจจะคาวกว่าซุปกระดูกหมูนิดหน่อย แต่กลมกล่อมอร่อยบอกไม่ถูก สำหรับเราพอกินพร้อมเส้นราเมงนุ่มกำลังดีแล้วมันเข้ากันสุดๆ เวลาเปิดปิด: ปิดวันจันทร์ 11:30–14:30, 17:30–20:30 การเดินทาง: ลงสถานี Kiyosumi-shirakawa เดินต่ออีก 3 นาที Location: https://goo.gl/maps/oXcb2QJJzydEcySc6 New Balance T-House คอนเซ็ปต์สโตร์แห่งใหม่ใจกลางโตเกียว ตั้งอยู่ในย่านนิฮงบาชิ (Nihonbashi) เป็นอีกหนึ่งโปรเจ็คที่น่าสนใจมากๆ เพราะนำไม้จากโกดังเก่าที่ไม่ใช้แล้วมาออกแบบใหม่โดยคุณ Jo Nagasaka แห่ง schemata Architects โดยได้แรงบันดาลใจมาจากโรงน้ำชาดั้งเดิมของญี่ปุ่น จนกลายเป็นร้านคอนเส็ปต์สโตร์แห่งใหม่ในนาม New Balance T-House โดยสาขานี้จะมีขายเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องหอม กระเป๋ารวมไปถึงรองเท้ารุ่นพิเศษอีกด้วย เวลาเปิดปิด: 11:00–14:00 15:00–19:00 ปิดวัน พุธ พฤหัส การเดินทาง: ลงสถานี Suitengumae เดินต่ออีก 5 นาที Location: https://goo.gl/maps/Ksx2Qd41i4Z48YGN9 TRUFFLE & BREAD ร้านเบเกอรี่ไซส์มินิที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมจากเห็ดทรัฟเฟิล ใครเป็นสาวกทรัฟเฟิลและขนมอบไม่ควรพลาดที่จะแวะร้านนี้เลย!! เพราะที่นี่เค้าอบเบเกอรี่สดใหม่ทุกวันเลย และทุกเมนูของที่นี่คือมีส่วนผสมจากเห็ดทรัฟเฟิลด้วย เราได้เลือกชิมเมนูที่น่าสนใจที่สุดบนเคาท์เตอร์ของร้านคือ TRUFFLE CROQUE MONSIEUR คล้ายแซนวิชแฮมชีสเยิ้มๆ และเค้าก็จะสไลซ์เห็ดทรัฟเฟิลชิ้นบางๆ ลงบนคร็อกเมอร์ซิเออร์ พอได้ลองกัดกรึ้ปเข้าไปคำแรก คือ หอมและนัวชีส นัวเห็ดมากกกกก อร่อยสุดๆ รับรองได้เลยว่าเพื่อนๆต้องติดใจเหมือนเราแน่นอน! เวลาเปิดปิด: อังคาร-อาทิตย์ 10:00-17:00 น. (หรือปิดทันทีเมื่อขายหมด) การเดินทาง: ลงสถานี Suitengumae เดินต่ออีก 5 นาที Location: https://goo.gl/maps/tqMygCpob1y23RJW6 Reiyukai Shakaden Temple วัดพุทธนิกายใหม่รูปทรงแปลกตา อาคารทรงแปลกแห่งนี้เป็นเหมือนจุดนัดพับและศูนย์กลางสำหรับสมาชิก Reiyūkai เป็นศาสนาใหม่ทางพุทธศาสนาของญี่ปุ่นที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1919 อาคารแห่งนี้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมและให้บริการบทเรียนภาษาญี่ปุ่นฟรีสำหรับชาวต่างชาติ ในภาษาญี่ปุ่น "Shakaden" หมายถึง "บ้านของศากยมุนี" เป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถแสวงหาการปฏิบัติต่อคำสอนของพระศากยมุนี ด้านในประกอบด้วยห้องโถงใหญ่ พลาซ่า ห้องโถงโคทานิ ห้องประชุมต่างๆ โรงอาหาร ห้องดูแลเด็ก และห้องพยาบาล อาคารแห่งนี้สร้างขึ้นเสร็จเมื่อปี 1975 เวลาเปิดปิด: ทุกวัน 6:00-17:00 น. การเดินทาง: ลงสถานี Kamiyacho เดินต่ออีก 5 นาที Location: https://goo.gl/maps/Rhv1hsQAuSnkPMm69 Parlors คาเฟ่จิ๋วแต่แจ๋ว เดินมาอีกหน่อยจากร้านเมื่อกี๊ ก็จะเจอกับ Parlors ร้านเล็กๆ บริการน่ารัก เป็นกันเอง ร้านนี้ก็มีเสิร์ฟเครื่องดื่ม เบเกอรี่ ส่วนกาแฟเราชอบเป็นพิเศษเพราะเค้าใช้เมล็ดของ Coffee Supreme แบรนด์โปรดของเราจากเมือง Wellington ประเทศนิวซีแลนด์ เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวัน 8:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Bakurochō เดินต่ออีก 1 นาที Location: https://goo.gl/maps/eEsQu6pZk5ZXJoab9 Beaver Bread ร้านเบเกอรี่จิ๋ว แต่แจ๋ว ถึงร้านจะเล็กมาก แต่มีขายขนมเบเกอรี่เยอะมาก เยอะจนเลือกไม่ถูกไม่รู้จะซื้ออะไรมาลองดี เราเลยเลือกลองครัวซองต์ ก็อร่อยดีนะ กรอบนอกนุ่มใน หอมเนยฟุ้งเลย เวลาเปิดปิด: พุธ - อาทิตย์ 8:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Bakuroyokoyama เดินต่ออีก 2 นาที Location: https://goo.gl/maps/eEsQu6pZk5ZXJoab9 Museum of Contemporary Art Tokyo (MOT) พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยโตเกียว สายอาร์ทต้องมาแวะ! เปิดให้บริการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 1995 เพื่อเติมเต็มรากฐานของศิลปวัฒนธรรมและส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยให้ชาวญี่ปุ่น (และนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ) มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับศิลปะร่วมสมัยที่หลากหลายทั้งงานภาพวาด รูปแกะสลัก แฟชั่น สถาปัตยกรรม การออกแบบ ตั้งอยู่ภายในสวนคิบะ ดูด้านนอกอาจจะเล็ก แต่ด้านในคือใหญ่มาก เผื่อเวลาไว้อย่างน้อยสัก 30 นาทีในการเดินชมก็ดีนะ เพราะเค้ามีร้านของดีไซน์เก๋ๆให้เลือกซื้อกันด้วย ที่สำคัญสิ้นปีนี้กำลังจะมีงาน Exhibition ขนาดใหญ่จากแบรนด์ระดับโลกอย่าง Christian Dior: Designer of Dreams มาจัดแสดงด้วยนะครับ ตั้งแต่วันที่ 21 Dec, 2022 ถึงวันที่ 28 May, 2023 ปีหน้าเลย ค่าเข้าชม: ขึ้นอยู่กับงานที่จัดแสดง เวลาเปิดปิด: อังคาร - อาทิตย์ 10:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Kiyosumi-shirakawa เดินต่ออีก 10 นาที Location: https://goo.gl/maps/pKLwvjWU1VEiz2259 Jimbōchō ย่านจิมโบโจ ย่านรวมหนังสือนิตยสาร ที่หนอนหนังสือไม่ควรพลาด! ใครเบื่อช้อปปิ้งแล้ว เราอยากแนะนำให้มาย่านนี้ครับ ย่านที่เหมาะสำหรับผู้รักการอ่าน เพราะเต็มไปด้วยหนังสือและนิตยสารหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเก่า หนังสือใหม่ จะภาษาญี่ปุ่นหรืออังกฤษก็มีครบเลย เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวัน 11:00–22:00 การเดินทาง: ลงสถานี Jimbocho เดินต่ออีก 1 นาที Location: https://goo.gl/maps/EMxXwfzXQehZL6tZ6 Niigata Katsudon Tarekatsu Jimbocho Suzurandori นิกะตะคะสึด้ง ทะเระคะสึ ทงคัตสึ จากจังหวัดนิงาตะ ทอดใหม่ๆ อร่อยทุกคำ แฟนๆ ทงคัตสึ ต้องห้ามพลาดร้านนี้! เป็นร้านที่เราเดินผ่านแล้วแวะเลยไม่ต้องคิด ร้านเล็กๆที่นั่งไม่เยอะ แต่รสชาติเซอไพร้ซ์มาก ของทอดอร่อยทุกอย่าง โดยเฉพาะเมื่อกินกับน้ำซอสที่ราดมา และที่เราชอบสุดๆคือ ในผักสลัดมีหอมเจียวโรยมาด้วย คืออร่อยมากกกกก เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวัน 11:00–22:00 การเดินทาง: ลงสถานี Suidobashi Station เดินต่ออีก 3 นาที Location: https://goo.gl/maps/5RBLq8GbwSWwyjVf8 ย่าน Sendagaya เป็นย่านที่รวมเอาร้านเก๋ๆ นอกกระแสมาไว้ด้วยกัน ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบแม้จะอยู่ติดกับย่านฮาราจุกุและโอโมเตะซันโดะ ย่าน ‘Sendagaya’ แห่งนี้จึงเป็นสถานที่สำหรับคนที่ชอบค้นหาอะไรใหม่ๆ เต็มไปด้วยร้านค้าและสำนักงานสายอินดี้ ใครกำลังต้องการแรงบันดาลใจในการทำอะไรที่แตกต่างจากกระแสหลัก ขอแนะนำให้มาเดินย่านนี้ดูครับ Think Of Things คาเฟ่และร้านค้าไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมือนใครในโตเกียว ร้านนี้ตั้งอยู่ในย่าน Sendagaya เป็นร้านที่เราอยากมามากที่สุดในโตเกียวรอบนี้เลย เพราะเป็นร้านที่มีสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร เน้นขายของใช้ในออฟฟิศ เครื่องเขียน รวมไปถึงของใช้ในบ้าน เราเป็นพวกชอบร้านเครื่องเขียนมาก ยิ่งที่นี่เค้ามีคาเฟ่ พร้อมกาแฟคุณภาพดีจาก Obscura Coffee Roasters ด้วยยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ เจ้าของ Think of Things คือ Kokuyo แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังของญี่ปุ่นนั่นเอง ใครมาแวะร้านนี้แล้วต้องได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้านไปแน่นอน เวลาเปิดปิด: ปิดวันพุธ 11:00–19:00 การเดินทาง: ลงสถานี Harajuku เดินต่ออีก 3 นาที Location: https://goo.gl/maps/WJJo3dbeiRoB9H6y8 LABOUR AND WAIT TOKYO ร้านขายเครื่องใช้ในบ้านจากลอนดอน เวลาเปิดปิด: ปิดวันอังคาร 12:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Harajuku เดินต่ออีก 6 นาที Location: https://goo.gl/maps/H6Cb1GeTEEBNbnzp8 PAPIER LABO. ร้านสำหรับคนรักกระดาษ เปเปอร์ ลาโบ. เป็นร้านวาไรตี้ที่ก่อตั้งขึ้นโดยคนรักกระดาษ จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากกระดาษและมีสินค้าหลากหลายที่ได้รับการคัดสรรมาจากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ PAPIER LABO ยังให้บริการงานพิมพ์รวมถึงการพิมพ์แบบตัวพิมพ์อีกด้วยนะ เวลาเปิดปิด: เปิดวันอังคารถึงวันเสาร์ 12:00–18:00 การเดินทาง: ลงสถานี Harajuku เดินต่ออีก 6 นาที Location: https://goo.gl/maps/LzTyBJPMqvRWxfReA Shimokitazawa เดินสำรวจหนึ่งในย่านที่ฮิปที่สุดของโตเกียว “ชิโมะคิตาซาว่า” หรือสั้นๆว่า “ชิโมคิตะ” ย่านวัฒนธรรมสุดเก๋ที่คละเคล้าเอาความเก่าและความใหม่ของญี่ปุ่นมาผสมกันได้อย่างลงตัว แม้คนอาจจะรู้จักน้อยกว่าฮาราจุกุ หรือ โอโมเตะซานโดะ แต่ในเรื่องของความฮิปนั้นไม่แพ้ใครเลย ตามตรอกแคบๆของชิโมคิตะนั้นมีงานกราฟิตี้ มีร้านค้าน่าชมแฝงตัวอยู่มากมาย ขายทั้งแผ่นเสียง เสื้อผ้าวินเทจคุณภาพดี รอบนี้เราบังเอิญไปเจอรองเท้าคู่นึง United Arrows x New Balance Model: 550 "Ecru Grey" น่าทุบมาก นอกจากนี้ยังมีคราฟท์คาเฟ่ และโรงเบียร์ที่มีการจัดแสดงศิลปะ และวงดนตรีสด ขณะที่ร้านเบเกอรี่ และบิสโตรก็จะเสิร์ฟขนมและอาหารสูตรพิเศษ เช่น แกงกะพรี่ผักรวม หากใครสนใจละครเวทีนอกกระแส ที่ Honda Theatre ก็มักจะเป็นที่เดบิ๊วท์ละควรหลายๆเรื่อง สรุปคือย่าน Shimokitazawa นี้เที่ยวเพลินเดินสนุก แถมอยู่ห่างเพียง 3 สถานีจากชิบูย่าเท่านั้น Bear Pond Espresso ต้นกำเนิดเมนู “The Dirty” แก้วแรกของโลกอยู่ที่นี่ ร้าน Bear Pond Espresso ย่าน Shimokitazawa นมนัวมากเมื่อดื่มพร้อมริสเทรตโต้ (ครึ่งช็อตเอสเพรสโซ่) ด้านบน คือเข้ากันสุดๆ แต่สูตรต้นตำรับที่นี่จะต่างจากร้านในไทยตรงที่ไม่มีความหวานเลยนะครับ และใช่! แพชชั่นของร้านนี้คือกาแฟ ไม่ใช่การบริการ…. ฮ่าๆๆ เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวัน 11:00–20:30 การเดินทาง: ลงสถานี Shimo-Kitazawa เดินต่ออีก 4 นาที Location: https://goo.gl/maps/ggfNyJRv1Amv9EYo7 Reload คอมมูนิตี้มอลแบบโอเพ่นแอร์แห่งใหม่ ไม่ไกลจากใจกลางโตเกียว ที่นี่มีทั้งร้านอาหารหลายสัญชาติ คาเฟ่ ร้านเครื่องเขียน ร้านตัดผม ร้านหนังสือ ร้านขายของใช้ในบ้าน เดินเพลินสุด หยุดเกือบทุกร้านเลยครับ เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวัน 10:30–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Shimo-Kitazawa เดินต่ออีก 8 นาที Location: https://goo.gl/maps/ccR48xKSsmKMaXmJ6 APFR ร้านเครื่องหอมชื่อดังจากจังหวัดชิบะ ญี่ปุ่น เน้นงานฝีมือตั้งแต่การปรุงกลิ่น ผลิตเครื่องหอม ไปจนถึงการบรรจุหีบห่อและจัดส่ง ร้านนี้มีสินค้าเกี่ยวกับเครื่องหอมที่หลากหลายมาก เช่น น้ำมันหอม เทียน สบู่ล้างมือ ไปจนถึงสเปรย์แอลกอฮอล แต่เราติดใจธูปของร้านนี้มาก เพราะเคยซื้อไปลองแล้วกลิ่นหอมติดห้องมากกกกก เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวัน 11:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Shimo-Kitazawa เดินต่ออีก 8 นาที Location: https://goo.gl/maps/dPF18eRxoXCHQ4nu6 Shibuya Parco สำหรับเราเป็นแฟนห้างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร นอกจากสินค้าที่หลากหลายแล้ว เราชอบการออกแบบพรีเซ้นต์ให้แต่ละสาขาในญี่ปุ่นมีคาเรคเตอร์ที่แตกต่างกันไป น่ารักมากๆครับ ที่สาขาชิบูย่าล่าสุดนี้ เค้าคัดสรรรวมเอาสินค้าดีๆจากทุกแบรนด์ทั่วทุกมุมโลกมาไว้ด้วยกัน การตกแต่งแต่ละร้านนั้นเหมือนหลุดออกมาจากจินตนาการเลย ใครผ่านมาชิบูย่าอย่าลืมแวะที่นี่น้า เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวัน 11:00–21:00 การเดินทาง: ลงสถานี Shibuya เดินต่ออีก 4 นาที Location: https://goo.gl/maps/YnN7qdXLEeeTaVvb8 Miyashita Park แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางชิบูย่า เดินเพียงไม่กี่ก้าวจากสถานีชิบูย่า ก็จะเจอกับแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางเมือง ที่รวมเอาลานสเก็ต สนามวอลเล่บอลทราย หน้าผาจำลอง สวนสาธารณะ ที่ช้อปปิ้ง ที่แฮงเอ้าท์ ที่กิน ที่ดื่มเข้ากันด้วยกัน เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวัน 11:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Shibuya เดินต่ออีก 1 นาที Location: https://goo.gl/maps/yJE1JchvdqkHRbox6 KITH TREATS TOKYO ร้านขายเสื้อผ้ากับรองเท้าจากนิวยอร์กพร้อมกับ KITH Treats สำหรับคนที่อยากทางของหวานสูตรพิเศษจากทางร้าน มีทั้งไอศครีม คุกกี้ ขนม รวมไปถึงเครื่องดื่มด้วย ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะมิยาชิตะ ตอนเราไปมีพี่พนักงานเป็นลูกครึ่งไทย ญี่ปุ่น พูดได้สามภาษาเลยเก่งมาก บริการดีด้วย เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวัน 11:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Shibuya เดินต่ออีก 1 นาที Location: https://goo.gl/maps/k5PGf8aJsFUZBrwz5 The Departure by Jean Jullein ผลงานของศิลปินทัศนศิลป์ Jean Jullien เป็นงาน Installation Art ล่าสุดในโถงกลางของห้าง Ginza Six คุณ Jullien สร้างสรรค์งานศิลปะที่เปลี่ยนแปลงท่าทาง สุดทะเล้นตลอดเวลา ทั่วโลก "The Departure" เป็นงานแสดงชิ้นแรกของเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศที่มีขนาดใหญ่มากๆ เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวัน 10:30–20:30 การเดินทาง: ลงสถานี Ginza เดินต่ออีก 3 นาที Location: https://goo.gl/maps/gftfsKXDHmNNfcrU8 LOUIS VUITTON GINZA NAMIKI ตึกที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผิวน้ำอ่าวโตเกียว วาร์ปมาย่าน Ginza สวรรค์ของนักช้อปปิ้งและผู้หลงไหลในงานสถาปัตยกรรมและการออกแบบกันบ้าง เพราะกว่า 80% ของตึกย่านนี้มักจะผ่านฝีมือการออกแบบของดีไซน์เนอร์ชื่อดังระดับโลกมากมายเลย และล่าสุดตึก LV ย่าน Ginza นี้ก็ได้ปรับโฉมโดยคุณ Jun Aoki สถาปนิกชาวญี่ปุ่น และ คุณ Peter Marino สถาปนิกชาวเมริกัน สวยสะดุดตาด้วยความพลิ้วไหลและสีเหลือบสะท้อนราวกับเอา Texture ของผิวน้ำในอ่าวโตเกียวมาแปะเป็นผนังอาคารเลยล่ะ ใครผ่านมากินซ่าอย่าลืมแวะได้น้าาาา เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวัน 11:00–20:00 การเดินทาง: ลงสถานี Ginza เดินต่ออีก 3 นาที Location: https://goo.gl/maps/494cXXAa9AcAB5dn7 ดีลพิเศษเฉพาะชาว #Hopster เท่านั้น Exclusive Deals with Hoparond.co โรงแรม DDD HOTEL ราคาพิเศษ โรงแรม The Tokyo EDITION Toranomon ราคาพิเศษ โรงแรม Toggle hotel suidobashi ราคาพิเศษ โรงแรม ONSEN RYOKAN YUEN SHINJUKU ราคาพิเศษ โรงแรม sequence MIYASHITA PARK ราคาพิเศษ โรงแรม Andaz Tokyo Toranomon Hills ราคาพิเศษ โรงแรม MUJI HOTEL GINZA ราคาพิเศษ บัตรเข้าชม Warner Bros. Studio Tour Tokyo – The Making of Harry Potter Ticket พิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัล TeamLab Planets TOKYO | โตเกียว ญี่ปุ่น บัตรขึ้นจุดชมวิว "ชิบูย่า สกาย" (Shibuya Sky) | ซื้อแล้วรับบัตรได้ทันที (บัตรอิเล็กทรอนิกส์) เที่ยวสวนสนุกญี่ปุ่น | บัตรเข้าโตเกียวดิสนีย์รีสอร์ต (Tokyo Disney Resort) 1 วัน
- NAOSHIMA เที่ยวเกาะศิลปะนาโอชิมะ
เที่ยวเกาะนาโอชิมะ เกาะศิลปะ เกาะ Naoshima และ Teshima อาจจะเป็นเพียง 2 จุดเล็กๆบนแผนที่ประเทศญี่ปุ่นที่แม้แต่คนญี่ปุ่นบางคนก็ยังไม่รู้จัก แต่จุด 2 จุดนี้มีเรื่องราวที่ไม่ธรรมดา จากชุมชนที่ครั้งหนึ่งเคยต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมเหล็กของบริษัท Mitsubishi เป็นแหล่งรายได้หลัก ก่อนที่จะค่อยๆซบเซาลงจนประชากรเหลือไม่ถึงครึ่ง วันนี้ศิลปะและสถาปัตยกรรมได้เข้ามาช่วยชุบชีวิตและความงดงามให้บานสะพรั่งบนเกาะทั้งสองอีกครั้ง มาเถอะ ชาว #hopsters มา #hoparound ไปสำรวจรอบๆเกาะทั้งสองนี้กัน แต่โพสนี้เรามาเริ่มกันที่ Naoshima กันก่อนดีกว่าเนอะ โรงแรมแนะนำใน Uno Port + Naoshima พร้อมดีลพิเศษ SETOUCHI KEIRIN HOTEL 10 by Onko Chishin Bamboo Village Guest House UOGASHI 7070 Ocean View MY LODGE Naoshima Vacation House Day Naoshima Ryokan Roka 暮らすように過ごすNagi unoport Uno station มาเริ่มกันที่สถานี Uno station เป็นสถานี รถไฟปลายทางที่จะต่อเรือไปยังเกาะนาโอชิมะ แค่สถานีก็แต่งเป็นภาพกราฟิกลวงตา ทำให้เรารู้สึกได้ว่างานอาร์ตกำลังเริ่มต้นแล้วววววว เกาะ Naoshima นั้นมีขนาดกว่า 14 ตร.กม. ตั้งอยู่ในจังหวัดคากาว่า (香川 / Kagawa) ซึ่งเป็นจังหวัดที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่น การจะเที่ยวได้รอบๆเกาะนั้นเราควรจะมีเวลาเที่ยวอย่างน้อย 2 วันถึงจะครอบคลุมแบบไม่รีบจนเกินไป วิธีเดินทางที่เราคิดว่าดีที่สุดก็คือการปั่นจักรยานไฟฟ้าสูดอากาศสะอาดๆและเสพงานศิลป์ไปรอบเกาะ ถ้าหากอากาศเป็นใจคุณจะได้รับความอิ่มอกอิ่มใจไปแบบเต็มๆ วิธีไปเกาะนาโอชิมะ วิธีการเดินทางไปเกาะนาโอชิมะ การเดินทางมายังตัวเกาะนาโอชิมะนั้น มีหลายวิธีมาก แต่ที่เราจะแนะนำคือขึ้น "รถไฟ" แล้วต่อ "เรือ" ถ้าใครที่มาจากโอซาก้า เราขอแนะนำให้เพื่อนๆเริ่มต้นจาก 1. สถานีรถไฟ Shin-Osaka Station โดยขึ้นรถไฟขบวน Tokaido-Sanyo Shinkansen ที่มุ่งหน้าไปทาง のぞみHakata 2. จากนั้นมาลงที่สถานีรถไฟ Okayama Station แล้วเปลี่ยนรถไฟไปเป็น JR สาย Seto-Ohashi Line มุ่งหน้าไปทาง 快速Takamatsu 3. จากนั้นให้เปลี่ยนรถไฟที่สถานี Chayamachi Station โดยขึ้นรถไฟ JR สาย Uno Line ซึ่งจะมุ่งหน้าไปทาง 各停Uno 4. แล้วให้ลงสถานีสุดท้ายปลายทางคือ Uno Station แล้วเดินไปขึ้นเรือที่ท่า Uno Port เพื่อไปลงที่เกาะนาโอชิมะ หรือใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม ให้เข้าไปตามลิ้งค์นี้ได้เลยครับ http://benesse-artsite.jp/en/access/ ที่เที่ยวบนเกาะนาโอชิมะ ตัวเกาะนาโอชิมะแบ่งเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ 1) Miyanoura อยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะ โซนนี้มีท่าเรือหลัก มีหมู่บ้าน ร้านอาหารเล็กน้อย ร้านให้เช่าจักรยาน และ 7-11 (น่าจะเป็นไม่กี่ร้านบนเกาะ) 2) Honmura อยู่ฝั่งตะวันออก มีท่าเรือเล็กกว่า แต่มีร้านรวงมากกว่า ทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และคาเฟ่ รวมถึงเป็นที่ตั้งของบ้านร้างที่ถูกปรับให้เป็นที่แสดงงานศิลปะหลายหลังในโครงการ Art House Project และ Ando Museum 3) Benesse House Area อยู่ทางทิศใต้ของเกาะ โซนนี้จะเน้นหนักไปที่มิวเซียมจริงจัง และโรงแรมที่พัก ไม่ค่อยมีร้านค้าและร้านอาหารด้านนอกสักเท่าไหร่ เราใช้เวลานั่งเรือชมวิวได้ไม่นานก็มาถึงตัวเกาะนาโอชิมะแล้ว Naoshima Tourism Association มาถึงท่าเรือซึ่งจะเป็นจุดสตาร์ทของเราในทริปนี้ โดยที่นี่จะมีล็อกเกอร์ฝากของ ที่นั่งพัก ที่ซื้อตั๋ว ขายอาหาร ของฝาก ห้องน้ำและเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่มีไกด์ท้องถิ่นคอยบริการเพื่อนๆ ด้วย การเดินทางบนเกาะ การเดินทางบนเกาะนั้นมีให้เลือกตั้งแต่รสบัส ที่จะจอดทุก stop ที่มีงานศิลป์และมิวเซี่ยมอยู่ หรือการเช่ารถยนต์ แต่เราเลือกเช่าจักรยานไฟฟ้า เพราะสะดวกดี อยากจะแวะจุดไหนถ่ายรูปก็ได้เลย Red Pumpkin (赤かぼちゃ) - Yayoi Kusama เมื่อมาถึงที่ท่าเรือก็จะมี เจ้าฟักทองสีแดงของคุณป้ายาโยอิออกมาต้อนรับ ตั้งอยู่เด่นมาก แถมเรามาตอนที่คุณลุงกำลังซ่อมและแต่งเติมสีเจ้าฟักทองอยู่พอดี ปฏิบัติการพลิกโฉม Naoshima ด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมเป็นโครงการระยะยาวกว่า 30 ปี เริ่มมาตั้งแต่ปี 1985 ตามวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งบริษัท Benesse Corporation ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาและสิ่งพิมพ์ (เจ้าของโรงเรียนสอนภาษา Berlitz) และนายกเทศมนตรีของเกาะ Naoshima ในขณะนั้นที่ต้องการสร้างพื้นที่ทางการศึกษาและวัฒนธรรมบนเกาะในเขตทะเลปิดเซโตะ (Seto Inland Sea) ให้กับเด็กๆทั่วโลก Mikazukishoten ”ミカヅキショウテン” เราโชคดีที่วันที่เราไปนั้นอากาศดี๊ดี เราสามารถปั่นจักรยานได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เราแวะร้านคาเฟ่ (กาแฟดีมาก!) ร้านนี้ชื่อร้าน Mikazukishoten เป็นร้านที่อร่อยมาก ภายในร้านก็มีขายของกระจุกกระจิกน่าเสียตังเป็นอย่างยิ่ง แถมพ่อค้าก็ใจดีแนะนำหลายๆอย่างให้ทำบนเกาะอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็น Local guide ที่ดีเลย ข้อมูลเพิ่มเติม > http://www.mikazukishoten.jp Hours: 8:30 am - 17:00 pm Closed: Thursday Location: https://goo.gl/maps/aaRqBzT6fYNbAoF97 Naoshima Bath "I❤湯 (I Love YU)" - Shinro Ohtake Naoshima Bath 「I♥湯」 นี่ก็เป็นห้องอาบน้ำสาธารณะที่ตกแต่งได้สวย สะดุดตา ดูสนุกมาก ไปครั้งหน้าก็อยากไปแวะแช่ออนเซ็นเหมือนกันนะนี่ เป็นหนึ่งในผลงานศิลปะของเกาะแห่งนี้เช่นกัน Naoshima Bath "I❤湯" Hours: 13:00 ~ 21:00 (Last reception 20:30) Closed: Mondays *Open on national holidays closed on the following day Admission: JPY 660 ประมาณ 198 บาท Location: https://goo.gl/maps/Di2L1Lk7mQCSmqtb8 Naoshima Pavilion ( 直島パヴィリオン ) ออกแบบโดยศิลปินชาวญี่ปุ่นชื่อ Sou Fujimoto Location: https://goo.gl/maps/BYhLxoMnCEDZiFeG6 Benesse House Museum หลังจากพูดคุยและทดลองมาหลายปี โปรเจ็คท์ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นบนที่ดินผืนใหญ่ทางตอนใต้ของเกาะ โดยมี Tadao Ando สุดยอดปรมาจารย์สถาปนิกอัจริยะชาวญี่ปุ่นชื่อดังระดับโลก (ถ้าจะอวยกันขนาดนี้...) ที่ชำนาญในการใช้วัสดุคอนกรีตมาสร้างเป็นโครงสร้างรูปทรง Minimalist เพื่อล้อกับแสงธรรมชาติที่ให้อารมณ์แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงของวัน มาออกแบบตัวอาคาร Benesse House Museum ซึ่งเป็นทั้งพิพิธภัณฑ์และโรงแรม เปิดตัวในปี 1992 เป็นหลังแรก คอนเส็ปต์ของ Benesse House Museum นั้นเน้นให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันของธรรมชาติ สถาปัตยกรรม และศิลปะ พื้นที่หลายส่วนของอาคารจึงถูกฝังอยู่ใต้ดินเพื่อไม่ให้รบกวนทัศนียภาพของเกาะ แม้อาคารจะมีอายุถึง 26 ปีแล้ว เรายังรับรู้ได้ถึงความคูลที่ไม่ล้าสมัยเลยแม้แต่น้อย และทุกๆมุมที่เราหันไปก็ยังคงสร้างความว้าวให้กับเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ Benesse House Museum Hours: 8:00 am - 21:00 pm (Last admittance: 20:00 pm) Closed: Open year-round Open Days Calendar Admission: JPY 1,050 ประมาณ 315 บาท (ด้านในโซนแกลเลอรี ห้ามถ่ายรูปนะครับ แต่เราก็หารูปมาฝากกันนน) Location: https://goo.gl/maps/97qoReZdDaFcYGGSA © Trent McBride Hiroshi Sugimoto " Time Exposed" , 1980-97 © Forgemind ArchiMedia Kan Yasuda The Secret of the Sky , 1996 © skrytebane Bruce Nauman " 100 Live and Die" , 1984 George Rickey "Three Squares Vertical Diagonal", 1972-82 Dan Graham " Cylinder Bisected by Plane" , 1995 Shinro Ohtake " Shipyard Works: Stern with Hole" , 1990 © Todd Lappin Walter De Maria " Seen/Unseen Known/Unknown" , 2000 Yayoi Kusama "Yellow Pumpkin" , 1994 นอกจากมิวเซี่ยมที่ต้องเสียเงินเข้าชมแล้ว สิ่งที่ทำให้เราตกหลุมรัก Naoshima อย่างจังก็คือการได้ขี่จักรยานไฟฟ้า (ย้ำว่าต้องไฟฟ้า ไม่งั้นต้องปั่นขึ้นเนินกันน่องแตก จากรักอาจจะกลายเป็นเกลียดได้เลย) ชมธรรมชาติ (เราเจอหมูป่าอยู่ข้างมิวเซี่ยมด้วย) และตามล่างาน installation กลางแจ้งตามลายแทงรอบเกาะ เช่นงานฟักทองลายจุดของคุณยาย Yayoi Kusama ในตำนานที่โผล่มาทักทายกันตั้งแต่ลงจากเรือ และอีกฝากหนึ่งของเกาะ Hours: 24HRs OPEN: EVERYDAY Admission: FREE Location: https://goo.gl/maps/HbZHas2cwkLXtbYeA Chichu Art Museum Tadao Ando ได้ฝากผลงาน Masterpiece ด้านสถาปัตยกรรมไว้บนเกาะแห่งนี้รวม 8 แห่ง ที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็น Chichu Art Museum ที่สร้างเสร็จในปี 2004 (ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง!!) โดยมีตัวอาคารทั้งหมดฝังอยู่ใต้ดินลึกลงไป 3 ชั้นแต่แสงธรรมชาติก็ยังสามารถส่องทะลุลงมาได้อย่างเหมาะเหม็ง และเมื่อมองจากมุมสูงก็จะเห็นอาคารเป็นรูปทรง 3 เหลี่ยมและ 4 เหลี่ยมหลายอันเรียงรายฝังอยู่ใต้ผิวดิน แค่เพียงก้าวเท้าเข้าไปสู่ Chichu เราก็สัมผัสได้ถึงน้ำหนักของความสงบและงดงาม (ไม่ได้พูดเว่อร์นะ) โดยเฉพาะห้องแรกที่แสดงภาพวาดดอกบัวในบึงโดยฝีแปรงของ Claude Monet ขนาดใหญ่มหึมา 5 ภาพ แม้เราจะเคยชมงานของ Monet จากที่อื่นมาบ้างแล้ว แต่คราวนี้ต่างไป อาจจะเพราะขนาดของงานและความโอ่โถงของห้อง เรารู้สึกราวกับถูกร่ายมนตร์ใส่ให้ตกตะลึงอยู่ในห้วงความงดงามที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง Chichu Art Museum Hours: March 1 - September 30 10:00 am - 6:00 pm (Last admittance: 5:00 p.m.) October 1 - last day of February 10:00 am - 5:00 pm (Last admittance: 4:00 p.m.) Closed: Mondays Admission: JPY 2,100 ประมาณ 630 บาท(ราคาสูงแต่เราว่าคุ้มมากๆ ที่ได้เข้าไปชมอะไรดีๆของศิลปินระดับโลก) (ด้านในโซนแกลเลอรี ห้ามถ่ายรูปนะครับ *แต่เราก็นำรูปจากในกูเกิ้ลมาให้ดูเป็นตัวอย่างกัน) Location: https://goo.gl/maps/n8h3VhkfCyELR4GC7 เราต้องเดินมาซื้อตั๋วกันก่อนที่นี่ ก่อนเดินข้ามฝั่งไปยังมิวเซี่ยม Chi Chu Art Museum ได้ตั๋วมาแล้ว ไปลุยกันเลยยยย ส่วนทางเข้าตึกนี้จะอยู่อีกฝั่งของถนนนะครับ แค่ทางเดินเข้ายังสวยขนาดนี้เลยยยย Claude Monet " Water Lilies series" © benesse-artsite.jp Walter De Maria งาน installation ถาวร โดย Walter de Maria ที่ยิ่งใหญ่มากๆ Walter De Maria ( วอลเตอร์เดอมาเรีย) เกิดในปี 1935 ในอัลบานี แคลิฟอร์เนียเรียนด้านประวัติศาสตร์และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านศิลปะจากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียบาร์กลีย์ 1953 ถึง 1959 และเสียชีวิตไปเมื่อ 2013 (ตอนอายุ 77) © Iwan Baan James Turrell "Open Field" (2000) ด้านในเป็น space สีน้ำเงินสามารถเดินเข้าไปด้านในได้ด้วย © Iwan Baan James Turrell " Open Sky" (2004) และยังมีงานศิลปะที่เล่นกับแสงของ James Turrell โดยเฉพาะงานที่ชื่อ Open Sky ที่เราสามารถลงชื่อจองสิทธิพิเศษล่วงหน้าเพื่อเข้าร่วม Night Program ไปชมแสงยามตะวันตกดิน (หรือตกน้ำหว่า?) หลังพิพิธภัณฑ์ปิดได้ด้วย และที่นี่ยังมีคาเฟ่ร้านอาหารให้นั่งพักชิลชมวิวทะเลเซโตะอุจิกันด้วยนะ © benesse-artsite.jp Lee Ufan "Lee Ufan Museum" พิพิธภัณฑ์ Lee Ufan เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งใกล้กับ Benesse House Museum เปิดให้เข้าชมเมื่อปี 2010 ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Lee Ufan ศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับสากลเป็น ศิลปินร่วมสมัยชาวเกาหลี Lee Ufan มาทำงานเป็นอาจารย์สอนในประเทศญี่ปุ่นด้วย ซึ่งปัจจุบันมีฐานอยู่ที่ยุโรปเป็นหลักและสถาปนิก Tadao Ando โครงสร้างกึ่งใต้ดินที่ออกแบบโดย Ando เป็นที่ตั้งของภาพวาดและประติมากรรมโดย Lee ซึ่งประกอบไปด้วยช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1970 ถึงปัจจุบันผลงานของ Lee สะท้อนกับสถาปัตยกรรมของ Ando ทำให้ผู้เข้าชมประทับใจทั้งความนิ่งสงบและพลศาสตร์ และมหาสมุทร พิพิธภัณฑ์มีพื้นที่อันเงียบสงบที่ธรรมชาติ สถาปัตยกรรมและศิลปะเข้ามาผนวกกัน Lee Ufan Museum Hours: March 1 - September 30 10:00 am - 6:00 pm (Last admittance: 5:30 p.m.) October 1 - last day of February 10:00 am - 5:00 pm (Last admittance: 4:30 p.m.) Closed: Mondays Admission: JPY 1,050 ประมาณ 315 บาท Location: https://goo.gl/maps/dqidYM6Qu9Z8kKEb7 วิวทะเลที่นี่สวยมากจริงๆ รถมินิบัสที่นี่จะจอดทุกป้ายที่มีงานศิลป์และพิพิธภัณฑ์เลยนะ แต่คันนี้ จอดพักอยู่ในอู่ Naoshima District Naoshima Elementary School โรงเรียนแห่งเดียวบนเกาะนาโอชิมะ เราชอบตึกนะ เท่ดี แวะทานมื้อเที่ยงกันที่ Yayoda 八代田 จากนั้นเราปั่นกันต่อไปเรื่อยๆ จนถึงฝั่ง Honmura port แล้วแวะกินข้าวเที่ยงที่ร้าน Yayoda (Kaisen Cuisine) ซึ่งร้านนี้จะเป็นอาหารทะเลท้องถิ่นที่สดและอร่อยมากกกกกก สไตล์โฮมมี่หน่อยๆ มีปลา หอย ปู หลากชนิดที่เราไม่เคยกินที่เมืองอื่นมาให้เลือกสั่งเพียบบบบ และยังมีสาเกจากจังหวัดต่างๆด้วยนะ Yayoda Hours: 12:00–14:30 pm., 18:00–20:30 pm. Closed: Mondays Price: JPY 300-1,500 เริ่มต้นประมาณ 90 บาท แต่ถ้าสั่งเป็นเซ็ทก็จะตกอยู่ที่เซ็ทละ 450 บาทเท่านั้น ถือว่าถูกมาก เพราะอาหารสดมาก Location: https://goo.gl/maps/bpQ6wWiU2dpiKrPBA Miyaura Port Terminal เป็นทั้ง Installation Art และเป็นทั้งที่จอดรถ ดูเผิญๆเหมือนก้อนไรกลมๆ แต่จริงๆแล้วดีไซน์เนอร์ได้รับแรงบันดาลใจมากจากเจ้าก้อนเมฆนั้นเอง Location: https://goo.gl/maps/wuuhCsab85HGB3AM7 Art House Project "Haisha" - Shinro Ohtake Shinro Ohtake "Dream on the Tongue/Peek at the Boccon" 2006 Art house project จะมีอยู่ทั่วเกาะเลยนะครับ เพื่อนๆสามารถซื้อตั๋วแบบเหมาได้เลย Location: https://goo.gl/maps/DdCGecSCSbA18b3z8 Honmura Lounge & Archive แล้วเราก็ขับจักรยานผ่านมาที่ ศูนย์ข้อมูลบริการนักท่องเที่ยว ซึ่งมีทั้งที่นั่งพัก ห้องน้ำ และของที่ระลึกขายกันทุกรูปแบบ ทำให้เสียตังค์กันอีกล้าว ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเน้นขายของมีดีไซน์ จากชุมชน และศิลปินต่างๆ รวมไปถึงงานของคุณยาย Yayoi ด้วยนะ ออกแบบโดย สถาปนิก Ryue Nishizawa Honmura Lounge & Archive Hours: 10:00 am. ~ 16:30 pm. Closed: Mondays Admission: Free Location: https://goo.gl/maps/CzXsHChg6C2UeddJ6 Minamidera - James Turrell "Backside of the Moon" 1999 Design: Tadao Ando © archive.jamesturrell.com อีกที่ที่เรา Recommend ก็คือ Minamidera ในโซน Honmura ซึ่งเป็นหนึ่งในอีกผลงานของ Tadao Ando และอยู่ใน Art House Project ที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นวัดมาก่อน Ando จึงใช้เทคนิคเดียวกันกับการสร้างวัดญี่ปุ่นสมัยก่อนที่ไม่มีการใช้ตะปูเลยแม้แต่ตัวเดียวเพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ ภายในอาคารหน้าตาเรียบง่ายนี้ มีการจัดแสดงงานของ James Turrell ที่ชื่อ Backside of the Moon ข้างในเราได้ถูกพาไปสัมผัสความมืดสนิท และได้เรียนรู้เกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของดวงตาตัวเองที่ค่อยๆกินความมืดเป็นอาหารจนสามารถมองเห็นในได้ชัดขึ้นเรื่อยๆแม้ในที่อับแสง Minamidera - James Turrell "Backside of the Moon" Hours: 10:00 am. ~ 16:30 pm. Closed: Mondays Last admission: 16:15 Location: https://goo.gl/maps/mpF2K2xMZ688skki6 ANDO MUSEUM - Tadao Ando และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชม (ด้านในโซนแกลเลอรี ห้ามถ่ายรูปนะครับ) Hours: 10:00 am - 16:30 pm (last admission 16:00) Closed: Mondays Admission: JPY 520 ประมาณ 156 บาท Location: https://goo.gl/maps/DEbXSrbZZRkGR6QM9 Naoshima Hall - Hiroshi Sambuichi Design by Sambuichi Architects เป็นอาคารอเนกประสงค์ของเมืองนาโอชิมะ ที่เคยได้รับรางวัลจากนิตยสารระดับโลกอย่าง Wallpaper* ในโครงการ Design Award in Best New Public Building category ปี 2017 Naoshima Hall แห่งนี้เป็นสถานที่สาธารณะสำหรับผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นเท่านั้นและไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้แต่เพื่อนๆสามารถดูจากด้านนอกได้ตลอดเวลา สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่นี่สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ทางการของเมือง Naoshima ที่นี่ตอนกลางคืนก็สวยไปอีกแบบนะ ในวันนี้ Naoshima มีข้อเสนอดีๆและความสะดวกสบายจะหยิบยื่นให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากมาย กว่า 30 ปีได้ผ่านไป พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ งานดีไซน์ งาน installation โดยศิลปะระดับโลกต่างๆก็ทยอยผุดขึ้นกระจายตัวไปทั่วทั้งเกาะ Naoshima และเกาะใกล้เคียง ตามด้วยร้านค้า และธุรกิจท้องถิ่น ส่งผลให้เกาะที่เคยเกือบร้างกลับมามีชีวาอีกครั้ง ในปี 2016 ที่ผ่านมางานศิลปะ Setouchi Trenniale ครั้งล่าสุดที่จัดขึ้นบนเกาะต่างๆนี้ ก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมาได้มากกว่า 1 ล้านคน แม้ในวันที่เราอยู่บนเกาะ เราอาจเจอผู้คนไม่มากนัก และในบางจังหวะเราก็รู้สึกถึงความเงียบราวกับอยู่ในเมืองร้าง แต่นั่นไม่ใช่ความเงียบเหงาวังเวง ในความเงียบนั้น เรารู้สึกปลอดภัยและสบายใจไปกับจังหวะชีวิตที่เนิบช้า ในความเงียบนั้น เรารับรู้ได้ถึงชีวิตที่นิ่งสงบมั่นคง จนอยากจะกด save เอาอารมณ์นั้นเก็บมาใช้ต่อที่เมืองไทยไปอีกนานๆ บางอย่างบอกเราว่า Naoshima น่าจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ในอีกไม่นาน เราก็รู้สึกได้ว่าความเงียบคงมีเวลาอีกไม่นาน ก่อนที่มันจะถูกทำลายกลายเป็นความจอแจของนักเช็คอินที่เมามันกับการถ่ายรูปลงสื่อโซเชี่ยล และถ้าหากคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้ เราหวังว่าคุณจะหาเวลาไปเสพความดีงามของ Naoshima ในบรรยากาศที่ยังน่ารื่นรมย์ก่อนที่อะไรต่างๆจะเปลี่ยนไป แล้วพบกันใหม่กับเทศกาล Setouchi Art ครั้งต่อไปปปป #LetsHOParoundJapan สำหรับรีวิวเกาะเตชิมะ (Teshima) คลิ๊กที่นี่เลยยย FB/IG: @hoparound.co Youtube: hoparound.co Website: www.hoparound.co credit: http://setouchi-artfest.jp/en/ , http://benesse-artsite.jp/en/art/ #Naoshima #ArtSetouchi #LetsHoparound #Japan #Kagawa #เที่ยวเกาะศิลปะ #เที่ยวนาโอชิมะ #เกาะศิลปะ #นาโอชิมะ #รีวิวเกาะศิลปะ #รีวิวนาโอชิมะ #วิธีไปนาโอชิมะ #เที่ยวญี่ปุ่น #ชมงานศิลปะ #มิวเซียม #แกลเลอรี่ #เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง #SetouchiArt # Setouchi Triennale
- Centara Reserve Samui ปฐมบทแบรนด์ใหม่สู่ความใส่ใจสูงสุดจากเซ็นทารา
Centara Reserve Samui Centara Reserve Samui ปฐมบทแบรนด์ใหม่สู่ความใส่ใจสูงสุดจากเซ็นทารา น่าตื่นเต้นมากๆครับที่เราอยู่ในยุคที่ได้เห็นแบรนด์โรงแรมไทยก้าวกระโดดไปสู่แถวหน้าของมาตรฐานระดับโลก นี่คือประสบการณ์ใหม่ที่เพื่อนๆสามารถเข้าไปสัมผัสได้ก่อนใคร นี่คืออีกขั้นของการพักผ่อนที่ลักชัวรี่และเป็นส่วนตัว และนี่คือ Centara Reserve แห่งแรกของโลก ณ หาดเฉวงอันเงียบสงบ เกาะสมุย ประเทศไทย จากสุดยอดทำเลของ Centara Grand Beach Resort Samui ที่ให้บริการมาถึง 23 ปีบนพื้นที่กว่า 20 ไร่บนหาดเฉวงที่สวยที่สุดของเกาะสมุย AvroKo ทีมดีไซน์ระดับโลกผู้เชี่ยวชาญการออกแบบ Luxury Hospitality Properties โดยเฉพาะได้รับมอบหมายให้เนรมิตงานสถาปัตยกรรมขึ้นใหม่ทั้งหมด (จะยกเว้นก็เพียงเสาเท่านั้น) เพื่อพลิกโฉมสถานที่แห่งนี้ให้รองรับแบรนด์โรงแรมใหม่ที่ทั้งทันสมัยและละเมียดละไมกว่าเดิม ด้วยเงินทุนหนาตึ้บกว่า 1,200 ล้านบาท หลังจากปิดปรับปรุงไปเกือบ 2 ปีครึ่ง (ตั้งแต่ก่อนโควิดระลอกแรกซะอีก) Centara Reserve แห่งแรกของโลกก็ถือกำเนิดขึ้นอย่างสมเกียรติ พร้อมปักธงเป็นแบรนด์ Lifestyle Luxury Resort ระดับสูงสุดของเครือ Centara นับเป็นอีกก้าวที่น่าจับตามองอย่างมากสำหรับวงการโรงแรมแบรนด์ไทย วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปชมความหรูหราแบบ Next Level ไปพร้อมๆกันครับ BOOK NOW จองห้องพักได้ที่นี่ คลิ๊กชมวิดิโอได้ที่นี่เลย A Ride To Centara Reserve Samui เมื่อเรามาถึงสนามบินก็มีรถหรูจากโรงแรมมารอรับ ภายในรถก็มีขนมและน้ำดื่มติดแบรนด์ Centara Reserve เตรียมไว้ให้บริการพร้อมสรรพ การเริ่มต้นที่ดีนั้นมีชัยไปกว่าครึ่ง ตื่นเต้นจัง อยากรู้ว่าตัวโรงแรมจะดีเลิศขนาดไหน The Arrival: A Warm Welcome With Reserve Touch จากสนามบินเกาะสมุย ใช้เวลาเพียง 15 นาที รถของโรงแรม (ใครโชคดีอาจได้รถ Mercedez Benz ไปรับด้วยนะครับ) ก็พาเรามาพบกับพนักงานต้อนรับที่จุด Drop-off ก่อนเข้าไปยัง Lobby เราได้รับดอกดาวเรืองมาคนละดอก พนักงานแนะนำให้เราอธิฐานถึงสิ่งที่เราอยากได้แล้วลอยดอกดาวเรืองลงไปยังสระน้ำหน้าล็อบบี้ ถือเป็น Welcome Ritual ที่พิเศษและช่างคิดช่างทำมากๆ ที่สำคัญคือสอดคล้องกับแนวคิดของแบรนด์ Reserve ที่ต้องการให้แขกแต่ละคนได้รับประสบการณ์เฉพาะบุคคล ไม่ซ้ำใคร และการอธิฐานก่อนเข้าพักก็เป็นการสร้างความประทับใจแรกแบบส่วนตัวอย่างแท้จริง ความประทับใจต่อมานั้นหนีไม่พ้นความสวยแกรนด์แสนเกรียงไกรของ Lobby ที่ออกแบบมาเพื่อ ”ว้าว” แขกได้อยู่หมัด พูดแบบไม่อวยก็คือที่นี่น่าจะเป็นหนึ่งใน Lobby โรงแรมที่เราประทับใจที่สุดในรอบหลายๆปีที่เราเดินทางมาเลยครับ เพดานที่สูงพิเศษ พื้นที่ที่เปิดโล่งกว้าง มิกซ์ของวัสดุที่เลือกใช้ รูปทรงเฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ และเครื่องตกแต่งทุกชิ้น พาเล็ทท์สีขาว-น้ำตาล-เขียวที่สะอาดตา แสงธรรมชาติที่ทอดเข้ามา รวมไปถึงวิวศาลาริมทะเลที่เป็น ICON ของโรงงแรมมาแต่เดิม (แต่คราวนี้ได้รับการอัพเกรดใหม่) องค์ประกอบทั้งหมดเมื่อมารวมกันแล้วต้องบอกว่า “จึ้ง” ที่สุด ขออนุญาตให้ภาพทำหน้าที่บรรยาย “ความจึ้ง” นะครับ แต่ยังไงภาพถ่ายก็ยังไม่เหมือนกับการได้ยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆอยู่ดี นี่คงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ "Reserve Space” หนึ่งใน 4 องค์ประกอบหลักของประสบการณ์แบบ Reserve ที่ทางแบรนด์วางเอาไว้ ระหว่างรอเช็คอิน เราก็ได้รับผ้าเย็นที่มีกลิ่นหอมสดชื่นของส้มออร์แกนิคมาช่วยขจัดความเหนื่อยล้าให้มลายหายไป พร้อมกับ Welcome Drink ที่มีชื่อน่าค้นหาว่า Silver Velvet Purple ความพิเศษอยู่ที่ประกายสีเงินเรืองรองในแก้วเพราะมีส่วนผสมของผง Silver 24K ที่กินได้อยู่ด้วย ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ พนักงานยังนำ “Magic Box” มาเสิร์ฟให้ เป็น Belgian Chocolate ที่ซ่อนของเซอร์ไพร้ซ์ไว้ด้านใน แค่เพียงการต้อนรับเราก็สัมผัสได้ถึงความใส่ใจ และความแตกต่างของการบริการแบบเหนือความคาดหมายตามคอนเส็ปต์ “Reserve Touch” ได้แล้วล่ะครับ While Waiting for Our Room at Pool Bar เนื่องจากเราเดินทางมาถึงค่อนข้างเช้า ห้องของเราจึงยังไม่พร้อมให้เราเช็คอินทันที ระหว่างนี้ทางโรงแรมจึงเสนอห้องสำรองให้เราพักผ่อนก่อน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “Reserve Time” ที่ให้อิสระกับแขกที่อยากจะเข้าพัก หรืออยากจะรับประทานอาหารเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เรารู้สึกอยากสำรวจบรรยากาศรอบๆก่อนสักนิด ก็เลยตัดสินใจไปนั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆที่ Pool Bar และเสพพลังทะเลยามเช้าของสมุยในวันอากาศดีเช่นวันนี้ ระหว่างที่เรานั่งปล่อยอารมณ์จิบเครื่องดื่มอยู่ริมทะเล ทีมมาร์เก็ตติ้งของโรงแรมที่นำโดยคุณการ์ตูน คุณเคเค และคุณแน็ตตี้ก็ได้เข้ามาดูแล และเล่าให้ฟังถึงความตั้งใจปั้นแบรนด์ Centara Reserve ที่นอกจากจะทุ่มทุนถึง 1,200 ล้านบาทในการ Revamp อาคารสถานที่ใหม่ทั้งหมดแล้ว ทีมบริหารในทุกแผนกก็ฟอร์มขึ้นมาใหม่ทั้งทีมด้วยเช่นกัน โดยเป็นการรวมตัวของบุคลากรที่มีประสบการณ์ระดับ Top-Tier ทั้งจากในและต่างประเทศ เพื่อฉีกขนบ Centara เดิมและส่งมอบประสบการณ์แบบ Reserve ที่แตกต่างให้กับแขกที่เข้าพักอย่างแท้จริง Reserve Pool Suite นี่คือห้องพักที่ทางโรงแรมจัดมาเพื่อรับรองระหว่างรอเข้าห้องพักจริงๆของเรา เราจึงถือโอกาสถ่ายรูปมาฝากเพื่อนๆด้วยเลย นี่ไม่ใช่ห้องพักธรรมดานะครับ แต่เป็นห้องที่ตกแต่งสวยงาม เครื่องใช้ครบ มีพื้นที่ถึง 67 ตร.ม.เชียว และที่สำคัญคือมีสระส่วนตัวด้วย Centara Reserve สร้างความประทับใจให้เราไม่หยุดเลยนะครับ ไหนๆก็มาแวะชมห้องอื่นแล้ว เราก็ขอเล่ารายละเอียดห้องพักโดยรวมของที่นี่ไปเลยก็แล้วกันครับ Centara Reserve Samui มีห้องพักทั้งหมด 184 ห้อง แบ่งเป็น 13 Room Types มีพื้นที่ตั้งแต่ 40 - 501 ตร.ม. โดยมี Rare Item เป็นวิลล่าซึ่งมีเพียง 3 หลังเท่านั้นจึงต้องจองล่วงหน้ากันเป็นพิเศษ และแน่นอนครับห้องพักจริงๆของเราในวันนี้ก็คือวิลล่า 1 ใน 3 หลังนั้น ถือว่าเราโชคดีจริงๆครับ Our Villa: Reserve Pool Villa แอ่น...แอน...แอ๊นนนน และนี่ก็คือวิลล่าของเราครับ เปิดเข้ามาครั้งแรกตกใจกับความมหึมามาก เหมือนกับได้บ้านทั้งหลังเป็นของเราเลย น้องมีขนาด 256 ตร.ม. โรงแรมอนุญาตให้รองรับผู้ใหญ่ได้ 3 คน หรือจะเป็นผู้ใหญ่ 2 + เด็ก 2 ก็ได้เช่นกัน ต่อให้มากกว่านี้ก็ยังเหลือพื้นที่แบบหลวมๆเลยล่ะ เราไปดูโซนเอ้าท์ดอร์กันก่อนนะครับ เริ่มด้วยสระน้ำเกลือส่วนตัวลุคโมเดิร์นเชียว โซน Patio ขนาดใหญ่ก็มีให้ทั้งโต๊ะ ชุดโซฟานั่งเล่น และ Kitchen Bench พร้อมอ่างล้างมือนั้นก็ใช้เตรียมอาหารว่างง่ายๆที่ไม่ต้อง Cooking ได้เลยครับ ริมสระน้ำมีเก้าอี้อาบแดดเพิ่มให้อีก 2 ตัว และด้านหลังวิลล่ามี Ourdoor Shower สำหรับล้างตัวเมื่อขึ้นจากสระหรือทะเล (Villa ของเราอยู่แทบจะติดกับทะเลเลยครับ) ล้างตัวเสร็จแล้วก็สามารถเดินเข้าห้องน้ำจากด้านหลัง Villa ได้เลย ส่วนด้านในห้องนั้นเป็น Space ที่เปิดทะลุถึงกันได้หมด ทำให้ดูโล่งต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียว โซนห้องน้ำสามารถเลื่อนประตูมาปิดเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้นะครับ นอกจากพื้นที่จะดูโอ่โถงแล้ว เฟอร์นิเจอร์ก็มีขนาดใหญ่พิเศษเช่นกันทำให้รู้สึกแกรนด์มาก เตียงเป็นขนาด Super King Size ส่วนชุดรับแขกน่าจะนั่งได้ 4-5 คนสบายๆ ที่โดดเด่นมากๆก็คืออ่างอาบน้ำทรงกลมไซส์เบ้อเริ่มเทิ่มสามารถลงไปนอนแช่พร้อมกัน 2 คนได้เหลือๆ อ่างล้างหน้าแยกเป็น 2 เซ็ตอยู่คนละฝั่งกันไปเลย ที่ผนังฟากหนึ่งเป็น Dressing Area มีพื้นที่ให้วางกระเป๋าและแขวนเสื้อผ้าสัมภาระต่างๆ รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกจากโรงแรมไม่ว่าจะเป็นเสื้อคลุมที่มีทั้งแบบหนาและบาง รองเท้าแตะ กระเป๋า และถุงผ้า ตรงนี้มีม่านที่สามารถรูดมาบังความรกตาได้ ข้างๆกันยังมีตู้เสื้อผ้าแยกต่างหากพร้อมกับ Safety Box ให้อีกด้วย ห้อง Shower มีทั้งฝักบัวแบบสายและแบบ Rain Shower ที่น้ำไหลซู่ใหญ่ๆลงมาสะใจดีเหลือเกินแถมยังเส้นน้ำก็ละเอียดนุ่มสบายผิวมากๆ เหมือนได้นวดคลายเครียดไปในตัว เราชอบปุ่มคอนโทรลแบบกดปุ๊บน้ำไหลปั๊บไม่ต้องบิดหมุน ง่ายๆก็คือเรามีความสุขกับการอาบน้ำที่นี่มากครับ อาบได้วันละหลายๆรอบเลย อีกห้องเป็นห้องขับถ่าย มีชักโครกอัตโนมัติพร้อมฝารองนั่งที่อุ่นกำลังดี รีโมทคอนโทรลชักโครกเป็นแบบ Touch Screen ที่สามารถดึงออกมาจากแป้นยึดที่ผนังได้ด้วย ข้ามมาอีกฟากของห้องก็จะเป็น All Inclusive Minibar ที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม และมาเติมให้ทุกวัน ที่เกินคาดก็คือมีเครื่องดื่มแอลกอฮอลทั้ง Vodka, Whisky และ Gin ใส่ขวดแก้วพร้อมอุปกรณ์ชง Cocktail แบบครบมือเตรียมไว้ให้ด้วย ที่นี่ปลอดการใช้พลาสติก 100% ภาชนะทุกอย่างสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ แม้แต่ขวดน้ำแบบ Sparkling ก็เช่นกัน ที่เก๋ก็คือมีสเปรย์ฉีดหน้ากลิ่นส้มออร์แกนิคแบบเดียวกับผ้าเย็นตอนเช็คอินไว้ให้พ่นเพื่อความสดชื่นด้วย ถัดจาก Minibar ก็คือเตียง Day Bed ที่ใหญ่โตประมาณเตียง King Size เห็นจะได้ นอนเล่น-นอนจริงได้หมดเลย ทั้งหมดนี้ถูกห่อไว้ในการดีไซน์ที่สวยงาม และการจัดวางที่ลงตัว เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นมีรายละเอียดที่น่าสนใจ มีเอกลักษณ์หลายแบบหลากรูปทรงทั้งที่อยู่ในห้อง และที่กระจายอยู่ทั่วโรงแรม แต่ล้วนเล่าเรื่องไปในทางเดียวกันทั้งหมด เราปลื้มงานโคมไฟที่สั่งทำเฉพาะของโรงแรมมากๆครับ นอกจากความสวยงามแล้ว เรื่องประโยชน์ใช้สอยก็ทำได้ดีมากเช่นกัน แม้แต่เรื่องที่เหมือนจะเล็กน้อยอย่างระบบควบคุมแสงไฟและผ้าม่านก็ใช้งานง่ายและทันสมัยมากครับ Sunday Brunch By The Beach At Salt Society Salt Society เป็นหนึ่งใน F&B Outlet ที่เป็นที่นิยมที่สุดของโรงแรม ด้วยทำเลติดหาดและบรรยากาศที่เปี่ยมรสนิยม Vibe ของที่นี่คือ Beach Bar ที่ทั้งชิลล์และ Sophisticated ไปพร้อมๆกัน ทุกๆวันอาทิตย์ Salt Society จะยิ่ง Popular และคึกคักมากเป็นพิเศษ เพราะมี Sunday Brunch Buffet ที่จัดเต็มในเรื่องวัตถุดิบพรีเมี่ยมแบบไม่อั้น ตั้งแต่ กุ้งลายเสือที่ตัวใหญ่กว่าฝ่ามือซะอีก เนื้อวากิวย่างหอมไฟความสุกกำลังดี หอยนางรม Fin De Claire No.2 อวบๆ ฟัวกราส์ที่คัดเกรดมาอย่างดี Serrano Ham นำเข้าทั้งขาจากสเปน ไปจนถึงอาหารที่เราคุ้นเคยอื่นๆอย่างพาสต้า เนื้ออบ ชีสนานาชนิด ขนมหวานล้านแปด และเครื่องดื่มทั้งผสมและไม่ผสมแอลกอฮอล เรียกได้ว่าเตรียมท้องไปเท่าไหร่ก็จุความอร่อยไม่หมดแน่นอนครับ Sunday Brunch ที่นี่มี Package ให้เลือกตามความต้องการของเราถึง 3 แบบมีชื่อเรียกชิคๆว่า Vitamin A, Vitamin B และ Vitamin Sea เริ่มต้นที่ THB 1,890++ ต่อคน ก่อนเริ่มมื้อยังมีการแจก Vitamin C Shot เพิ่มภูมิต้านไวรัสอีกด้วย เค้าคิดมาหมดแล้วจริงๆครับ นอกจากนี้ยังมีการแจมดนตรีสด (วันที่เราไปเป็น Saxophone สัปดาห์ก่อนหน้าเป็น Violin) กับ Playlist ที่คัดสรรมาโดยดีเจระดับโลกอีกด้วย ห้องอาหารแต่ละห้องของ Centara Reserve Samui จะมี Playlist พิเศษเป็นของตัวเอง แต่สำหรับ Playlist ของ Salt Socirty เราก็สามารถเข้าไปเปิดฟังได้ใน Spotify ด้วยนะครับ เสียงดนตรีทำให้มู้ด Sunday Brunch ยิ่งสนุกคึกครื้นแบบทวีคูณเลย อาหารทั้งหมดของที่นี่ จะถูกแบ่งเสิร์ฟใน Cube (ห้อง) ทั้ง 4 ดังนี้ Ice Cube เสิร์ฟ Seafood ที่วางบนน้ำแข็ง Hot Cube เสิร์ฟเนื้อสัตว์ที่อบจากเตา Chill Cube เป็นโซนที่นั่งสบายๆใกล้กับ BBQ และ Cooking Stations อื่นๆ Cold Cube เสิร์ฟของหวาน เบเกอรี่ ชีส และผลไม้ อย่าลืมออร์เดอร์ Mr. Smoky ให้มาทำการแสดงชง Sangria แบบควันท่วมที่โต๊ะด้วยนะครับ มื้อนี้มีคำว่า "คุ้มค่า" เปรี้ยงเข้ามาในหัวของเราดังๆ เพราะเต็มอิ่มทุกประสาทสัมผัส อร่อยลิ้น ละลานตา เสนาะหู เพลินจมูก สบายกาย อิ่มเอมใจ อ่อ..แถมอีกอัน แน่นพุงด้วยครับ ฮ่าๆๆๆ A Digestive Walk Around The Property หลังจากมื้อใหญ่เบิ้มขนาดนี้ การเดินย่อยจึงเป็นไฟลท์บังคับไปโดยปริยาย วันนี้อากาศปลอดโปร่งเป็นใจเหลือเกิน ถ่ายมุมไหนก็สวยไปหมด เราขอพาไปทำความรู้จักกับรีสอร์ทในภาพรวมกันก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปเจาะลึกแต่ละโซนกันต่อ หากเรายึดเอา Lobby เป็นจุดศูนย์กลางแล้วหันหน้าไปทางทะเล ทางปีกขวาของโรงแรมนั้นจะเป็นฝั่งที่เน้นกิจกรรม ความสนุก ครื้นเครง เป็นที่ตั้งของ Salt Society, Kids’ Zone สระว่ายน้ำหลัก Pool Bar และอุปกรณ์กิจกรรมทางน้ำที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ ส่วนปีกซ้ายจะเป็นโซนห้องพักที่เน้นความเป็นส่วนตัว เอาไว้พักผ่อนแบบเงียบๆ และจะมีสระว่ายน้ำอีกแห่งที่สงวนเอาไว้ให้กับผู้ใหญ่ที่ต้องการความสงบโดยเฉพาะ เมื่อสักครู่เราเต็มอิ่มกับปีกแห่งความบันเทิงมาแล้ว ตอนนี้ก็เลยอยากวาร์ปตัวเองสู่ปีกแห่งความไพรเวทกันบ้างครับ Afternoon Dip At The Adults’ Pool อีกหนึ่ง Trick ที่ช่วยเร่งการย่อยอาหารของเราก็คือการว่ายน้ำครับ ตอนแรกกะจะกลับไปว่ายน้ำใน Private Pool ที่วิลล่าของเรา แต่พอเดินผ่านสระ Adults’ Pool ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า และเป็น Infinity Pool ที่มีผนังใสสามารถมองเห็นเราตอนดำน้ำได้ด้วย ก็เลยเปลี่ยนใจมาลงสระนี้แทน ทุกสระใน Centara Reserve Samui เป็นสระน้ำเกลือถนอมผิวนะครับ คนที่แพ้คลอรีนสบายใจได้เลย ระหว่างที่อยู่สระผู้ใหญ่นี้เราก็สามารถสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานมาดับกระหายได้เหมือนที่สระหลักเลย สะดวกกายสบายใจดีจังครับ The Gin Run เมื่อท้องฟ้าเริ่มถูกฉาบด้วยแสงสีทองของตะวันใกล้ตกดิน ก็จวนเวลามื้อค่ำ(อีก)แล้ว ฮ่าๆ แต่เรามีแพลนไปดื่ม Pre-Dinner Cocktail ที่บาร์ The Gin Run กันก่อน จากชื่อแล้วแน่นอนว่าพระเอกของบาร์แห่งนี้ก็คือ Gin เจ้าสปิริต (สุราที่ได้จากการกลั่น) สีใสหอมฟุ้งด้วยกลิ่น Juniper Berry นั่นเอง นอกจากที่นี่จะมี Gin ยี่ห้อ Niche ต่างๆจากทั่วโลก รวมถึง Small Batch Gin เกรดพรีเมี่ยมของไทยด้วยแล้ว ทางบาร์ยังทำการ Infuse กลิ่น Botanicals อื่นๆขึ้นเองเพื่อครีเอทเป็น Gin กลิ่นใหม่ๆไว้ให้ลูกค้าลิ้มลองกว่า 35 กลิ่น โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆก็คือกลิ่นโทน Fruity & Floral กับกลิ่นโทน Herb & Spice เราชอบกลิ่น Rose และ Little Basil (ใบแมงลัก) เป็นพิเศษ แต่ก็ยังมีอีกหลายกลิ่นที่น่าสนใจมากๆ เช่น ทับทิม บีทรูท ไธม์ ผักชี กรีนโอลีฟ วาซาบิ ฯลฯ ถ้าชิมครบเราคงเมาจนต้อง Skip ดินเนอร์ไปเลย นอกจาก Gin แล้ว บาร์แห่งนี้ก็ยังมีเมนูเครื่องดื่มอื่นๆทั้งแบบที่มีและไม่มีแอลกอฮอลซึ่งทางทีมตั้งใจคัดสรรและรังสรรค์มาอย่างดีเพื่อให้ทุกคนได้ Enjoy กันด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ประสบการณ์ Pre-Dinner Cocktail ของเราน่าจดจำกลับอยู่ที่ตัวบาร์เทนเดอร์ครับ เราสัมผัสถึง Passion และความ Cultured ใน Gin ของ คุณเคน บาร์เทนเดอร์คนเก่งของเราได้อย่างชัดเจน หลังจากชงเครื่องดื่มหอมอร่อยให้เราดื่มแล้ว คุณเคนก็ยังเล่าประวัติศาสตร์และอธิบายเกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Gin ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยให้เราฟังอีกด้วย แม้ Gin จะไม่ได้เป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ความรู้ลึกของคุณเคน ก็ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังได้สัมผัสประสบการณ์ Reserve Culture และ Reserve Touch ไปพร้อมๆกัน Sa-Nga: Contemporary Thai Tapas ดินเนอร์ของเรามื้อนี้เป็นอาหารไทยร่วมสมัยที่ถูกจับแยก Elements แล้วนำมาตีความใหม่ จากนั้นจึงนำมาประกอบร่างขึ้นอีกครั้งจนเกิดเป็นรสชาติและหน้าตาที่น่าประทับใจไม่ซ้ำใคร นี่คงจะเป็นวิถี “Reserve Culture” ซึ่งช่วยเชื่อมรอยต่อของวัฒนธรรมท้องถิ่นกับความเป็นสากล นับเป็นการก้าวสู่ยุคใหม่โดยที่ยังให้ความเคารพต่อรากเหง้าเดิมอย่างสร้างสรรค์ ความดีงามในงานด้านอาหารของทุก Outlet ใน Centara Reserve Samui รวมถึงที่ร้าน “สง่า” แห่งนี้นั้น อาจจะต้องยกเครดิตให้กับเชฟ Christopher John Patzold เชฟใหญ่สัญชาติ Australia ที่มีประสบการณ์การทำงานในโรงแรมหรูระดับท็อปๆทั่วโลกมากว่า 30 ปี เชฟและทีมของเขาทำให้ซีน Gastronomy ของโรงแรมแห่งนี้นั้นโดดเด่นและเป็นที่ตั้งตาคอยของบรรดานักชิมกันอย่างมาก เกริ่นมาพอสมควร เราขอพุ่งตัวเข้าเรื่องอาหารกันเลยก็แล้วกันครับ ฮ่าๆๆ ตัวเลือกในเมนูของสง่าต่างก็แข่งขันกันแย่งความสนใจของเรา และด้วยความที่อาหารเป็นไซส์ Tapas ไม่ใหญ่มาก เราจึงถือโอกาสเลือกมาชิมหลายๆอย่าง ได้แก่ Mini Magnum แซลม่อนเสียบไม้ย่างสมุนไพรหน้าตาคล้ายแท่งไอศกรีมที่เราคุ้นเคย Scallop Red Curry หอยเชลล์เนื้อหวานในเครื่องแกงรสนุ่มและครีมมี่ด้วยพูเร่ฟักทองญี่ปุ่น Squid หมึกสดย่างต้มกะทิใส่ยอดมะขาม Wagyu Beef Salad เสิร์ฟมาบนเตาย่างจิ๋วที่หอมควันฉุย ทานคู่กับสลัดแตงกวา Seabass Mango Salad ปลากะพงย่างกับสลัดมะม่วงดิบ Shrimp Cake ห่อหมกกุ้งคลุกเครื่องแกงและผักดอง ต้องยอมรับจริงๆว่ามื้อนี้อร่อยเกินคาดมากครับ ตอนแรกแอบเคลือบแคลงเล็กน้อยว่าอาหารไทยประยุกต์อาจจะไม่ถูกปากเรา แต่หลังจากที่ลองแล้วเราต่างเห็นตรงกันว่าเป็นอีกมื้อที่ทำให้ใจฟูมาก รสชาติทุกจานนั้นกลมพอดี รู้สึกถึงความละเมียดละไมในการปรุงได้เลย กินของคาวเสร็จแล้ว ก็ต้องปิดด้วยของหวานจึงจะครบสูตร เราสั่งขนมหวานมา 3 อย่าง โดยที่ทุกอย่างนั้น Based มาจากขนมไทยที่เราคุณเคย แต่ถูกรื้อหน้าตาใหม่หมดจนเราเดาไม่ถูกเลย เริ่มต้นกันด้วยกล้วยบวชชี ที่หน้าตาอินเตอร์ไม่เหลือเค้าเดิม สูตรของสง่านั้นใช้กล้วยหอมแทนกล้วยน้ำว้า รสชาติจึงมีความ Banoffee ปนอยู่ด้วย จานที่ 2 เป็น Mango Sticky Rice ที่ต้องใช้ช้อนเคาะผิวลูกมะม่วงจำลองด้านบนให้แตกก่อนแล้วจึงจะตักกินได้ง่ายขึ้น ด้านในเป็นมูสพร้อมซอสมะม่วงไหลเยิ้ม และจานสุดท้ายนี่น่าจะเดารสชาติยากที่สุด น้องมี Inspiration มาจากหม้อแกงเผือก แต่ถูกเปลี่ยนหน้าตาให้กลายเป็นก้อนหินสีม่วงลง Shimmer เงางาม แต่ด้านในองค์ประกอบของหม้อแกงมาครบนะครับ ไม่เว้นแม้แต่หอมเจียว ใครติดตามเพจ hoparound.co เป็นประจำก็คงจะพอเดาออกว่าหลังจากมื้อหนักๆแบบนี้ เรามักจะสั่ง Peppermint Tea มาจิบเพื่อความสบายท้อง มื้อนี้ก็เช่นกันครับ เพียงแต่ที่นี่มีความพิเศษนิดนึงเพราะเป็น Moroccan Mint เชียวนะ Turn Down เรากลับมาที่ Villa และพบกับห้องที่ได้รับการ Turn Down พร้อมสำหรับการนอนเรียบร้อย บนโต๊ะรับแขกมีจานขนมรูปน้องเห็ดน่ารักมาก แถมอร่อยด้วย แม้จะท้องยังแน่น หากให้กินหมดก็คงไม่ไหว แต่ใจของเราก็อิ่มเอมตั้งแต่ได้เสพด้วยสายตาแล้ว ตลอดทั้งวันนี้ เรายังไม่ค่อยได้พักผ่อนที่ Villa ของเราเลย ยังไงคืนนี้เราขอใช้เวลาที่เหลือชิลล์อยู่ในบ้านชั่วคราวหลังนี้ของเรากันสักหน่อย ขออนุญาต Good Night ไปก่อนครับ พบกันใหม่พรุ่งนี้เช้า ถ้าตื่นทันจะพาไปชมพระอาทิตย์ขึ้นงามๆที่ทะเลนะครับ Good Morning! อรุณสวัสดิ์ครับ ตอนแรกเราแอบแพลนกันว่าจะได้ตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นเพราะทะเลของเราอยู่ทิศตะวันออกพอดี แต่เตียงที่ Centara Reserve Samui นอนสบายมากจนเราเผลอหลับยาวไปหน่อย ตื่นมาอีกทีก็ 9 โมงกว่าแล้ว เลยต้องรีบล้างหน้าล้างตาไปกินบุฟเฟ่ต์มื้อเช้ากัน อาหารเช้าที่นี่เสิร์ฟที่ห้องอาหาร The Terrace เป็นหลัก แต่ก็กินบริเวณไปถึงห้องอาหาร Act 5 ที่อยู่ข้างๆกันด้วย มีทั้งแบบบริการตัวเองและสั่งเป็น A La Carte ซึ่งสั่งเพิ่มได้ตามต้องการ และหากตื่นไม่ทันการเสิร์ฟบุฟเฟต์ ห้องอาหาร The Terrace ก็พร้อมเสิร์ฟอาหารเช้าตามสั่งได้ตลอดทั้งวันตามคอนเส็ปต์ Reserve Time ที่ให้อิสระเรื่องเวลากับแขกอย่างมาก แน่นอนว่าไลน์อาหารในบุฟเฟต์นั้นหลากหลายไม่แพ้ใคร ทั้งเมนูไข่ที่เลือกวิธีการปรุงได้แทบทุกแบบ สามารถเลือกระดับความสุกได้จนถึงหลักนาทีที่ใช้ในการต้มไข่ ส่วนไส้กรอกหมู-ไก่ เบค่อนก็วางกองให้คีบใส่จานได้รัวๆ เมนูโคลด์คัท สลัด ชีส และผลไม้ก็ตักได้ไม่อั้น ที่แผนกเบเกอรี่ก็มีทั้งเพสตรี้ และขนมปังหลากชนิด รวมถึงแบบ Gluten Free ด้วย ในตู้เย็นก็มีน้ำผลไม้ โยเกิร์ต และนมให้เลือกทั้ง Full Fat, Fat-Free, Lactose-Free ไปจนถึงนมทางเลือกอย่าง Soy Milk และ Almond Milk เราชอบเนยเค็มแบรนด์ Echire ที่โรงแรมจัดไว้ให้หยิบได้ตามใจชอบมากเลยครับ อร่อยจนเผลอปาดหนาไปหน่อยจนรู้สึกผิดเลย ตรงโซน Condiments นั้นมีตัวเลือกปลีกย่อยมากมายไม่ว่าจะเป็นแยมหลากหลายรส (ทางโรงแรมกวนเอง) น้ำผึ้งที่มาทั้งรวง เนยถั่วและธัญพืชต่างๆ แต่สิ่งที่เตะตาเราก็คือ Micro Donut และ Micro Croissant ตัวเล็กจิ๋ว พนักงานแอบกระซิบว่าเป็นไอเท่มลับของมื้อเช้าที่นี่เลย โดยเฉพาะ Micro Croissant ที่ใช้เวลาทำหลายวันกว่าจะเสร็จ ทานกับนมต่างซีเรียลก็อร่อยอย่าบอกใคร Micro Donut และ Micro Croissant Hot Cappuccino With Our Face Printed On The Milk Froth ตักอาหารเสร็จเรียบร้อย เราจึงกลับมาที่โต๊ะและพบกว่าอยู่ๆก็มี Cappuccino ร้อนที่พิมพ์หน้าเราบนฟองนมมาเซอร์ไพร้ซ์ให้ด้วยครับ โรงแรมนี้ขยันสร้างความประทับใจให้เราทุกช็อตเลยจริงๆ แม้จะเริ่มอิ่มแล้ว แต่เราก็ยังอยากสั่งเมนู A La Carte อื่นๆมาทดลองและถ่ายรูปฝากเพื่อนๆอีกหลายอย่างทั้ง Banana Split Jar Smashed Avocado และทีเด็ดก็คือ Minute Wagyu Steak ใช่แล้วครับมื้อเช้าที่นี่เราสามารถสั่งเนื้อ Wagyu มากินได้ตามใจเลย Minute Wagyu Steak Soaking In The Main Pool เมื่อวานเราไปลงสระผู้ใหญ่โซนสงบกันมาแล้ว วันนี้เราจะพาเพื่อนๆมาชมสระว่ายน้ำหลักของโรงแรมกันบ้าง สระฟรีฟอร์มสีฟ้าอ่อนแห่งนี้ถูกแบ่งเป็น 2 สระย่อย มีทางเดินรันเวย์แบ่งตรงกลาง ทีมดีไซน์ยังคงรักษาเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ Centara Grand แต่เดิมเอาไว้ นั่นก็คือรูปทรงของสระส่วนที่เป็น Jacuzzi ซึ่งมีความโค้งมนคล้ายลายไทยอันเป็นกลิ่นอายเดิมของความเป็น Centara ความพิเศษอีกอย่างของ Main Pools ก็คือ Pool Bar (ที่เรามานั่งจิบน้ำรอห้องพักในวันแรก) ถ้าเราอยู่ในสระก็สามารถนั่งเกาะบาร์และสั่งเครื่องดื่มมาดับกระหายในขณะที่แช่น้ำได้เลย ที่ Main Pools นี้ต้อนรับเด็กนะครับ และเป็นทำเลที่ลงตัวสำหรับเด็กๆมากเนื่องจากอยู่ติดกันกับ Kids’ Zone ซึ่งเป็นลานพื้นนุ่มที่มีน้ำพุให้เด็กวิ่งเล่นได้อย่างสบายใจ พร้อมห้องเล่นเด็กที่มีอุปกรณ์ต่างๆครบเลย แอบกระซิบนิดนึงว่า Kids’ Zone เป็นเขตปลอดเทคโนโลยีจำพวกมือถือและไอแพดนะครับ เพราะทางโรงแรมอยากให้เด็กๆได้พักจากการจ้องหน้าจอ และมี Physical Activities กันบ้าง Reserve Spa Cenvaree หลังจากที่ได้พลิกโฉมโรงแรมให้มาอยู่ในสถานะ Reserve เมนูทรีตเม้นต์ทั้งหมดก็ได้รับการออกแบบใหม่ให้แตกต่างด้วยเช่นกัน ซึ่งมีช้อยส์ที่น่าสนใจหลายอันจนเลือกไม่ถูกเลยล่ะครับ เราจึงขอให้พนักงานสปาช่วยแนะนำซัก 2 ช้อยส์ อันแรกเป็นการนวดด้วยน้ำมันมะพร้าวอุ่นๆและรีดกล้ามเนื้อด้วยกะลาผิวเรียบใบเล็กๆ ก่อนจะลงไปแช่อ่างที่ผสม Coconut Milk เพื่อความนุ่มละมุนของผิว อีกตัวเลือกหนึ่งที่แนะนำก็คือการขัดผิวด้วย Bamboo Body Scrub แล้วใช้ท่อนไม้ไผ่คลึงรีดเส้นและกดจุดแบบ Shiatsu เพื่อคลายความตึงเครียด และสร้างสมดุลทางอารมณ์ นอกจากการนวดบำบัดที่น่าสนใจแล้วที่ Reserve Spa Cenvaree ยังมีโปรแกรมเสริมความงามสำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชายในส่วนใบหน้าและเล็บด้วย ส่วน Facilities อื่นๆไม่ว่าจะเป็นห้อง Steam, Sauna และ Jacuzzi ก็มีให้บริการครบเช่นกัน แต่สิ่งที่เราปลื้มมากๆกลับอยู่ติดกันกับสปา นั่นก็คือสวนสมุนไพรออร์แกนิคที่เราสามารถเข้าไปเลือกเก็บจากต้นแล้วนำไปทำทรีตเม้นต์กันแบบสดๆได้เลย นับเป็นอีกหนึ่งการเชื่อมโยงพลังบำบัดจากภูมิปัญญาไทยให้แขกได้ Experience ตามคอนเส็ปต์ Reserve Culture ของแบรนด์ จะว่าไปแล้วพื้นที่สีเขียวของ Centara Reserve Samui นั้นมีกว้างใหญ่เหลือเฟือมาก เราสังเกตว่าทีมทำสวนต้องลงงานกันตลอดเวลา อย่างน้อยก็ต้องตัดหญ้ากันทุกวัน โดยหญ้าที่ถูกตัดไปนั้นทางโรงแรมจะนำไปผ่านกระบวนการแปรรูปให้เป็นก๊าซหุงต้มเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป นอกจากจะหรูหราแล้ว ที่นี่ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอีกด้วย Fitness Center การออกกำลังกายสำหรับหลายๆคนก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการผ่อนคลาย และที่ Fitness Center ของ Centara Reserve Samui นั้นต้องบอกว่าอุปกรณ์ครบและทันสมัยสุดๆไปเลย ขนาดเราที่ไม่ได้เป็นสาย Gym โดยตรง ยังรู้สึกอยาก Exercise ตอนที่มาเยี่ยมชมเลยครับ เมื่อออกกำลังจนเหนื่อยล้าแล้ว ในห้องนี้ก็ยังมีมุม Healthy Snacks & Refreshments เตรียมไว้ให้บริการโดยไม่คิดเงินเพิ่มด้วย มี Infused Water ด้วยนะครับ ใส่ใจทุกรายละเอียดจริงๆเลย ส่วนสายโยคะ หากไม่สะดวกปูเสื่อทำ Session ริมทะเล ที่นี่มีห้อง Yoga Studio โดยเฉพาะเพื่อความเป็นส่วนตัวให้ด้วยเช่นกัน ตอบทุกความต้องการเลย สำหรับห้องน้ำนั้นก็สะอาดอะอ้านน่าใช้ไม่แพ้ด้านนอก มีให้ครบทั้งล็อคเกอร์ ห้องออกน้ำ และห้อง Steam เอาเข้าจริงๆ โซนออกกำลังกายนี้ก็แอบเป็นมุมโปรดลับๆของเราเหมือนกันนะครับ Surprise Of The day! พาไปสำรวจรีสอร์ทจนเริ่มเหนื่อยแล้ว เราเลยกลับมาชิลล์กันต่อที่วิลล่าของเรา ถ้าเราไม่มีแพลนอื่นๆ เราก็ไม่มายด์ที่จะใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่ในวิลล่าเลยครับ เพราะทั้งบรรยากาศที่โปร่งสบาย และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันนั้นก็ตอบแทบทุกโจทย์ที่เรามี แม้กระทั่งหากเราต้องการ Surprise ก็สามารถกดปุ่มที่โทรศัพท์ได้วันละครั้ง แล้วพนักงานก็จะนำเอาของเล็กๆน้อยๆมาให้ถึงที่เลย วันนี้เราได้เป็น Raspberry Jelly Candy ที่หอมหวาน เป็นอีกหนึ่งการบริการแบบ Reserve Touch ที่เราขอชื่นชมจากใจครับ Making The Most Of Our Beloved Villa ไม่ว่าด้านนอกจะหรูหราเลิศเลอเพียงใด ช่วงเวลาส่วนตัวที่เราใช้ในห้องของเราก็ยังคงเป็นสิ่งที่เราอยากจะ Enjoy ที่สุดในการเข้าพักรีสอร์ท/โรงแรมไม่ว่าจะที่ใด และในเมื่อ Villa ของเรานั้นดีงามเบอร์นี้ เราจึงอยากจะใช้ประโยชน์จากเค้าให้คุ้มค่าทุกตารางเมตรเลยครับ สระของเรานั้นขนาดกำลังดี ลงเล่นเพลินมากๆ จะกระโดดลงน้ำหรือจะปีนขึ้นมานอนอาบแดดกี่รอบก็ไม่ต้องเกรงใจใครเลย หรือจะโพสท่าถ่ายภาพจน Memory Card เต็มกี่ใบก็ไม่ต้องกลัวใครมาตัดสิน ยกเว้นเรากันเอง ฮ่าๆๆ เล่นน้ำจนหนำใจแล้ว จะเดินไปล้างตัวด้านหลังวิลล่าก็สะดวกมากๆ เราแปลงโต๊ะนั่งเล่นตรง Patio ริมสระให้เป็นโต๊ะทำงานชั่วคราว ก็ได้ฟีลผ่อนคลายไปอีกแบบ เครื่องดื่มจากมินิบาร์ก็หยิบมาจิบแกล้มงานได้เรื่อยๆ หากรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจจะผสมค็อกเทลดื่มเองก็ไม่มีใครว่า ที่ Day Bed และโซฟาเราก็นั่งเอกเขนกเล่น iPad อ่านหนังสือ เมื่อยก็ทิ้งตัวลงนอนปล่อยความขี้เกียจให้ออกมาเพ่นพ่านได้เต็มที่ จนบางครั้งเผลอหลับไปก็มี ห้องน้ำเป็นอีกโซนที่เราชอบมากๆ ฝักบัวในห้องชาวเวอร์นั้นยอดเยี่ยมเกินบรรยายอาบสบายเกินพรรณนา แต่คืนนี้เราจะก้าวข้ามไปอีกขั้น เพราะเราตั้งใจจะลงไปแช่ในอ่างอาบน้ำขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องล่อตาล่อใจเราตั้งแต่เช็คอิน แม้ว่าเราจะตกหลุมรักวิลล่าหลังนี้ตั้งแต่แรกพบ แต่เมื่อยิ่งได้ทำความรู้จัก ก็ยิ่งตกหลุมรักหนักขึ้น ประสบการณ์ที่ลื่นไหลและความสะดวกสบายทั้งหมดที่น้องมอบให้ เป็นสิ่งที่ทำให้แนวคิด Reserve Space กลายเป็นรูปธรรมที่เราสามารถสัมผัสได้อย่างแท้จริง Let’s Hit The Beach! แดดร่มลมตกพอสมควรแล้ว เราไปหาดกันดีกว่า เป็นที่รู้กันว่าหาดเฉวงนั้นเป็นหาดที่ทรายขาวนุ่มเท้าและสวยงามที่สุดบนเกาะสมุย น้ำทะเลสีฟ้าครามที่สะท้อนความสดใสของท้องฟ้าที่เปิดโล่งก็ต้อนรับเรามาตั้งแต่เข้าพัก เราแช่น้ำในสระมาจนหนำใจแล้ว ก็เลยเลือกที่จะเดินเล่นริมหาด และลองนั่งเรือใบกับพายเรือแคนูของทางโรงแรมดู เสียดายที่วันนี้ในทะเลมีคลื่นพอสมควร เราจึงออกเรือยังไม่ทันไปได้ไกลก็ต้องวกกลับเข้าฝั่ง พายจริงไม่ได้ไม่เป็นไร แต่งานภาพต้องไม่พลาดครับ ฮ่าๆๆๆ เริ่มหิวแล้วล่ะสิ เราไป Freshen Up กันซักนิด เตรียมตัวไปดินเนอร์มื้อสำคัญของทริปนี้กันดีกว่า เพราะเรามีนัด Fine Dining กันที่ Act 5 ห้องอาหาร Signature ของ Centara Reserve Samui Sunset at Centara Reserve ที่นี่พระอาทิตย์ตกก็สวยไปอีกแบบนะครับ เราชอบโมเมนต์ที่เดินปล่อยใจสบายๆ ในรีสอร์ตแล้วก็แหงนหน้ามองฟ้าสีลูกกวาดไปด้วย ลมทะเลก็โชยมาประทะหน้าเราเป็นระยะๆ เพลินดีจริงๆ Fine Dining At ACT 5 คอนเส็ปต์ของ Act 5 นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากการแสดงละครที่แบ่งเป็นหลายๆองก์ เปรียบดั่งอาหารแต่ละคอร์สที่ทยอยเสิร์ฟเพื่อความสุนทรีย์สูงสุดของมื้อนั้นๆ และทุกๆจานที่ออกมาเสิร์ฟก็จะมีการแสดงบางอย่างที่เป็นทั้ง Gimmick และ Movement ที่น่าจดจำ ที่ Act 5 จะมีเมนูพิเศษ 5 คอร์สที่ทางห้องอาหารภูมิใจนำเสนอ แต่หากเราสะดวกที่จะเลือกสั่งเองแบบ A La Carte ก็ได้เช่นกัน ตามคอนเส็ปต์การบริการแบบ Reserve Touch ที่ให้อิสระกับแขกอย่างเต็มที่ วันนี้เราจึงถือโอกาสทดลองเลือกสั่งเมนูที่อ่านแล้วกระตุ้น Appetite ของเรามากที่สุดเอาเองเลย แน่นอนว่าแต่ละจานก็จะมี Sommelier คอยแนะนำไวน์ที่จับคู่เพื่อเสริมรสชาติอาหารที่เราเลือกด้วย เริ่มมื้อด้วย Zonin Prosecco สดชื่นที่ดื่มง่ายระหว่างที่เราดูเมนูเลือกอาหาร จากนั้นพนักงานก็เสิร์ฟขนมปังที่อร่อยมาก มีให้เลือก 3 ชนิดซึ่งมาพร้อมกับ Rocket Pesto Sauce และ Aiòli มายองเนสกระเทียมที่มาในหลอดบีบเล็กๆเป็นลูกเล่นที่น่ารัก สำหรับคอร์สแรก เราเลือกมา 3 รายการ ได้แก่ Scallops รมควันมะพร้าว เคล้าเนยยูสุ และองุ่นเขียว เวลาเสิร์ฟพนักงานจะยกฝาครอบที่กักควันไว้ด้านในออก ทำให้ควันระเบิดฟุ้งไปทั่วเลย Beef Short Ribs เนื้อซี่โครงที่ตุ๋นนานถึง 12 ชั่วโมงจนเปื่อยละลายในปาก พร้อมซอสหลากสี เสิร์ฟด้วยการพ่นสเปรย์ทองลงบนเนื้อที่โต๊ะอาหารของเรา Fine De Claire หอยนางรมจากฝรั่งเศสพร้อม Heart Of Palm (คาดว่าน่าจะเป็นยอดมะพร้าว) และแตงโมที่ผ่านการควบแน่น เสิร์ฟพร้อมเปลวไฟในกาที่ราดลงมาด้านข้างจาน เนื่องจากในคอร์สแรกเราสั่งอาหารทะเลถึง 2 จานและยังมี Amuse-Bouche ที่เป็นทูน่าปรุงรสหั่นเป็นลูกเต๋าขนาดพอดีคำด้วย ทาง Sommelier จึงเลือกไวน์ Chardonnay ที่มี Body กลางๆของ Chanson จากแคว้น Pouilly-Fuissé ฝรั่งเศสมาประกบคู่ให้ ซึ่งก็เสริมกับอาหารเป็นอย่างดีครับ คอร์สที่ 2 เราสั่งอกเป็ดที่มาพร้อมกับครีมแอลมอนด์บด และผงน้ำมันมะกอก กับ Ribeye Wagyu เสิร์ฟพร้อมกับ Bone Marrow ทั้งสองจานทำมาสุกแบบ Medium Rosé ตามคำแนะนำของห้องอาหารครับ อร่อยถูกใจเลย แม้ส่วนผสมและวิธีปรุงน่าจะซับซ้อนอยู่พอตัว แต่รสชาตินั้นอร่อยเข้าใจง่ายจนแทบคิดว่าเป็น Comfort Food เลยทีเดียว สำหรับ Wine Pairing นั้น แน่นอนว่าเนื้อสัตว์สีเข้มย่อมเหมาะกับไวน์แดง เรามัวแต่ Enjoy อาหารจึงไม่ทันได้ถ่ายฉลากเก็บไว้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นไวน์ Merlot จากคาบสมุทร Médoc ในแคว้น Bordeaux ครับ เป็นไวน์ Full Body แต่รสนุ่มกลมกล่อม เข้ากันกับอาหารได้ดีมากครับ ต่อด้วยของหวานกันดีกว่าครับ เราสั่งมา 2 จานคือ Raspberry Souffle ที่อบมาร้อนๆ พนักงานพาน้องมาที่โต๊ะเพื่อคว่ำออกจากพิมพ์ให้ลงไปนอนหนาวบนเตียงชาร์โคลเจลาโต้ จานนี้อร่อยง่ายครับ รสชาติเปรี้ยวหวานสดชื่นตัดเลี่ยนได้ดี อีกจานเราขอลองของแปลกครับ น้องมีชื่อว่า Scotch Brite และหน้าตาก็ตามนั้นเลยครับเป็น Sponge Cake ที่ถูกแปลงโฉมให้เป็นฟองน้ำล้างจาน เสิร์ฟคู่กับสบู่สีม่วงที่ซ่อนเจลลาเวนเดอร์ไว้ข้างใน วางบนเนื้อเค้กสีเหลืองที่ดูเหมือนผ้าฟองน้ำเอนกประสงค์ เพิ่มความสมจริงด้วยโฟมแทนฟองสบู่และสเปรย์กลิ่นสบู่ที่พนักงานพกมาพ่นเพิ่มให้ตอนเสิร์ฟ น่าทึ่งกับความสมจริงมากๆจนสมองเราสับสนมองเส้นแบ่งระหว่างขนมหวานกับการล้างจานเบลอไปหมดเลย มื้อนี้เราเปลี่ยนจากการตบท้ายด้วย Peppermint Tea เป็น Camomile เพื่อช่วยให้หลับสบาย และอีกกาเป็น ชาเชียว Jade Sword ซึ่งมีกลิ่นหอมและรสชาติ Nutty อ่อนๆก็ทำให้เราติดใจได้ไม่ยาก ก่อนกลับเชฟมีขนมเบาๆส่งท้ายด้วยเป็นช็อคโกแล็ตเสียบไม้ซึ่งช่วยคลายความ Formal ลงได้เยอะทีเดียวครับ Night Tour Around The Property เมื่อความมืดเข้าปกคลุม แสงดาวและแสงไฟของ Centara Reserve Samui ก็พากันส่องแสงระยิบระยับเลย ทำให้ได้อารมณ์ที่ทั้งโรแมนติคและดูขลังในบางมุมนั้นช่างแตกต่างออกไปจากช่วงกลางวันอย่างสิ้นเชิง การได้มาเดินชมรีสอร์ทในโมงยามนี้ ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบครับ Immersing In The Bubbles ได้ฤกษ์ลงอ่างแล้วคร้าบบบบ! อย่างที่เห็นว่าอ่างอาบน้ำใหญ่สุดๆ แช่พร้อมกัน 2 คนได้สบายๆ แต่เราขอสลับแช่ทีละคนก็แล้วกัน เดี๋ยวไม่มีคนถ่ายรูป ฮ่าๆๆ พื้นที่ของอ่างทำให้เราสามารถเหยียดเท้าที่สุดและแช่น้ำได้นานโดยไม่เมื่อย แม้ขนาดจะใหญ่แต่เติมน้ำไม่นานก็เต็มครับ ทางโรงแรมมี Bath Salts และสบู่เหลวหอมๆเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว แต่เราแอบหยอด Shower Gel ที่เตรียมมาเองเพื่อเพิ่มฟองนุ่มๆฟูๆด้วย It’s Bed Time! ไม่น่าเชื่อว่าในหนึ่งวันเราจะทำกิจกรรมต่างๆได้เยอะขนาดนี้ ถือเป็นอีกวันที่ Productive สุดๆ พรุ่งนี้เรามีนัดกับพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าตรู่ จึงต้องขอตัวรีบนอนก่อน เตียงขนาด Super King Size เริ่มส่งตาหวานเชื้อเชิญให้เราเข้าไปซุกตัวนอนแล้วครับ Bonne Nuit! Sunrise! Sunrise! วันนี้ไม่ผิดสัญญาแล้วนะครับ เราพาเพื่อนๆมาดูความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทุกวันของธรรมชาติ เพียงแค่วันนี้เราอยู่กันที่ทะเลสมุย ทั้งรัศมีแสงอาทิตย์ ผืนน้ำ และปุยเมฆต่างก็เป็นใจรวมพลังกันเนรมิตให้เช้าตรู่ของเราวันนี้งดงามดังภาพวาด ความนิ่งสงบของยามเช้านั้นทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ เพียงตื่นเช้าอีกนิด เราก็สามารถเก็บแต้มกำไรชีวิตได้หลายเด้งก่อนกลับกทม. Breakfast Matters ได้เวลามื้อเช้าที่สำคัญที่สุดของวันอีกครั้ง ไลน์บุฟเฟ่ต์จัดเต็มเหมือนเดิม แต่คราวนี้เราเลือกสั่งเมนู A La Carte ที่ยังไม่ได้ลองมาดูบ้าง เช่น Coal Oven Eggs ที่มาพร้อมกับเห็ดอบอร่อยๆ Stir Fried Brown Organic Rice เมนูข้าวผัดวีแกนเพื่อสุขภาพ แล้วก็มี French Toast ที่มาพร้อมกับ Maple Gelato ที่ตั้งใจทำให้ละลายมาล่วงหน้าเพื่อทำหน้าที่แทน Maple Syrup ด้วย เราแอบเห็นเมนูชา Organic Jade Sword Tea แบบเดี๋ยวกับที่เราจิบที่ห้องอาหาร Act 5 เมื่อคืน ก็เลยจัดมาอีก 1 กาครับ ก็ชอบจริงๆนี่นา One Final Dip วันนี้เราต้อง Check Out กันแล้ว เลยขอไปจุ่มสระส่วนตัวที่ Villa เป็นครั้งสุดท้ายก่อนกลับ โอยยย ยังไม่อยากกลับเลยครับ เราอาบน้ำให้สดชื่นอีกครั้ง บำรุงผิวกันซักหน่อย เราติดใจ Hydro Essense Lotion ของ Baum ตัวนี้เป็นพิเศษ นอกจากเนื้อสัมผัสจะเบาสบายซึมเร็วเหมาะกับอากาศร้อนของเมืองไทยแล้ว กลิ่นยังหอมมากๆด้วยครับ โอ้เอ้เถลไถลในห้องกันพอหอมปากหอมคอ ก็ถึงเวลาที่เราจำเป็นต้องทยอยแพ็คกระเป๋าจนเกือบหมด เผลอแป๊บเดียวต้องกลับซะแล้ว เวลาแห่งความสุขนั้นผ่านไปเร็วจริงๆ แต่เรายังมีแพลนสุดท้ายคือมื้อกลางวันที่ Salt Society ก็เลยกะว่าจะกลับมาล้างหน้าล้างตาก่อนกลับหลังมื้ออาหารอีกซักรอบ จริงๆก็เป็นข้ออ้างที่จะถ่วงเวลายื้อวิลล่าเอาไว้ให้นานที่สุดครับ ฮ่าๆๆๆ Modern Mediterranean Lunch At Salt Society บรรยากาศมื้อกลางวันที่ Salt Society วันนี้ต่างจาก Sunday Brunch วันก่อนที่แสนตื่นตาตื่นใจ เมื่อความครื้นเครงลดดีกรีลงไป Vibe ชิลล์ๆสบายๆก็เคลื่อนตัวเข้ามาโปรยเสน่ห์กลายเป็นอีกอารมณ์ แม้อุปกรณ์จาน-ชาม-แก้วน้ำและ Cutlery สีฟ้า-ขาวต่างๆจะเป็นเซ็ตเดียวกันกับวันก่อน แต่จังหวะที่เนิบช้าลงในวันนี้ทำให้เรามีเวลาสังเกตและชื่นชมรายละเอียดของพวกมันมากขึ้น ยิ่งเมื่อวางรวมกันบนโต๊ะ ก็ยิ่งได้ฟีลทะเลที่สวยและมีคาแร็คเตอร์มากเลย เราปลื้มแก้วค็อกเทลรูปสัตว์ทะเลของที่นี่มาก ได้ข่าวว่าทางโรงแรมสั่งทำพิเศษจากสเปนเลยครับ ทั้งน้องหอยสังข์และน้องปลาปั๊กเป้าต่างก็น่ารักสูสีกัน เราแอบเห็นว่ามีแก้วทรงแมงกระพรุนด้วย โอ้ยยยย อยากขอซื้อต่อกลับบ้านชะมัดเลย มาเข้าเรื่องอาหารกันบ้างดีกว่า มื้อนี้เป็นอาหารสไตล์โมเดิร์นเมดิเตอร์เรเนียนครับ และเฉกเช่นทุกห้องอาหารในโรงแรมที่ Salt Society ก็มีกิมมิคสอดแทรกให้ลูกค้ารู้สึกสนุกอยู่ตลอดเวลา อย่างการตั้งชื่อหมวดหมู่ในเมนูให้น่าสนใจ เช่น หมวด Raw ที่เน้นอาหารดิบ หมวด Green เน้นสลัด หมวด Liquid เน้นซุป และหมวด Starch สำหรับเอาใจสายแป้ง เป็นต้น ด้วยความที่เรายังอิ่มจากมื้อเช้าอยู่ ก็เลยพยายามสั่งเมนูไล้ท์ๆ มาลองชิมและถ่ายรูปมาฝากเพื่อนๆกัน เริ่มต้นที่ Grilled Watermelon สลัดแตงโมย่างเพิ่มรสชาติด้วยเฟต้าชีส ถั่วพิสตาชิโอ้ วนิลา มะกอกคาลามาต้า และเกลือซูมัค จานนี้ตอบโจทย์มากครับ อร่อยแบบสดชื่นเบาๆ จานต่อมาเป็น Cured Salmon Mille Feuille แซลมอนรมควันปรุงรสด้วยจิน มะกรูด เคร็มเฟรช เกลือมะนาว วางสลับชั้นกับ Puff Pastry กรอบๆ Carbonara-Filled Tortellini ขอสั่งเมนูหนักๆซักจานนะครับ จานนี้เชฟเค้าเล่นสนุกเอาเกี๊ยวอิตาเลียนมาใส่ไส้เจลาโต้พาเมซานรมควันและเบค่อน ติ๊ต่างว่าเป็นซอสคาร์โบนาร่า น่าสนใจดีครับ ตบท้ายด้วย Grilled White Snapper Fillet ที่เสิร์ฟพร้อมกับซัลซ่ามะม่วงสุก สลัดราดิคคิโอ้ อินทผาลัม มายองเนสรสมะนาว และผงผักชี ตั้งแต่เข้าพักที่ Centara Reserve Samui มา ก็แทบจะยังไม่มีเวลาให้ท้องว่างเลยครับ พื้นที่ในกระเพาะถูก Reserved เอาไว้ด้วยอาหารอร่อยๆตลอดเวลาเลย เอ๊ะ นี่คือ Reserve Experience อีกรูปแบบหนึ่งหรือเปล่านะ :-P Wrapping Up Our Stay สรุปความประทับใจ 2 วัน 3 คืนที่เราได้เข้าพักที่ Centara Reserve แห่งแรกของโลกที่เกาะสมุยนี้ เป็นช่วงเวลาที่พิเศษมากครับ สมกับความตั้งใจของแบรนด์ที่อยากจะสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับแขกที่เข้าพัก เราแอบได้ข่าวมาว่าทาง Centara มีแพลนขยายแบรนด์ Reserve ไปยังทำเลพิเศษอื่นๆอีก แต่เราขออุบไว้ก่อนว่าทำเลต่อไปจะเป็นที่ไหน เราเชื่อว่าจะต้อง “ว้าว” ยิ่งๆขึ้นไปแน่นอนครับ สำหรับ Centara Reserve Samui นั้น เราคิดว่าทีมงานประสบความสำเร็จในการส่งมอบ Reserve Experience เกือบเต็ม 100% ทั้งที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน (แน่นอนครับว่าทุกๆโรงแรมก็ย่อมมีเรื่องให้ปรับปรุงพัฒนาได้อีกเรื่อยๆแหละ) โจทย์ที่แบรนด์ตั้งเอาไว้ ตีแตกแทบจะสมบูรณ์แบบ ทั้งในเรื่องสถานที่ที่งดงามกว้างขวางและมีประโยชน์ใช้สอยดีเยี่ยม (Reserve Space) อิสระในเรื่องเวลาทั้งการเช็คอิน-เช็คเอ้าท์ และการรับประทานอาหาร (Reserve Time) การนำเสนอและเชื่อมต่อวัฒนธรรมท้องถิ่นสู่ความเป็นสากลจนถึงมือลูกค้า (Reserve Culture) และการบริการที่ใส่ใจเหนือความคาดหมาย (Reserve Touch) ส่วนตัวเรารู้สึกว่าความหรูหราของที่นี่นั้นมีเสน่ห์ที่ต่างไป อิสระที่ให้กับลูกค้านั้นทำให้ประสบการณ์ของ Centara Reserve Samui นั้น “เข้าถึงง่าย” และที่สำคัญคือ “คุ้มค่า” มากครับ น่าจะถูกจริตลูกค้าส่วนใหญ่ที่ชอบความยืดหยุ่นสบายๆแบบนี้ ในขณะเดียวกันก็ถูกโอบกอดเอาไว้อยู่ในมวลอารมณ์ที่หรูหรามีระดับ พร้อมกับได้ปรนเปรอตัวเองด้วย “ของดี” โดยเฉพาะในเรื่องอาหารการกิน นี่น่าจะเป็นหนึ่งในโพสต์ที่พักที่ยาวที่สุดที่เราเขียนมา แต่ถ้าจะให้สรุปสั้นๆก็คือ การ Reserve ห้องพักที่ Centara Reserve Samui น่าจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดที่เราจะได้ Reserve ช่วงเวลาที่ดีของชีวิตให้เป็นรางวัลกับตัวเองครับ #LetsHoparound BOOK NOW จองห้องพักได้ที่นี่ ข้อมูลเพิ่มเติม Call: 077-230-500, 02-102-1234 Line: @CentaraReserve https://lin.ee/9hca5xq Website: centarahotelsresorts.com/centarareserve/crs
- Shanghai เซี่ยงไฮ้ เซอร์ไพรส์เกินคาด
Shanghai เซอร์ไพรส์เกินคาด รีวิวเซี่ยงไฮ้ เที่ยวเซี่ยงไฮ้ด้วยตัวเอง นอกจากรถไฟความเร็วสูงเกินคาด (300 กม./ชั่วโมง) จากสนามบินเข้าตัวเมือง Shanghai แล้ว มหานครจีนแห่งนี้ยังมีเซอร์ไพร้ส์อื่นๆรอให้ชาว # hopsters ไปค้นพบอีกมากมาย มาๆมา # hop ไปพร้อมกันเลย!! โรงแรมแนะนำในเซี่ยงไฮ้ พร้อมดีลพิเศษ เดอะ เซี่ยงไฮ้ เอดิชั่น (The Shanghai EDITION) อะลิล่า เซี่ยงไฮ้ (Alila Shanghai) เดอะ แลงแฮม เซียงไฮ้ ซินเทียนตี้ (The Langham Shanghai Xintiandi) ฮอลิเดย์ อินน์ เซี่ยงไฮ้ ถนนนานกิง (Holiday Inn Shanghai Nanjing Road) OPARTMENT(远东饭店) อันดาส ซิงเทียนตี้ เซี่ยงไฮ้ (Andaz Xintiandi Shanghai By Hyatt) แมนดาริน โอเรียนเต็ล ผูตง เซี่ยงไฮ้ (Mandarin Oriental Pudong Shanghai) Caption By Hyatt Zhongshan Park Shanghai วอลดอร์ฟ แอสทอเรีย เซี่ยงไฮ้ ออน เดอะ บันด์ (Waldorf Astoria Shanghai On the Bund) เดอะ สุโขทัย เซี่ยงไฮ้ (The Sukhothai Shanghai) บัตรเข้าสวนสนุก Shanghai Disney Resort สุดพิเศษ สามารถซื้อได้ที่นี่ บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะผู่ตง สุดพิเศษ สามารถซื้อได้ที่นี่ The Bund ที่นี่คือสุดยอดจุดชมวิวเมืองที่ชาว #hop ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง The Bund ถูกยกให้เป็นหนึ่งในทางเดินริมน้ำที่สวยและมีความ Iconic มากที่สุดในโลก เพราะเรียงรายไปด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปสุดแกรนด์หลากหลายสไตล์ตั้งแต่ Neo-classical, Beaux-arts, Gothic จนถึง Baroque และเมื่อมองข้ามฝั่งแม่น้ำหวงผู่ไป ก็จะเห็นเมืองใหม่ที่แน่นไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้ารวมถึง Oriental Pearl Tower ที่เป็นสัญลักษณ์ของเซี่ยงไฮ้อีกด้วย เรียกว่าขนาบไปด้วยวิวพาโนราม่าของทั้งเมืองเก่าและใหม่ทั้งซ้ายและขวาเลยทีเดียว ย้อนกลับไปเมื่อค.ศ.1842 The Bund ถือกำเนิดขึ้นบนเจ็บปวดของชาวจีนในขณะนั้น เมื่อจีนแพ้สงครามฝิ่นและต้องจำใจยอมลงนามในสนธิสัญญานานกิง เพื่ออนุญาตให้อังกฤษและชาติตะวันตกเข้ามาถือครองที่ดินตั้งรกรากและทำการค้าในเขตปกครองพิเศษเซี่ยงไฮ้ที่ขณะนั้นยังมีสภาพเป็นพื้นที่ลุ่มทางการเกษตร ใครจะคิดว่าความพ่ายแพ้ของจีนในวันนั้นจะเป็นจุดกำเนิดของเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว “หลายร้อยล้าน” คนในแต่ละปี ในวันนี้อาคารใน The Bund เป็นที่อยู่ของสำนักงานธนาคารและบริษัทใหญ่ๆ รวมถึงโรงแรม ร้านอาหาร บาร์ และร้านขายสินค้าลักชัวรี่ต่างๆ เดินมาเรื่อยๆ เราก็เจอกับ % Arabica Shanghai Roastery สาขานี้ค่อนข้างใหญ่ มีทั้งโรงคั่ว และร้านกาแฟ บรรยากาศน่ารักๆ เงียบๆ Location: 169 Yuanmingyuan Rd, Wai Tan, Huangpu Qu, Shanghai Shi, China, 200436 https://goo.gl/maps/bW2tdT3ZaN9ShDLa9 Yuyuan Old Street อยู่ติดกันกับ Yuyuan Garden ที่นี่เป็นย่านการค้าขนาดย่อมที่รุ่มรวยไปด้วยสถาปัตยกรรมและบรรยากาศจีนโบราณ สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคราชวงศ์หมิงกว่า 400 ปีมาแล้ว มนตร์เสน่ห์และความขลังที่ยังคงอบอวลอยู่ในย่านเก่าแก่แห่งนี้ มีพลังดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มารวมพลกันโดยไม่ได้นัดหมายจนบางครั้งต้องเดินเบียดกัน แต่หากหาจังหวะถ่ายรูปเก่งๆก็มีมุมถ่ายรูปสวยๆได้ตลอดทาง Yuyuan มีร้านค้าอยู่ทุกซอกมุมขายทั้งอาหาร เสื้อผ้า และของที่ระลึก (ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเน้นกลุ่มลูกค้าทัวริสต์) เราแวะซื้อเสี่ยวหลงเปาซุปปูที่มาพร้อมกับหลอดดูดมาทดลอง รสชาติดีทีเดียว แต่เค้าว่านี่ยังไม่ใช่ร้านต้นตำรับ จากที่นี่ถ้าขยันเดินนิดนึงชาว #hopsters ก็สามารถเดินลัดเลาะชมเมืองไปถึง The Bund ได้เลย Fosun foundation หรือลองเสิจว่า The Bund Finance Center เป็นตึกที่มีความเท่มาก เพราะตัวเลเยอร์สามารถหมุนได้ด้วย ทางเดินเลาะแม่น้ำใหญ่มาก สะอาดด้วย Nanjing Road ถนนช้อปปิ้งหลักสายยาวของเซี่ยงไฮ้ แยกออกมาจาก The Bund คราคร่ำไปด้วยขาช้อปและนักท่องเที่ยว เนืองแน่นไปด้วยห้างสรรพสินค้า ร้านค้า flagship ของแบรนด์ต่างๆ และร้านอาหารหลายสไตล์ตลอดทาง เราแว่บเข้าไปในห้าง Daimaru ก็สะดุดตากับบันไดเลื่อนโค้งที่เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร เดินต่อมาอีกซักพักก็เจอตึกที่เป็นร้าน Zara ทั้งตึกใหญ่มากๆ Xintiandi อีกย่านช้อปปิ้งหลักของเซี่ยงไฮ้ แต่บรรยากาศต่างจาก Nanjing Road มาก เพราะที่นี่นักท่องเที่ยวน้อยกว่า ตึกน่ารักกว่า มีซอกมุมเยอะกว่า น่าเดินกว่า และมีร้านเก๋ๆที่คัดของแปลกๆมาขายมากกว่า เอาตรงๆก็คือส่วนตัวเราชอบย่านนี้มากกว่านั่นเอง 5555 ด้วยบรรยากาศที่ดูดีแบบนี้ จึงไม่แปลกที่ Xintiandi จะเป็น Location หลักในการจัดงาน Shanghai Fashion Week ในแต่ละปี อ่อ! สำหรับแฟนๆอุปกรณ์ถ่ายวิดีโอของ DJI แบรนด์จีนที่ดังไกลทั่วโลก ก็อย่าลืมแวะร้าน Flagship กันได้ที่ Xintiandi นี่เลย HEY TEA ร้านชานมไข่มุกชื่อดังในเซี่ยงไฮ้ ชาที่นี่มีให้เลือกมากมายอาจจะต้องใช้เวลายืนสั่งนานนิดนึงฮ่าๆ และจะบอกว่าสาขานี้พิเศษตรงที่มีเบเกอรี่ขายด้วย และอร่อยมากๆๆๆ จนอยากกลับไปซื้อซ้ำ ตรงนี้ก็เป็นร้านสูทร ที่มีคาเฟ่เล็กๆขายด้านหน้าร้านด้วย DOE Coffee ร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ในร้านเสื้อผ้าสตรีทสไตล์ แถมบาริสต้ายังใจดีแนะนำร้านอาหาร local ให้เราอีกด้วย Huaihai Middle Road ย่านนี้ไม่ค่อยมีคนแนะนำกันเท่าไหร่ แต่สำหรับเรา นี่คือหนึ่งในย่านที่เราชอบมากที่สุด ด้วยเหตุผลหลายๆข้อ ไม่ว่าจะด้วยที่ตั้งที่ต่อตรงมาจาก Xintiandi ได้เลยและสามารถเดินได้ยาวไปชนกับอีกย่านช้อปปิ้งที่มีห้างๆเก๋ๆสวยๆหลายแห่ง บรรยากาศในละแวกนี้ก็ดูจริงไม่ประดิษฐ์เหมือนย่านช้อปปิ้งอื่นๆ เรายังเห็นชาวเมืองเซี่ยงไฮ้ในวัยต่างๆออกมาจับจ่ายใช้สอย และย่านนี้ก็ยังมีกิจการร้านรวง local แซมอยู่เป็นระยะ แบรนด์ใน Huaihai Middle Road นี้ก็มีทั้งที่เราคุ้นเคยเช่น Nike, Muji, Freitag, Uniqlo รวมถึงแบรนด์เสื้อผ้าจีนอย่าง Urban Revivo Muji (สาขานี้มีหนังสือและของไม่เหมือนที่อื่นด้วยนะ) ส่วนชั้นบนมีร้านอาหาร MUJI DINER ด้วยนะง่ายๆ แนะนำเลย SEE SAW coffee แบรนด์กาแฟชื่อดัง(อีกแล้ว) ของเมืองเซี่ยงไฮ้ มีสาขารอบๆเมืองเลย แถมพนักงานก็บริการดีมากด้วย ร้านรวมของดีไซน์เก๋ๆ "RESEE" อยู่ชั้นบนของตึกเดียวกับ MUJI ที่นี่มีตั้งแต่ของแต่งบ้าน จักรยาน ของใช้ในชีวิตประจำวันรวมไปถึงกระเป๋าชื่อดังอย่าง Freitag ด้วยแหละ mia fringe ซึ่งเป็นร้าน Concept Store ที่คัดแบรนด์เสื้อผ้าชิคๆ และยังมีส่วนที่เป็นคาเฟ่ และชั้นบนสุดก็มี Bar เก๋ๆไว้รองรับลูกค้าด้วย ที่นี่พนักงานพูดภาษาอังกฤษดีมากกก ถ้าเทียบกับหลายๆร้าน ฮ่าๆ 1933 Old Millfun โรงฆ่าสัตว์ขนาด 32,500 ตารางเมตรที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1933 กลับกลายเป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมแนว Gotham-Deco อันเป็นเอกลักษณ์ที่หลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในโลก เมื่อก้าวเข้าภายในตัวอาคารบรรยากาศก็ชวนให้พิศวง แอบน่ากลัวเล็กๆ เท่หน่อยๆ น่าสนใจอย่างประหลาด บางครั้งเราก็รู้สึกเหมือนยืนอยู่ใต้ทางด่วนที่ก่ายกันไปมา ภายในมีร้านค้าและสำนักงานอยู่บ้างประปราย มีคนเดินถ่ายรูปกันเยอะพอสมควร เราแอบเห็นคนมาถ่าย Fashion Set ในวันที่เราไปและเราก็คิดว่า ชาว #hopsters ของเราก็ควรจะแวะมาเสพความฮิปของที่นี่ด้วยเช่นกัน เดินออกมาจาก 1933 Old Millfun บรรยากาศเมืองก็จะประมาณนี้ มีกลิ่นความครีเอทีฟนิดๆ Upper Bookstore (Banceng) เดินไปอีกนิดหน่อยบนถนน Ha’erbin Road ที่อยู่ห่างจากตึก 1933 มาเพียงหน่อยเดียว เป็นถนนเงียบๆ ที่มีร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านหนังสือเก๋ๆที่ชื่อ Upper Bookstore (Banceng) ด้วย ร้านนี้เป็นร้านขายหนังสือขนาดสองชั้นที่สายอาร์ต สายดีไซน์ต้องหลงรักแน่ๆ เพราะมีหนังสือและนิตยสารหลายพันเล่มให้เลือกซื้อ ทั้งภาษาจีน ภาษาอังกฤษ มีเครื่องเขียนเก๋ๆให้เสียตังเยอะเลย ฮ่าๆ แถมด้านหลังร้านก็มีคาเฟ่ให้นั่งจิบกาแฟเบาๆ อีกด้วยแหละ(ก็คือมีสองที่นั่ง) ตรงข้ามกันกับร้านหนังสือก็มีร้านอาหาร และร้านคาเฟ่อื่นๆอยู่ด้วย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในร้านอาหารที่พนักงานร้านคาเฟ่แนะนำมา เป็น ร้านก๋วยเตี๋ยวสไตล์เซี่ยงไฮ้ จะบอกว่าร้านนี้อร่อยจริงๆ น้ำซุปเข้มข้นมาก ไก่ทอดก็ดี คือควรมาชิมมาก เป็นไม่กี่ร้านที่อาหารกลมกล่อมนะ ปกติร้านอื่นติดจืดๆหน่อย ร้านนี้อยู่สถานี Laoximen ออกทางออก 4 หรือลองเสิจในกูเกิลแมปว่า 290号 Ji An Lu Huangpu Qu, Shanghai Shi Jing An Temple Station แม้เซี่ยงไฮ้จะมีวัดมากมาย แต่นี่น่าจะเป็น 2 วัดที่คนนิยมไปไหว้พระกันมากที่สุด โดยที่วัดจิ้งอันนั้นโดดเด่นด้วยสีทองอร่าม โดยเฉพาะยามค่ำคืน สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย 3 ก๊ก มีอายุเกือบ 800 ปี ทำให้วัดผ่านความเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคสมัย ตั้งแต่ถูกย้ายมาจากริมฝั่งแม่น้ำวู่ซ่งสู่ดาวน์ทาวน์เซี่ยงไฮ้ในปัจจุบัน ถูกทำลายและสร้างขึ้นใหม่ จากนั้นถูกใช้เป็นโรงงานพลาสติคในยุคปฏิวัติประเทศ และถูกไฟไหม้ จนต้องบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้ง ภายในวัดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย รวมถึงหินหยกก้อนมหึมาที่ว่ากันว่าหากได้สัมผัสจะนำมาซึ่งความโชคดี เราเลือกที่จะขึ้นไปชมวิววัดจากด้านบน ภายในห้าง Reel mall บอกเลยว่าวิวดีมาก ขึ้นฟรีด้วย ตรงข้ามวัดก็มีร้าน 10 Corso Como เป็น ร้านขายของ multi-brand ของประเทศอิตาลี จะรวมของตามสมัยนิยมตั้งแต่เสื้อผ้า hi-end, hi-street จากทั่วทุกมุมโลกที่เป็นแรไอเท่มมากๆ แต่ละชั้นก็จะขายสินค้าแตกต่างกันไป อีกชั้นก็ขายพวกสินค้าแต่งบ้าน รูปภาพจากศิลปินชื่อดัง หนังสือแม็กกาซีน ซีดีเพลง นาฬิกา ของสะสม เครื่องประดับสวยๆ แต่ราคาปังมากๆ คือแพงแบบปัง แต่เราคิดว่าแค่ได้มาเดินดูก็ถือว่าคุ้มแล้ว อ้อ ชั้นบนมีคาเฟ่ ร้านอาหารวิวดีอยู่ด้วยนะ ลองไปดูกัน Location: https://goo.gl/maps/p75YYYeEY7AQaRZeA อีกห้างที่ใกล้ๆกันคือ Reel mall เป็นห้างที่ขายทุกอย่างที่เป็นสมัยนิยม และที่สำคัญจัดร้าน จัดดิสเพลสวยมาก สวยจนแบบนึกว่ามาเดินแกลอรี่เลยอะ Location: https://goo.gl/maps/pvFwSXrWkonb1tNz6 เดินไปเรื่อยๆตามถนนเส้นนี้ ก็จะมีแบรนด์นอกแถมตึกก็ดีไซน์สวย ให้ได้ชม ได้ถ่ายรูปด้วย Tianzifang เป็นย่านที่อยู่อาศัยเก่าที่เพิ่งถูกปลุกให้มีชีวิตขึ้นมาเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้เอง เริ่มต้นจากที่ เฉิน ยี่เฟย ศิลปินคอนเทมฯจีนชื่อดังมาใช้พื้นที่โรงงานร้างสร้างเป็น Studio เมื่อปี 1998 จนวันนี้ Tianzifang กลายเป็นย่านศิลปะ (ป่ะ?) ที่ครึกครื้นไปด้วยผู้คนหลากหลายกลุ่ม ทั้งวัยรุ่น ครอบครัว นักท่องเที่ยวจากต่างถิ่น ทุกคนต่างก็เดินเบียดกันอยู่ในซอกซอยของบ้านเรือนผนังหินที่ถูกดัดแปลงมาเป็นร้านค้านานาชนิด สเน่ห์ของย่านนี้คือเป็นตรอกซอกซอยและมีร้านค้าเยอะมาก คนก็เยอะมากเช่นกัน มาลงสถานีรถไฟ Dapuqiao แล้วออกทางออก 1 ได้เลย เรามาตอนที่ HAY ลดราคา 50% ทุกชิ้นนนน จะรอไรละ เหมาาาา ฮาๆ Starbucks Reserve Roastery Shanghai ในบรรดาเกือบ 30,000 ร้านของ Starbucks ทั่วโลก ที่นี่คือนัมเบอร์วัน! ทั้งในเรื่องขนาดร้าน (เกือบ 3,000 ตารางเมตร) และยอดขาย ที่นี่เป็น 1 ใน 3 โลเคชั่นพิเศษของสตาร์บัคส์ที่เหมือนเป็นโรงงานคั่วเมล็ดกาแฟไฮเทคขนาดย่อม พร้อมสายพานโชว์การบรรจุแพ็คเก็จจิ้ง ที่นี่มีเคาน์เตอร์ชงกาแฟหลายจุด พร้อมให้บริการกาแฟทุกรูปแบบการชง รวมถึงค็อกเทลที่มีส่วนผสมของกาแฟด้วย Location: https://goo.gl/maps/zqzCrkEzMJbwwE819 Longhua Temple วัดหลงหัวเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้ โดยแต่ละแหล่งก็ให้ข้อมูลต่างกันไป บางตำราก็ว่ามีอายุถึง 1,700 ปี โดดเด่นด้วยเจดีย์ 7 ชั้นที่สูงถึง 40.4 เมตร ภายในวัดมีศิลปะจีนโบราณที่ดูขลังยิ่งนัก Location: https://goo.gl/maps/ZnDTXJQ39EGgA29v8 สถานีรถไฟ Longhua สายสีเขียว ออกทางออก 4 ภายในวัดสวยมากๆ YUZM ด้วยขนาดพื้นที่ทั้งหมดกว่า9,000 ตร.ม. และมีอาคารเพดานสูงโอ่โถงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นโรงเก็บเครื่องบินเก่าของ Longhua Airport ทำให้มิวเซี่ยมแห่งนี้มีพื้นที่เหลือเฟือที่จะจัดแสดงงานศิลปะในทุกสเกล เปิดทุกวันยกเว้นวันจันทร์* Location: https://goo.gl/maps/cL2rp3bYpHt3FXCr9 สถานีรถไฟ Yunjin Road สายสีแดงเข้ม ออกทางออก 2 ชคดีมากที่ช่วงที่เราไป ทางมิวเซี่ยมกำลังจัดนิทรรศการที่เจ๋งมากถึง 2 งาน คือ The Artist Is Present โดย Maurizio Cattelan แห่ง Gucci และอีกอันก็คือ Rain Room ห้องแห่งสายฝนอันตระการตา โดย Hannes Koch และ Florian Ortkrass อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่อยากให้พลาดคือ Rain Room 2019 : 雨屋 ด้านในนี้จะเป็นห้องสีดำเปล่าๆ แล้วให้เราเดินผ่านเข้าไปช้าๆ แบบไม่เปียก เพราะเซ็นเซอร์ที่ติดอยู่จะจับการเคลื่อนไหวของเราและไปสั่งเครื่องปล่อยน้ำให้หยุด แต่อย่าวิ่งนะ เปียกชุ่มแน่นอน ค่อยๆเดิน Himalayas Center ในเขตเมืองใหม่ของเซี่ยงไฮ้อย่างผู่ตง (Pudong) นั้นมีตึกดีไซน์น่าสนใจอยู่หลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็คือ Himalayas Center ผลงานการออกแบบโดยสถาปนิคชาวญี่ปุ่นชื่อ Arata Isozaki ตึกแห่งนี้มีทั้งโรงแรม 5 ดาว โรงแรมบูทีค ร้านอาหาร อาร์ท มิวเซี่ยม โรงละครล้ำสมัย (ใช้จัดงาน Shanghai Film Festival) ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ไปจนถึงพื้นที่จัดแสดง exhibition ต่างๆ Location: https://goo.gl/maps/LEq1yBKvL19KTwaXA สถานีรถไฟ Huamu Road สายสีส้ม ออกทางออก 3 French Concession แมกไม้ที่ร่มรื่นตลอด 2 ฝั่งถนน ทำให้ย่าน French Concession เป็นหนึ่งในย่านที่น่าเดินมากที่สุด และเป็นบรรยากาศของเซี่ยงไฮ้ที่เซอร์ไพร้ซ์เรามากที่สุดเช่นกัน เพราะมันดีงามเกินความคาดหมายของเราไปมาก ที่นี่เป็นเขตอยู่อาศัยของชาวฝรั่งเศสที่ครั้งหนึ่งจีนต้องจำใจมอบให้เนื่องจากแพ้สงครามฝิ่นเมื่อปี 1849 นอกจากต้นไม้สีเขียวแล้ว ที่นี่ยังเต็มไปด้วยบาร์ดนตรีสด บาร์ไวน์บูทีค คาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านแฟชั่นอินดี้ ร้านขายงานศิลป์ ฯลฯ Metal hands ร้านกาแฟ Metal hands ร้านนี้แนะนำเลย ใครที่ชอบนั่งกินกาแฟชิลๆ ร้านเล็กๆคนไม่พลุกพล่าน กาแฟก็อร่อย Cha's Restaurant ร้านนี้เป็นร้านอาหารจีนกวางตุ้ง (มาจากฮ่องกง) อร่อยมากๆ เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่เราชอบมากที่สุด เพราะรสชาติถูกปากมากๆ อาหารกลมกล่อมมาก อาหารก็มีให้เลือกหลากหลาย Location: https://goo.gl/maps/jsLGqJG1ndcEFVaX7 ที่พัก ปิดท้ายกันที่ ที่พัก ครั้งนี้เราเลือกพักบ้าน AIRBNB ที่นี่สะอาดและใหญ่มากๆ มีครัวให้ มีตู้ซักผ้า ห้องน้ำ ห้องนอน แยกเป็นสัดส่วนมากๆ แนะนำเลย ทางไปจอง>>> https://th.airbnb.com/rooms/28502943?s=51 เป็นยังไงกันบ้างสำหรับทริป Shanghai มันดีเกินคาดใช่มั้ยล่าาา ทริปนี้ทำให้เรามองจีนต่างไปจากเดิมมากทีเดียว และชื่นชมในศักยภาพ รวมถึงความตั้งใจพัฒนาเมืองของเขามากๆ ถ้าไม่มาก็คงไม่ได้เห็น เราจึงจากให้ชาว #hopsters ไป #hoparound เปิดโลกกันมากๆนะครับ โรงแรมแนะนำในเซี่ยงไฮ้ พร้อมดีลพิเศษ เดอะ เซี่ยงไฮ้ เอดิชั่น (The Shanghai EDITION) อะลิล่า เซี่ยงไฮ้ (Alila Shanghai) เดอะ แลงแฮม เซียงไฮ้ ซินเทียนตี้ (The Langham Shanghai Xintiandi) ฮอลิเดย์ อินน์ เซี่ยงไฮ้ ถนนนานกิง (Holiday Inn Shanghai Nanjing Road) OPARTMENT(远东饭店) อันดาส ซิงเทียนตี้ เซี่ยงไฮ้ (Andaz Xintiandi Shanghai By Hyatt) แมนดาริน โอเรียนเต็ล ผูตง เซี่ยงไฮ้ (Mandarin Oriental Pudong Shanghai) Caption By Hyatt Zhongshan Park Shanghai วอลดอร์ฟ แอสทอเรีย เซี่ยงไฮ้ ออน เดอะ บันด์ (Waldorf Astoria Shanghai On the Bund) เดอะ สุโขทัย เซี่ยงไฮ้ (The Sukhothai Shanghai) . บัตรเข้าสวนสนุก Shanghai Disney Resort สุดพิเศษ สามารถซื้อได้ที่นี่ บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะผู่ตง สุดพิเศษ สามารถซื้อได้ที่นี่ Facebook: @hoparound.co Instagram: @hoparound.co Website: www.hoparound.co . # Shanghai # LetsHoparoundShanghai # LetsHOParound # Travel #เที่ยวเซี่ยงไฮ้ #รีวิวเซี่ยงไฮ้ #เมืองเซี่ยงไฮ้ #เซี่ยงไฮ้ไปไหนดี #เที่ยวไหนดีในเซี่ยงไฮ้ #คาเฟ่ในเซี่ยงไฮ้ #ร้านอาหารเซี่ยงไฮ้ #ที่เที่ยวเซี่ยงไฮ้