The Standard Bangkok Mahanakorn ดีไซน์สนุกสุดฮิป ณ แฟล็กชิปแห่งเอเชีย โรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด กรุงเทพ
ที่อเมริกาไม่มีข้าวผัดอเมริกันฉันใด ที่ The Standard ก็ไม่มีอะไรที่เป็น Standard ฉันนั้น ในปี 1999 กลุ่มนักลงทุนที่มีดารา Hollywood อย่าง Leonardo DiCaprio และ Cameron Diaz รวมอยู่ด้วย ได้ให้กำเนิดแบรนด์โรงแรมแนวคิดใหม่ขึ้นที่ทั้งเท่ วัยรุ่น และสนุกบน Sunset Strip แห่งมหานคร Los Angeles แทคไลน์ “Anything But Standard” นั้นนำรสชาติแปลกใหม่ที่เปรี้ยวซ่าสดชื่นมาให้กับแวดวงการโรงแรมที่มักจะเน้นความนิ่งสงบ แม้โรงแรมแห่งแรกนี้ต้องปิดตัวลงไปในช่วงโควิดที่ผ่านมา แต่ DNA กลับหัวของ The Standard ก็ได้ถูกส่งต่อไปยังภูมิภาคต่างๆทั่วโลก ล่าสุดก็มาถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย และไม่ได้มาเล่นๆนะครับ เพราะ The Standard Bangkok Mahanakorn นี้ถูกวางให้เป็น Flagship Property ของแบรนด์ในเอเชียเลยทีเดียว อย่าเสียเวลาดีกว่า เรามา #Hop ไปดูพร้อมๆกันเลย!
The Overview
จากชื่อก็เดาได้ไม่ยากว่าโรงแรมแสนเก๋แห่งนี้นั้นตั้งอยู่บนตึกมหานคร ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย (ณ เวลาที่เราเขียน) โดยเพิ่งเปิดตัวอุ่นๆจากเตาไปเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง และเพียงชั่วพริบตาทุกสายตาก็จับจ้องมาที่โรงแรมขนาด 155 ห้องพักแห่งนี้จนกลายเป็นหนึ่งในโรงแรมที่มีคนพูดถึงมากที่สุดในทันที แน่นอนว่าวิวสวยจากมุมสูงนั้นกลายเป็นแต้มต่อของโรงแรมแห่งนี้แบบไม่ต้องกลัวเป็นรองใคร ยิ่งถ้าเพื่อนๆได้ขึ้นไป Sky Beach บนชั้น 78 ดาดฟ้าของตึกนั้นก็พูดได้เต็มปากว่าเราได้มาอยู่บนจุดสูงสุดของกรุงเทพฯเรียบร้อยแล้ว
แต่ที่ต้องยกความดีความชอบให้เป็นพิเศษก็คืองานออกแบบภายในโดยคุณ Jaime Hayon (ไฮเม่ ฮายอน) ศิลปินชาวสเปนผู้ทรงอิทธิพลแห่งยุค เราดูออกแหละว่าคุณ Jaime นั้นสนุกอย่างมากกับการได้เล่นกับสีสันทรวดทรงและลวดลายแปลกตา ทุกซอกทุกมุมนั้นเต็มไปด้วยความอาร์ทจนแทบจะทำให้ตัวโรงแรมกลายเป็นงานอาร์ทชิ้นโตไปเสียเองด้วยเลย ประหนึ่งเป็นแดนเนรมิตส่วนตัวของคุณ Jaime ที่พาเราให้หลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว และผลงานของเขาก็มีฤทธิ์เป็นแม่เหล็กทรงพลังในยุคแห่งการ Snap รูปโดยไม่ต้องพยายามเพราะไม่ว่าจะหันไปมุมไหนก็ถ่ายรูปขึ้นไปหมด โดยแต่ละชั้นก็มีการใช้ Scheme สีที่ต่างกันออกไป ทำให้มู้ดของโรงแรมในมีความ Dynamic สูงมาก เช่นเดียวกับกรุงเทพฯที่เป็นเมืองแห่ง Contrast ในหลายมิติ
The Arrival
หลังจากเลี้ยวแว๊บเข้ามาจากถนนนราธิวาส เราก็เทียบจอดรถให้พอร์ทเตอร์ช่วยเอาของลงและฝากกุญแจรถให้พนักงาน Valet เอารถไปจอด สีเขียวชอุ่มของ Foyer ที่ชั้นล่างของตึกนั้นให้การต้อนรับเราอย่างชุ่มชื่นหัวใจพร้อมแง้มให้เห็นความสนุกเล็กๆของงานดีไซน์ผ่านเท็กซ์เจอร์ผนัง และรูปทรงต่างๆ โดยเฉพาะโคมไฟหวายขนาดใหญ่ที่ห้อยลงมาจากเพดานสูง
The Shop
ที่ด้านข้าง Counter พนักงานรับรถนั้นมี The Shop ร้านรวมของดีไซน์จริตแบรนด์ The Standard ทั้งจากศิลปินไทยและสินค้าของแบรนด์ The Standard เองซึ่งเราถูกใจอยู่หลายชิ้นจึงเสียเงินไปในที่สุด ฮ่าๆ แต่ชั้นล่างตรงนี้ยังไม่ใช่ Reception นะครับ ต้องกดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 4 นู่นแน่ะ
Reception
ของโรงแรมใช้สีเหลืองเป็นหลักเพื่อสื่อถึงความเป็นกันเองที่สนุกสดใส ส่วนตัวงาน Interior Design นั้นก็ Chic ราวกับเด้งออกมาจาก Pinterest เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น Object อัน Element ทุกอย่างนั้นตะโกนคำว่า “Art” และ “Design” ออกมาไม่หยุด แม้แต่ชุดพนักงานในแผนกต่างๆก็ถูกดีไซน์มาให้กลับข้าง ไม่ว่าจะเอากระเป๋าหลังมาไว้ข้างหน้า หรือเอาสิ่งที่ควรอยู่ข้างล่างไปไว้ด้านบน ทำให้บรรยากาศดูซุกซนน่าหยิกมาก และช่วงที่เราเช็คอินนั้นใกล้วันแม่ จึงมีกิจกรรม Calligraphy เขียนการ์ดและมีคลาสจัดดอกไม้ จึงทำให้ บริเวณ Lobby ยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ
เราสะดุดตากับจอที่ด้านหลังของ Counter พนักงานต้อนรับซึ่งจัดแสดงผลงานดิจิตอลอาร์ทในรูปแบบวิดิโอในนาม “Heaven’s Gate” ของ Marco Brambilla สุดยอดศิลปินชาวอิตาเลียน ซึ่งพนักงานแจ้งว่าจะมีการสับเปลี่ยนการจัดแสดงงานอาร์ทในโรงแรมทุกๆไตรมาสเลยล่ะครับ
Our Room
ห้องพัก 155 ห้องของโรงแรมนั้นถูกแบ่งเป็น 8 Room Types ที่มีขนาดตั้งแต่ 29-144 ตร.ม. ห้องของเราหมายเลข 1507 อยู่ชั้น 15 เป็นห้อง Corner Double ขนาด 57 ตร.ม. (เลข 5 กะ 7 เยอะมาก งวดนี้เอาไงดี?) สามารถรับรองผู้ใหญ่ 2 คนกับเด็กอีก 2 คนได้ แต่เรามาแค่ 2 คนก็รู้สึกว่ากำลังพอดี อ่อ! ลืมบอกไปว่าที่นี่ Pet Friendly นะครับ สามารถพาน้องหมาน้องแมวมานอนได้ แต่เรื่องเงื่อนไขต่างๆต้องไปถามทางโรงแรมกันเอาเองอีกทีนะครับ
การตกแต่งทางเดินชั้นห้องพักนั้นจะเป็นธีมสีแดงไม่ว่าจะเป็นแผง Wainscoting ที่กรุครึ่งล่างของผนังสองข้าง ประตูห้องพัก และพรมที่ทอเป็นลายเส้นดูเดิ้ลที่น่าจะวาดโดยคุณ Jaime Hayon เองเลย ให้อารมณ์ย้อนยุคแต่ก็แอบโมเดิร์นเหมือนฟีลหนังของ Wes Anderson
ภายในห้องพักของเรานั้นก็สวยงามไม่ผิดคาด เต็มไปด้วยความโค้งมนตามสไตล์ของคุณ Jaime ไม่ว่าจะเป็นกรอบกระจก หัวเตียง กรอบประตูในห้องน้ำ ขอบตู้ต่างๆ (ในตู้เสื้อผ้ามี Bathrobes ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์มากครับ) การตกแต่งเน้นโทนสีอบอุ่นที่ดูสนุกไม่ว่าจะเป็นสีชมพูแซลมอน โรสโกลด์ เหลือง ส้ม น้ำตาล ส่วนวิวไม่ต้องพูดถึงครับเห็นเมืองแบบพาโนราม่าเลย และระบบควบคุมม่านก็สะดวกทันสมัยมากครับใช้กดปุ่มเอาง่ายๆเลย
ส่วน Amenities จะมีผลิตภัณฑ์อาบน้ำหอมละมุนจากแบรนด์ Davines จากเมือง Parma อิตาลี ที่มินิบาร์มีเครื่องชงกาแฟ Nespresso และเครื่องเสียงบลูทูธของ Bang & Olufsen ให้ด้วยครับ
เราชอบโซนอาบน้ำเป็นพิเศษครับ มีทั้งแบบอ่างแช่และชาวเวอร์ ที่สำคัญคือเห็นวิวเมืองชัดมาก ยิ่งช่วงเย็นๆแสงเข้ามาพอดี อาบน้ำไปมีรุ้งประดับด้วยนะครับ 5555
Lunch At The Parlor
The Parlor เป็นมากกว่าร้านอาหารหรือเล้านจ์นั่งเล่น แต่เป็นจุดแฮงเอ้าท์ของชาวครีเอทีฟยุคใหม่ที่จะมานัดพบ พูดคุย แลกเปลี่ยนและเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพราะที่นี่มีการจัดกิจกรรมสลับสับเปลี่ยนต่อเนื่อง เช่นการจัดทอล์คโชว์หัวข้อต่างๆ รวมไปถึงการเชิญดีเจเจ๋งๆมาเปิดแผ่น (เค้ามีบูธดีเจสวยเก๋ที่ออกแบบมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะเลยในนามว่า Sounds Studio) รวมไปถึง The Standard Bingo ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก The Standard High Line ที่ NYC ด้วย
แต่ในวันนี้เรามารับประทานอาหารกลางวันกันเฉยๆครับ ซึ่งเป็นอาหารไทยแบบ Comfort Food รสชาติอร่อยได้ง่ายๆแต่เพิ่มความครีเอทีฟลงไปให้พิเศษมากขึ้น ชื่อเมนูทั้งหมดจะเป็นภาษาอังกฤษตามจริตอเมริกัน แต่เราขอเรียกชื่อไทยให้เพื่อนๆเข้าใจง่ายๆก็แล้วกันนะครับ
เมนูวันนี้มีเมี่ยงปลาแซลม่อน ขนมครกฉู่ฉี่ล็อบสเตอร์ ข้าวตังหน้าปู ยำส้มโอกุ้งลายเสือย่าง ไส้กรอกอีสานโฮมเมด สะเต๊ะเนื้อออสเตรเลีย รวมไปถึงเมนูคลาสสิคอย่างผัดไทยเส้นจันท์ และข้าวผัดปู (อันนี้เราชอบเป็นพิเศษ) และทีเด็ดสำหรับสายเนื้อก็คือ สเกิร์ทเต้กเนื้อวากิว Full Blood จาก David Blackmore สุดท้ายก็คือของหวานอย่างขนมเค้กแช่นม 3 ชนิดพร้อมถั่ว Pistachio ของโปรดของเรา แถมกลิ่นหอมฟุ้งของกุหลาบด้วย
Tease
แม้วันนี้เราจะอิ่มจนเกินที่จะจิบชากันต่อ แต่ก็ขอแวะมาถ่ายรูปเอามาฝากเพื่อนๆกันก่อน เพราะที่อยู่ติดกันกับ The Parlor ก็คือ Tease ห้องน้ำชาลายขาว-ดำที่ราวกับว่าหลุดออกมาจากนิทานเรื่อง Alice In Wonderland ต้องยอมรับในจินตนาการการตกแต่งของคุณ Jaime Hayon จริงๆครับ
นอกจากนี้แล้วที่ The Standard ยังมีห้องอาหารอีกหลาย Outlets ที่คิวแน่นที่สุดก็น่าจะเป็นร้าน Ojo (โอโฮ) ร้านอาหาร Mexican สุดแฟนซีบนชั้น 76 ของตึก โดยเชฟ Francisco Paco Ruano แต่ร้านนี้จองเต็มไปยาวๆ เราเลยไม่ได้เข้าไปเก็บภาพมาฝากกัน แต่เราจะพาเพื่อนๆไปชมอีกร้านที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ Mott 32 Bangkok ร้านอาหารจีนกวางตุ้งสุดเท่จากฮ่องกง นอกจากหมูกรอบหมูแดงเป็ดย่างและเป็ดปักกิ่งรมควันไม้แอปเปิ้ลที่โด่งดังและต้องสั่งกันล่วงหน้าเพราะเชฟจะทำให้ใหม่ตั้งแต่ต้นตามออร์เดอร์แล้ว Mott 32 ยังมีชื่อเสียงมากในเรื่อง Cocktail ที่ Mixologist รังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษอีกด้วย
ส่วนอีก 2 ร้านนั่นก็คือ The Standard Grill และ The Sky Beach เราขออุบไว้ก่อนนะครับ เพราะเราจะพาเพื่อนๆไปชมกันทีหลังครับ
The Pool
เราไปนั่งเล่นริมสระกันต่อดีกว่าครับ สระว่ายน้ำของที่นี่โค้งมนสีฟ้าอ่อนดูน่ารักและน่าลงเล่นมากครับ แยกกันเป็น 2 สระสำหรับเด็กและผู้ใหญ่จะได้ไม่กวนกัน ร่มสีเหลืองนั้นตัดกันกับสีของน้ำในสระลงตัวพอดีเลย อีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือวิวสวยๆของตึกสูงแห่งกรุงเทพฯที่สามารถมองเห็นได้จากสระเลย
The Standard Gym
ยิมที่ The Standard Bangkok Mahanakorn นั้นมี Vibe ที่น่าสนุกชวนให้ขยับตัว มาพร้อมกับห้องสตีมซาวน่า และอุปกรณ์ล้ำสมัยโดยเฉพาะเจ้า CLMBR ที่เค้าบอกว่ามีที่นี่ที่เดียวเท่านั้น นอกจากนี้ที่ยิมยังมีกรุ๊ปคลาสอีกหลากหลาย แต่ที่เราสนใจที่สุดก็คือคลาสแอโรบิคสไตล์ Hollywood แหม! ภาพ Jane Fonda กับ Paula Abdul ในชุดรัดรูปหลากสีลอยมาเลยครับ
The Meeting/Conference Room
ห้องจัดประชุมสัมมนาที่นี่ไม่เหมือนใครเลยครับ ทั้งในเรื่องของ Interior Design และการใช้สอยที่ตอบโจทย์ทั้งการประชุมจริงจังแบบกรุ๊ปเล็กๆเป็นห้องส่วนตัวซึ่งมีอยู่ 4 ห้อง หรือพื้นที่จัดเลี้ยงตรงกลางที่สามารถแปลงร่างให้รองรับการจัด Event ได้หลายสไตล์ รวมไปถึงห้องสัมมนาใหญ่ที่รองรับได้ถึง 80 ที่นั่งสไตล์ Theatre อีกด้วย
The Standard Grill
รู้ตัวอีกทีก็ท้องร้องแล้วสินะ เราจะพาเพื่อนๆไปกันที่สเต้กเฮ้าส์สไตล์อเมริกันที่มีชื่อว่า The Standard Grill กันครับ ตั้งแต่ก้าวเข้ามาครั้งแรกก็ต้องบอกว่า Decor สวยมาก รวมไปจนถึงวิวด้านนอกที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่เมืองไทยเลย สุดส่วนความโค้งมนตามมุมต่างๆนั้นลงตัวดีเหลือเกิน พนักงานกระซิบว่าห้องอาหารนี้เป็น Outlet ที่มีไวน์ลิสต์ให้เลือกเยอะที่สุดในโรงแรมเลย ส่วนเรื่องอาหารนั้นไปดูหน้าตากันเลยดีกว่าครับ
จานแรก เราเรียกน้ำย่อยกันด้วย Hiramasa Yellow Tail สลัดปลาดิบกับมะม่วงสุกและอะโวคาโด อีกจานเป็น Baby Beetroot Soufflé ที่เพิ่มความเค็มมันด้วย Barrel Aged Feta Cheese และวอลนัท จากนั้นเราก็เริ่มวอร์มท้องให้อุ่นขึ้นด้วยซุป Lobster Bisque รสเข้มข้น ก่อนที่จะขยับมาเป็นจานพาสต้า Dutch Cream Potato Gnocci ซึ่งเราชอบมาก แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าจานนี้ใส่ Stilton บลูชีสจากอังกฤษด้วยซึ่งบางคนอาจจะไม่คุ้นกลิ่น
ส่วน Main Course เราสั่งมา 2 จานครับ จานแรกเป็นสเต้กเทนเดอร์ลอยน์เนื้อ Black Angus ที่เลี้ยงด้วยธัญพืช จากแบรนด์ Jack’s Creek เสิร์ฟกับซอสแบร์เนสและครีมฮอร์สแรดิช นุ่มหอมอร่อยสมชื่อครับ ส่วนอีกจานเป็นปลา Glacier 51 Toothfish ที่มาจาก Antarctica เนื้อนิ่มละลายดีงามมากเลยครับ เสิร์ฟคู่กับสลัดและซัลซ่า จานหลักทั้งสองมี Side Dishes มาให้อีกนะครับ ไม่ว่าจะเป็น Mac n Cheese, Roasted Baby Carrots และ Potato Millefeuille อร่อยหมดเลย
อิ่มแล้วแต่ของหวานยังคงมาครับ มื้อนี้ปิดท้ายด้วย Pavlova ที่หยอด Rhubarb Compote สีแดงสดมาข้างๆเปรี้ยวหวานหอมอร่อย และอีกจานเป็น Basque Quark Cheese Cake ราด Chocolate Ganache ดินเนอร์นี้เป็นมื้อที่อร่อยถูกใจเลยครับ (แต่แอบรออาหารนานนิดนึง ลูกค้าน่าจะเยอะเกินคาด)
The Turndown
กลับห้องกันดีกว่าครับ แน่นอนว่าทาง Housekeeping นั้น Turndown ให้เราเรียบร้อย ปิดม่าน เปิดผ้าห่ม และมีของที่ระลึกมาเซอร์ไพร้ซ์ให้เราที่ปลายด้วยครับ ในถุงผ้าพิมพ์โลโก้ The Standard กลับหัวนั้น มี Salt & Pepper Shakers มาในรูปน้องหมาเซรามิค พร้อมกับสมุดโน้ตและปากกาด้ามแดงตียี่ห้อ The Standard ด้วย เป็นของใช้ที่มีประโยชน์และช่วยเตือนความทรงจำถึงประสบการณ์การเข้าพักครั้งนี้ได้ดีเยี่ยมเลยครับ ยังไงวันนี้ขออาบน้ำเข้านอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้ก่อนเช็คเอ้าท์เราจะพาเพื่อนๆไปชมวิวกทม.ที่ดาดฟ้าโรงแรมกัน
The Breakfast
อรุณสวัสดิ์คร้าบบ It’s Breakfast Time! ที่นี่เสิร์ฟเป็น A La Carte แบบสั่งเพิ่มได้ไม่อั้นนะครับ แบ่งกลุ่มเป็นเบรคฟัสต์แบบเย็นและแบบร้อน มีทั้งคาวหวานและแบบฝรั่งกับแบบเอเชีย พนักงานแจ้งว่า Portion ไม่ใหญ่มาก เราก็เลยสั่งมาหลายอย่างเลย เพื่อนๆจะได้เห็นหน้าตากันหลายๆจาน อาหารเช้าที่นี่รสชาติดีเลยครับ เราชอบที่มีเมนูที่ไม่ค่อยเห็นที่ไหนอย่างข้าวเหนียวสังขยาและหมี่ซั่วด้วย เมนูฝรั่งที่เราชอบเป็นพิเศษก็คือ Omelet เนื้อปูใส่ชีสกรุยแยร์และทรัฟเฟิ่ลให้เนื้อปูเยอะสะใจดีครับ กับอีกจานเป็น Smoked Halibut ซึ่งก็คล้ายๆ Eggs Benedict ที่เสิร์ฟกับมันฝรั่งยีกับเนื้อปลารมควันกับซอส Hollandaise นั่นเอง
The Sky Beach
ก่อนเช็คเอ้าท์ เราไปชมวิวกันดีกว่าครับ คราวนี้เราจะพาเพื่อนๆไปยังชั้น 78 ดาดฟ้ายอดตึกมหานคร ซึ่งก็คือจุดสูงสุดของกรุงเทพฯไปโดยปริยาย ข้างบนนี้มีชื่อว่า Sky Beach ครับ เห็นวิวกรุงเทพฯแบบ 360 องศาเลย นอกจากบาร์สีเหลืองสดใสดีไซน์น่ารักที่อยู่ด้านบนนี้แล้ว จุดที่เป็นไฮไลท์ที่สุดก็น่าจะเป็นระเบียงพื้นกระจกใสที่มองทะลุเห็นความสูงเบื้องล่างได้แบบล่อนจ้อน ทำเอาต้องรวบรวมพลังความกล้าสยบขาสั่นอยู่ครู่นึงก่อนจะค่อยๆเคลื่อนเท้าเดินลงไป แต่ก่อนลงจะมีทีมงานแจกถุงครอบรองเท้าอีกชั้นหนึ่งเพื่อกันไม่ให้มีของแข็งไปกระทบกับพื้นกระจกโดยตรงจนเสี่ยงอันตรายด้วย จากนั้นก็หามุมโพสต์ท่าถ่ายรูปได้รัวๆเลย จะยืน นั่งหรือนอนก็ได้หมด แค่อย่ากระโดดก็พอครับ ฮ่าๆ
Wrapping Up Our Stay
โรงแรมแห่งนี้นั้นเปี่ยมไปด้วยสีสัน-เส้นสาย-ลวดลายและรูปทรงหลายรูปแบบ ต้องบอกเลยว่าที่นี่เป็นโรงแรมที่ผ่านการคิดการดีไซน์มาเยอะมากๆ ทุกมุมล้วนมีกิมมิคที่น่าสนใจและทุกตารางนิ้วก็เต็มไปด้วยความสนุกแบบคนรุ่นใหม่ แถมยังมีกิจกรรมต่างๆและการจัดแสดงชิ้นงานศิลปะที่สลับสับเปลี่ยนทำให้เกิด Dynamic อยู่ตลอด ที่นี่จึงเหมาะกับคนที่ต้องการสีสันและแรงบันดาลใจใหม่ๆ รวมถึงประสบการณ์ที่ฉีกขนบโรงแรมทั่วไปเสียขาดกระจุย หาก “Anything But Standard” เป็นดั่งคำสัญญาที่แบรนด์ให้ไว้ The Standard Bangkok Mahanakorn ก็ส่งมอบสิ่งนั้นได้อย่างสมฐานะ Flagship Property แห่งทวีปเอเชียครับ
#LetsHoparound #TheStandardBangkok
Comments