เพียง 20 นาทีบนเรือโดยสารจาก Naoshima เกาะศิลปะยอดนิยมที่เรานำเสนอไปในโพสต์ที่แล้ว เราก็จะได้พบกับเกาะศิลปะอีกเกาะที่ดีงามไม่แพ้กัน (แต่นักท่องเที่ยวน้อยกว่ามาก) ในนามว่า Teshima และที่นี่เองที่จะเป็นปลายทาง #hopstination ของเราในวันนี้ Teshima แปลว่าเกาะที่อุดมสมบูรณ์ เพราะมีแหล่งน้ำพุธรรมชาติที่บริสุทธิ์แหล่งใหญ่ผุดขึ้นที่ใจกลางเกาะ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้คาดเดาได้ว่า เกาะนี้มีมนุษย์อาศัยมายาวนานกว่า 25,000 ปีแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันประชากรของเกาะก็ยังคงมีตัวเลขอยู่ประมาณ 1,000 คนเท่านั้น เกาะแห่งนี้อุดมสมบูรณ์มากเสียจนเคยเป็นหนึ่งในไม่กี่เกาะที่สามารถผลิตข้าว และสินค้าทางการเกษตรอื่นๆได้มากเกินการบริโภคของคนบนเกาะ จนต้องส่งออกไปขายที่อื่น
โชคไม่ดีที่ Teshima ต้องเผชิญกับเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมอื้อฉาวครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของญี่ปุ่น เมื่อตรวจพบว่ามีการใช้พื้นที่บนเกาะเป็นที่ทิ้งขยะพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมโดยผิดกฎหมายจำนวนมหาศาลกว่า 600,000 ตันมาตั้งแต่ปี 1975
กว่าขยะพิษต่างๆจะเริ่มทยอยได้รับการจัดการก็ปาเข้าไปปี 2000 แม้จะพยายามเคลียร์ขยะกันอย่างต่อเนื่อง แต่จนถึงทุกวันนี้ 18 ปีให้หลัง ขยะก็ยังไม่หมดซะทีเดียว และยังคงต้องจัดการรีไซเคิลกันต่อไป
ความสดใสเข้ามาเยือน Teshima อีกครั้งในเดือนตุลาคมปี 2010 เมื่อ Teshima Art Museum (ที่เรารู้สึกว่า “โคตรรรรรเจ๋ง”) ได้เปิดตัวขึ้น และสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิด art sites อื่นๆเรื่อยมา ค่อยๆสะสมเป็นแรงดึงดูดให้นักเสพศิลปะทั้งจากญี่ปุ่นและทั่วโลกมาเยือน
วิธีการเดินทางมายังเกาะเทชิมะ
การเดินทางมายังตัวเกาะเทชิมะนั้น มีหลายวิธีมาก แต่ที่เราจะแนะนำคือขึ้น "รถไฟ" แล้วต่อ "เรือ" ถ้าใครที่มาจากโอซาก้า เราขอแนะนำให้เพื่อนๆเริ่มต้นจาก 1.สถานีรถไฟ Shin-Ōsaka Station โดยขึ้นรถไฟขบวน Tokaido-Sanyo Shinkansen ที่มุ่งหน้าไปทาง のぞみHakata
2.จากนั้นมาลงที่สถานีรถไฟ Okayama Station แล้วเปลี่ยนรถไฟไปเป็น JR สาย Seto-Ohashi Line มุ่งหน้าไปทาง 快速Takamatsu
3.จากนั้นให้เปลี่ยนรถไฟที่สถานี Chayamachi Station โดยขึ้นรถไฟ JR สาย Uno Line ซึ่งจะมุ่งหน้าไปทาง 各停Uno
4.แล้วให้ลงสถานีสุดท้ายปลายทางคือ Uno Station แล้วเดินไปขึ้นเรือที่ท่า Uno Port เพื่อไปลงที่เกาะเทชิมะ หรือใครจะลองค้นหาในกูเกิ้ลแมปก็ได้นะ สะดวกสุดๆ
ที่เที่ยวนรอบๆเกาะเทชิมะ
เราเลือกมาลงที่ท่าเรือ KARATO PORT ฝั่งขวาของเกาะก่อน เพราะมันอยู่ใกล้กับ Teshima Art Museum ซึ่งเป็นตัวไฮไลท์ของเกาะนี้กันก่อนเพราะเช้าๆ คนยังไม่เยอะมาก
มิวเซี่ยมแห่งนี้บริหารงานโดย Benesse Foundation ทีมเดียวกันกับที่ดูแลโปรเจ็คบนเกาะ Naoshima แต่ Teshima Art Museum นี้มีบุคลิกที่ต่างไป อาจจะเพราะความอ่อนช้อยของเส้นโค้งตามแนวอาคารที่เกลี้ยงเกลาล้ำยุค บวกกับความเปิดโล่งของ landscape ที่เป็นเนินเขาอันสวยงามก็เป็นได้
เนินเขาแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหญ้าและนาข้าวเขียวขจี (เฉพาะในฤดูร้อน) ที่ลาดลงไปทางทะเล ตลอดทางที่เราปั่นจักรยานไฟฟ้าขึ้นมาที่นี่ เรารู้สึกรื่นรมย์ไปกับทิวทัศน์ที่งดงาม นาข้าวบนเนินแห่งนี้นั้นครั้งหนึ่งเคยถูกทอดทิ้งให้รกร้างไปในยุคที่เกาะเต็มไปด้วยขยะพิษ บัดนี้ก็กลับมาได้รับการดูแลชุบชีวิตอีกครั้ง
ตัวอาคารทรงหยดน้ำได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะที่จัดแสดงถาวรอยู่ด้านใน โถงภายในนั้นไม่มีเสาคำ้เลยแม้แต่ต้นเดียว โครงสร้างหลังคามีลักษณะคล้ายเปลือกหุ้มทำจากคอนกรีตที่หนาเพียง 25 ซม.โค้งทอดแบบไร้รอยต่อคลุมพื้นฝั่งหนึ่งถึงอีกฝั่งโดยมีความยาวกว่า 60 เมตร ตาม concept ที่ไม่ต้องการให้มีเส้นตรงในงานออกแบบทั้งหมดแม้แต่เส้นเดียว
อีกหนึ่งแนวคิดที่ทำให้อาคารมิวเซี่ยมแห่งนี้แตกต่าง คือความตั้งใจที่จะออกแบบ space ให้มีลักษณะที่ทั้งปิดและเปิดในเวลาเดียวกัน คือแม้จะมีหลังคาเปลือกคลุมพื้นที่ให้เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด แต่ก็มีการเจาะช่องวงรี 2 ช่องขนาดใหญ่พอสมควรเพื่อเปิดรับอากาศและแสงธรรมชาติด้วย
เดินไปซื้อตั๋วเข้าชมกันก่อนเลย คนละ 1,540 YEN
ระหว่างทางที่เดินเข้าไปยังตัวอาคารหลักนั้น เราก็ได้เพลิดเพลินกับต้นไม้ใบหญ้า และวิวทะเลจากมุมสูง แต่ไม่ว่าภายนอกอาคารนี้จะดีงามเพียงใด ก็ดูเหมือนว่าจะเทียบไม่ได้เลยกับประสบการณ์เมื่อเราได้ก้าวเท้าเข้าไปภายในเพื่อชื่นชมชิ้นงานศิลปะที่แสนจะเรียบง่าย ทว่าล้ำลึกและทรงพลังของ Rei Naito ศิลปินหญิงวัย 57 ปี
The Matrix คือชื่อของ Artwork ชิ้นที่อยู่ภายในมิวเซี่ยมนี้ Rei ตั้งใจจะสื่อถึงการกำเนิดขึ้นของชีวิตและให้ผู้เข้าชมได้เป็นผู้เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของชีวิตมนุษย์ โดยถ่ายทอดเชิงสัญลักษณ์ผ่านการผุดขึ้นของน้ำหยดเล็กๆจากรูขนาดจิ๋วบนพื้น จิ๋วจนแทบสังเกตไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ด้านในของตัวมิวเซียม ห้ามถ่ายรูปด้วยนะ
เจ้าหยดน้ำเหล่านี้เมื่อผุดขึ้นแล้วก็ค่อยๆไหลเป็นทางโดยไม่มีรูปแบบที่แน่นอน บ้างก็ไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มแอ่งน้ำน้อยๆ บ้างก็เป็นแอ่งใหญ่ อยู่บนพื้นปูนเดียวกับที่เราเดิน(หรือนั่ง)ชมอยู่นั่นเอง เปรียบให้เห็นถึงการแปรเปลี่ยนสภาพอยู่เสมอของสรรพสิ่ง... ชีวิตของเราก็เช่นกัน
เราเองก็ไม่เคยคิดว่าเพียงการนั่งดูหยดน้ำไหลจะเป็นประสบการณ์ที่งดงามได้ถึงเพียงนี้ อาจจะเพราะอากาศ ต้นไม้ และเสียงแมลงที่ขับกล่อมให้จิตใจเรารู้สึกเบาสบาย หรือเพราะสถาปัตยกรรมระดับ Master Piece ที่ตรึงอารมณ์ของเราให้อยู่ในความสงบสำรวม
เอาจริงๆก็คงเป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันนั่นแหละที่เอื้อให้เราสามารถซึมซับความละเมียดแห่งการได้อยู่ที่นั่น ณ เวลานั้นอยู่กับทุกๆปัจจุบันขณะที่ค่อยๆเคลื่อนผ่านไปอย่างเรียบง่าย
เมื่อดื่มด่ำกับงานศิลป์จนเต็มอิ่มแล้ว เราก็มาแวะที่ shop/cafe ของมิวเซี่ยม ที่นี่เต็มไปด้วยของดีไซน์เท่ๆ เก๋ๆ เต็มไปหมด สำหรับตัวคาเฟ่นั้นแม้จะเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มเพียงไม่กี่อย่าง แต่เราก็รู้สึกได้ถึงความตั้งใจทำของพนักงานทุกคน (แต่อาหารช้าไปนิดนะ อิอิ)
นอกจาก Teshima Art Museum แล้ว รอบๆเกาะนั้นยังมี art sites อีกหลายแห่ง ก่อนหน้าที่เราจะมาถึงมิวเซี่ยมนี้ เราก็แอบแวะสนามบาสที่มีแป้น 6 ห่วง หรือชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ “No One Wins - Multibasket” โดย Jasmina Llobet & Luis Fernandez Pons ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เรามองศิลปะในมุมใหม่เป็นมุมที่เข้าถึงง่ายไม่ถือตัว (เราสามารถเอาลูกบาสมาโยนเล่นลงห่วงกันได้จริงๆ) และกระตุ้นให้เราคิดถึงข้อความที่แฝงอยู่ซึ่งก็คือ “No One Wins” หรือ “ไม่มีใครชนะ”
Les Archives du Cœur โดย Christian Boltanski เป็นอีกหนึ่งงาน art (หรือเปล่า?) ที่น่าสนใจทีเดียว เพราะที่นี่เก็บบันทึกเสียงเต้นของหัวใจจากคนทั่วโลก (และเราเองก็สามารถบันทึกเสียงหัวใจของเราที่นี่ได้เช่นกัน) และแน่นอนวิธีการเสพงานชิ้นนี้ก็ใช่ว่าจะให้เราไปนั่งใส่หูฟังฟังเสียงหัวใจชาวบ้านกันเฉยๆเท่านั้น แต่เขาได้สร้างห้องมืดทรงยาวลึกเข้าไปเอาไว้ พร้อมกับหลอดไฟ 1 ดวงห้อยไว้อยู่กลางห้อง ที่จะติดๆดับๆตามจังหวะการเต้นของหัวใจตุ้บๆด้วย พูดตามตรงก็แอบหลอนอยู่เหมือนกันนะ
อีกงานที่เราชอบก็คือ Teshima Yakoo House (โดย Tadanori Yakoo) ที่เล่นกับมิติความลึก และกระจกสีแดงที่ลวงตาให้เราเห็นสวนญี่ปุ่นด้านนอกเป็นสีสดผิดจากสวนธรรมชาติที่เราคุ้นเคย ที่จริงแล้วงานของ Yakoo นั้นต้องการจะสื่อถึงชีวิตและความตาย โดยเฉพาะการเผชิญหน้ากับความตาย จึงมีการหยิบเอาความเหนือจริง มิติความลึก และภาพลวงตาต่างๆมาใช้เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดแนวคิดของเขา
น่าเสียดายที่ art sites หลายแห่งบนเกาะ Teshima นั้นปิดในวันที่เราไป โดยเฉพาะ IL VENTO (แปลว่า “สายลม” ในภาษาอิตาเลียน) โดย Tobias Rehberger ศิลปินชาวเยอรมัน ที่นี่เป็นทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานที่แสดงงานศิลปะในที่เดียวกัน โดดเด่นด้วยลวดลายกราฟฟิคเฟี้ยวฟ้าวลายตา ทั้งบนผนัง พื้น เพดาน รวมถึงบนเฟอร์นิเจอร์ด้วย แต่วันนี้เราก็คงได้แค่ถ่ายรูปเล่นด้านหน้า ฮือๆ..
อันนี้ก็ปิดเช่นกัน Needle Factory (โดย Shinro Ohtake) โรงงานเข็มเก่าที่ถูกทิ้งร้างไปตั้งแต่ช่วงปี 80s ตัวอาคารถูกนำมาดัดแปลง และนำเอาเรือที่ไม่เคยถูกใช้งานเลยมาคว่ำโชว์ เป็นการเล่นกับความทรงจำที่น่าเศร้าของทั้ง 2 สิ่ง นั่นก็คือการหมดประโยชน์ของโรงงาน กับการที่ไม่เคยถูกใช้ให้เป็นประโยชน์เลยของเรือ ...จะหดหู่ไปไหนเนี่ย
เราก็ปั่นมาเรื่อยๆ จนถึงอีกฝั่งนึงของเกาะ คือ Ieura Port เพื่อรอขึ้นเรือกลับที่พัก ระแวกนี้แมวเยอะมากกกกกก เป็นสิบยี่สิบตัวเลย
อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่แรกแล้วว่า Teshima นั้น แม้จะยังไม่ได้รับความนิยมเหมือนกับ Naoshima แต่ความดีงามในบุคลิกที่แตกต่างออกไปนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย นอกจากงานศิลปะแล้วสิ่งที่เราเอ็นจอยมากๆก็คือการได้ปั่นจักรยานไปในธรรมชาติและทิวทัศน์ที่สวยงามเงียบสงบ
ตลอดเวลาที่เราอยู่บนเกาะ Teshima นี้ นอกจากที่ Teshima Art Museum ที่เป็นจุดท่องเที่ยวหลักของเกาะแล้ว เราก็แทบไม่ได้พบเจอผู้คนเลย ยิ่งเมื่อได้รู้ความเป็นมาและปัญหาที่เกาะแห่งนี้ต้องเผชิญแล้ว เราก็ยิ่งอยากจะเอาใจช่วยให้ Teshima กลับมารุ่งโรจน์อย่างที่มันควรจะเป็น
เราไม่ได้หมายถึงการมีเศรษฐกิจที่อู้ฟู่ หรือการท่องเที่ยวที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน แบบนั้นก็คงไม่เหมาะกับจริตของเกาะเท่าไรนัก แต่เราหมายถึงการที่ Teshima จะได้รับการมองเห็นถึงคุณค่าความดีงาม และมีคนกลับมาดูแลเกาะแห่งนี้มากขึ้น และมากพอที่จะให้เกาะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ไม่หดหู่เหมือนกับงานที่จัดแสดงอยู่ที่ Needle Factory
เราเชื่อว่าศิลปะ ธรรมชาติ และความตั้งใจสร้างสรรค์ของมนุษย์นั้นมีพลังเพียงพอที่จะจุดประกายพลิกฟื้นชีวิตให้กับเกาะแห่งนี้และจะสำเร็จได้ในสักวันที่ไม่นานเกินรอ แล้วเราจะไปเยี่ยมเธอใหม่ #Teshima นะ :-)
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพบางส่วนจาก
http://setouchi-artfest.jp/en/ , http://benesse-artsite.jp/en/art/ , http://google.com
Comments