เที่ยวญีปุ่นครบรสด้วยตั๋ว Kansai – Hiroshima Area Pass.
เมืองใหญ่ๆในภาคตะวันออกของญี่ปุ่น มักเป็นสถานที่ยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าภาคตะวันตกของญี่ปุ่นนั้นก็มีเสน่ห์น่าหลงไหลจนเราอยากกลับไปซ้ำๆ แถมไปง่ายด้วยรถไฟ JR ผ่านพาส Kansai-Hiroshima Area Pass แบบ 5 วันติดต่อกัน ราคา 13,700 เยน (ประมาณ 3,8xx บาท)
.
วันนี้ Hoparound ขออาสาพาเพื่อนๆไปเที่ยว และรีวิวการใช้เจ้าพาสตัวนี้กัน เพื่อเพื่อนๆจะได้เห็นอีกมุมของญี่ปุ่นที่ดีงามไม่เหมือนใคร
คนที่มีพาสนี้สามารถใช้นั่งรถไฟ JR รวมไปถึง Shinkansen ได้ด้วย(Shin-Osaka⇔Hiroshima) พาสนี้ใช้ได้ตั้งแต่ Hiroshima - Okayama - Takamatsu - Himeji - Kinosakionsen - Kyoto - Amanohashidate - Tottori - Kishi - Shirahama - Kii-Katsuura - Nara เรียกได้ว่าคุ้มสุดๆ แต่ถ้าใครไปหมดนี่ก็คงจะได้แค่เช็คอิน ยังไม่ทันไม่ค่อยได้เต็มอิ่มกับแต่ละสถานที่เท่าไหร่ ฉะนั้นทริปนี้เราจึงเลือกแวะตามจุดพิกัดและเมืองเด็ดๆ เท่านั้น และเนื่องจากพาสใช้ได้แค่ 5 วันเท่านั้น เราจึงเลือกใช้โดยสารรถไฟไปเมืองที่มีระยะไกลๆ (กลัวไม่คุ้ม แหะๆ)
เพื่อนๆสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดตั๋วได้ที่
แพลนเที่ยว 10 วันของเราเริ่มต้นด้วย
DAY 1: ไปเดินเล่นพักผ่อนนอนโรงแรมเก๋ๆกันที่ Hiroshima
DAY 2: ไปปั่นจักรยานข้ามเกาะสุดชิลที่ Onomichi
DAY 3-4: นั่งชินคันเซนไปเที่ยวเมืองหลวงเก่าอย่าง Kyoto
DAY 5: นั่งรถไฟขึ้นไปเที่ยวเมืองเล็กๆตอนเหนือสุดอย่าง Amanohashidate
DAY 6: ตื่นเช้าไปนั่งเรือชมวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่น ที่หมู่บ้านชาวประมงที่เก่าแก่ที่สุด INE
DAY 7: เช้าวันต่อมาก็นั่งรถเข้าไฟยาวเข้าเมืองหลักอย่าง Osaka
DAY 8-9: ไปเที่ยวกินเนื้อดีๆในเมือง Kobe พร้อมแวะช็อปปิ้งที่เอ้าท์เล็ทสุดครบที่ Sanda
DAY 10: ปิดท้ายด้วยเมืองแห่งมรดกโลก Nara
(เราใช้พาสเฉพาะการเดินทางข้ามจังหวัด แพลนวันที่ 3-7 )
รอบนี้เราเลือกบินลง Hiroshima โดยสารการบิน Silk Air ในเครือ Singapore Airlines ซึ่งบริการดีไม่แพ้สายการบินแม่เลย และบินกลับจาก Osaka โดย Singapore Airlines เราจองก่อนเดินทาง 4 เดือน เลยได้ตั๋วราคาดีมาก เพียง 12,XXX บาท รวมทุกอย่าง ทั้งน้ำหนักกระเป๋า 30 กิโลกรัม และอาหาร 4 มื้อรัวๆ
หลังจากแลนดิ้งที่สนามบินฮิโรชิมะตอนประมาณ 9:00 เราก็นั่งรถบัสเข้าเมือง แล้วก็เช็คอินเข้าโรงแรมเลย วันแรกก็ชิลๆไปก่อน เดินเล่นในเมือง จิบกาแฟดีๆ กินของอร่อยๆ โดยเราจะพักที่เมืองนี้ 2 คืน
โชคดีที่ไปตรงกับงานตลาดนัด The TRUNK Market ครั้งที่ 13 พอดี งานนี้รวบรวมเอางานคราฟท์คุณภาพจากหลากหลายเมืองทั่วญี่ปุ่นมานำเสนอ ตั้งแต่อาหารการกิน ไปจนถึงงานดีไซน์ข้าวของต่างๆที่น่าสนใจ รวมทั้งสินค้าพิเศษจากแบรนด์ดีๆ เช่น The North Face Standard, Sandqvist, 1LDK, Snow Peak, MHL, A.P.C. และยังมีบูธของ POPEYE magazine มาจอยน์ด้วยนะ เราสะดุดตากับความน่ารักของเสื้อยืด POPEYE ก็เลยจัดมาหนึ่ง งานนี้จะจัดปีละ 2 ครั้ง (น่าจะทุกเดือน 5 กับ เดือน 11) ซึ่งแต่ละปีก็จะหมุนเวียนสับเปลี่ยนแบรนด์ไปเรื่อยๆ และงานครั้งนี้จัดอยู่ตรงสวน FUKUROMACHI PARK ใจกลางเมืองฮิโรชิมะเลย ใครมีแพลนจะมาลองเช็คได้ที่เว็ปไซต์ trunkmarket.net ได้เลย
ตื่นเช้ามาอีกวัน ก็เตรียมตัวเดินทางไป Onomichi เมืองท่าเล็กๆ สวรรค์นักปั่นริมฝั่งอ่าว Setouchi เรามีแพลนที่จะปั่นจักรยานเล่นกันที่นี่ ทั้งปั่นชมในตัวเมืองและปั่นตามเส้นทาง Shimanami Kaido ที่เชื่อมเกาะต่างๆในอ่าวเอาไว้โดยมีระยะทางกว่า 70 กม. (แต่รอบนี้เราขอแค่ 10 กม. พอก่อน 555) ว่ากันว่าเส้นทางนี้ เป็นเส้นทางสำหรับปั่นจักรยานสวยที่สุดในโลกแห่งหนึ่งเลย
Shimanami Kaido เป็นเส้นทางปั่นระยะทาง 70 กิโลเมตรที่เชื่อม 8 เกาะน้อยใหญ่ระหว่างเกาะหลัก (Honshu) ไปยังเกาะ Shikoku ผ่าน 6 สะพานที่จะนำเหล่านักปั่นเข้าสู่แต่ละเกาะ ซึ่งเส้นทางนี้ นักปั่นจะได้พบกับเส้นทางราบ เลียบชายฝั่งที่มีทิวทัศน์งดงาม ที่นี่มีลมทะเลที่จะเพิ่มความท้าทาย (แต่ไม่อันตราย) รวมไปถึงทางขึ้นเขาอันลาดชัน ที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของหมู่เกาะน้อยใหญ่และท้องทะเลที่สวยงามในมุมที่หลากหลายในการเลี้ยวแต่ละครั้ง
วันต่อมาเราใช้พาสไปยังเมืองหลวงเก่า KYOTO โดยการนั่งรถไฟชินคันเซ็นแบบไม่จองที่นั่ง ไปที่เมือง Shin-Osaka และจากนั้นเปลี่ยนเป็นรถไฟธรรมดาไปยังสถานี Kyoto Station เกียวโตเป็นหนึ่งในเมืองโปรดที่สุดของเราที่ได้มาหลายครั้งแล้ว แต่ก็มีอะไรให้เที่ยวให้ดูเยอะมาก ไปไม่ครบซักที เราเคยเขียนเกี่ยวกับเกียวโตลงในโพสต์แยกก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าเพื่อนๆสนใจก็ตามลิงค์นี้ไปอ่านกันได้ KYOTO 2017
เดินเที่ยวเมือง เข้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกียวโต นั่งรถไฟชมวัดอันเก่าแก่ ดื่มกาแฟดีๆ กันสองวัน
จากนั้นวันที่ 5 เราก็นั่งรถไฟไปยังเมือง Amanohashidate เปลี่ยนที่พัก เปลี่ยนมู้ด ไปนอนโรงแรมเก่าแก่สไตล์เกียวโตกัน คืนนี้เรานอนกันที่โรงแรม Amanohashidate hotel สองคืน ที่นี่เป็นเมืองเงียบๆ แต่สะอาด สะดวก สบายสุดๆ เหมาะแก่การพักผ่อนมาก แถมในโรงแรมยังมีบ่อออนเซ็นช่วยสลายความเหนื่อยล้าอีก
ตื่นเช้ามาวันที่ 6 วันนี้เรามีแพลนที่จะไปเที่ยวหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ทางตอนเหนือสุดของเกียวโต INE FUNAYA บอกเลยว่าที่นี่พิมพ์เล่าเป็นตัวอักษร หรือเอารูปมาอวดยังไงก็ไม่ฟินเท่าไปสัมผัสประสบการณ์จริงๆด้วยตัวเอง เพราะมันเงียบสงบ และสวยงามมากจริงๆ
เช้าวันที่ 7 วันนี้เราจะเข้าโอซาก้ากันแล้ววววว โดยนั่งรถไฟ JR ไปยังเมือง Osaka เมืองใหญ่อันดับสองรองจากโตเกียว โดยเราจะนอนที่นี่ในคืนที่เหลือ ไว้จะมาลงลึกให้ฟังกันอีกทีว่าโอซาก้ามีอะไรน่าโดนกันบ้าง บอกได้เลยว่าเล่ายังไงก็ไม่มีทางครบหรอก
เช้าวันถัดมาเราจะไปช้อปปิ้งที่ Kobe Sanda Premium Outlet ที่นี่มีแบรนด์เนมครบ และใหญ่มากๆ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวกว่า 90% เป็นชาวญี่ปุ่น เราใช้เวลาครึ่งวันอยู่ที่นี่ พูดถึงเรื่อง Shopping แล้ว Kobe นั้นไม่เป็นเป็นสองรองใคร เพราะเป็นเมืองท่าที่คนมีเงินอยู่กันเยอะ แบรนด์ต่างๆจึงค่อนข้างมีหน้าร้านอยู่กันครบครันจนน่าประหลาดใจ
จากนั้นเราก็นั่งรถบัสลงไปยังเมืองท่า KOBE พร้อมกินเนื้ออร่อยละลายในปากที่ร้าน Steak land Kobe ที่เชฟจะมาปรุงกันสดๆ หน้าเราเลย ใครมาไวก่อนมื้ออาหารก็ไม่มีคิวนะ แล้วก็เดินชิลในเมือง ดื่มกาแฟ
วันสุดท้าย เราก็ไปปิดทริปกันที่เมืองเก่ามรดกโลก ก็คือ Nara นั่นเอง เพียง 1 ชั่วโมงบนรถไฟจากโอซาก้าก็มาถึงอย่างสบายๆ ครั้งนี้เราได้ไปเที่ยว สวนสาธารณะ Nara ที่มีน้องกวางเต็มไปหมด ต่อด้วยวัด Todaiji วัด Kofukuji แล้วพักกินโอโคโนมิยากิ และเดินเล่นกันในเมืองนาระ ก่อนจะนั่งรถไฟกลับไปโอซาก้าในช่วงเย็นๆถือเป็นการจบการใช้ Pass นี้อย่างคุ้มค่า
5 วันกับ 8 เมืองที่มีอรรถรสหลากหลายนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าเงิน 3,8xx บาทที่ลงทุนไปกับตั๋ว Kansai-Hiroshima Area Pass นั้นคุ้มเกินคุ้ม ขอบคุณชาว #hopsters ที่ติดตามกันมาตลอด เจอของดีก็ต้องบอกต่อเนอะ วันนี้เอาภาพใหญ่ๆไปก่อน แล้วเราจะมาเจาะลึกแต่ละเมืองกันอีกทีนะ
FB/IG @hoparound.co
Website www.hoparound.co
.
#LetsHoparoundJapan
#WestJapan
Comments