Let's Hoparound Beijing รีวิวเที่ยวปักกิ่งด้วยตัวเอง ยิ่งใหญ่และใหม่มาก AgodaPartnerVerification.html
นานแสนนานที่เราแอบเล็งไว้ว่าอยากจะมาเยี่ยมชมมหานครปักกิ่งสักครั้ง เราจึงตื่นเต้นกับทริปปักกิ่งครั้งแรกนี้ของเราเป็นพิเศษ แม้จะเป็นทริปสั้นๆเพียง 4 วัน 3 คืน แต่เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีนแห่งนี้ก็ทำให้เราประทับใจเกินคาดไปมาก ต้องใช้คำว่าเมืองเค้าเกรียงไกรจริงๆนะครับ เอาแค่เรื่องประวัติศาสตร์ก็สามารถย้อนกลับไปได้ไกลกว่า 3,000 ปีโน่นแน่ะ และถึงจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยปักกิ่งก็ยังคงยืนหนึ่งเป็นศูนย์กลางทั้งด้านการเมือง วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการศึกษาของประเทศจีน มหาอำนาจอันดับ 2 ของโลก บ้านเมืองนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวและความเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ ด้วยประชากรกว่า 22 ล้านคนที่เป็นแรงขับเคลื่อนทำให้เมืองใหญ่เมืองนี้มีอะไรใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา มาเถอะ เราจะพาไปสำรวจแบบรวบรัดกันดูว่าปักกิ่งในปี 2024 นั้นจะมีโฉมหน้าเป็นยังไงบ้าง
โรงแรมพาร์คไฮแอท ปักกิ่ง (Park Hyatt Beijing) 北京柏悦酒店
รอบนี้เราเลือกนอนกันที่โรงแรม Park Hyatt Beijing แบรนด์ท็อปเทียร์ของเครือ Hyatt ที่นี่เป็นโรงแรมแบรนด์ Park Hyatt แห่งแรกที่เปิดให้บริการในจีน แค่ชื่อก็น่าจะการันตีความดีงามได้โดยแทบไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว แต่เราขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมกันอีกหน่อยละกันนะครับ (อุตส่าห์ไปค้นมา ฮ่าๆๆๆ)
Park Hyatt Beijing ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของปักกิ่งบนอาคารที่สูงที่สุดบนถนน Chang’an Avenue มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมากและที่นี่ไม่ได้มีแค่โรงแรมเท่านั้นนะครับ แต่ยังประกอบไปด้วย Park Hyatt Residence, Park Hyatt Penthouse โดยตัวโรงแรมจะตั้งอยู่บนชั้น 37 ถึง 49 และ 59 ถึง 67 ของ Beijing Yintai Center โดยชั้นล่างๆจะเป็นห้างหรู และอยู่ติดกับรถไฟใต้ดินสถานี Guamao เลย
ตัวโรงแรมมีห้องพักและห้องสวีทให้บริการรวม 237 ห้อง ตกแต่งสไตล์จีนโมเดิร์นเน้นสีครีมสบายตา เรียบแต่โก้ ที่สำคัญวิวจากห้องพักทุกห้องนั้นเป็นแบบพาโนรามาผ่านกระจกบานใหญ่เห็นวิวเมืองปักกิ่งแบบไม่มีอะไรมาบังเลย และทุกห้องก็จะมีระบบฟอกอากาศที่ทำงานเงียบเชียบมาก สามารถดักจับอนุภาค PM2.5 ได้ชะงัด ช่วยให้อากาศในห้องสะอาดสดชื่นปลอดภัยไร้กังวล
ตัวโรงแรมเพิ่งได้รับการปรับปรุงไปเมื่อปี 2019 ทุกอย่างจึงดูใหม่มากๆ นอกจากห้องพักสวยๆแล้ว ทางโรงแรมยังมี ร้านอาหารและบาร์อีก 3 แห่งไว้ให้บริการด้วยนะครับ แต่ถ้ายังไม่จุใจด้านล่างของตึกนั้นเป็นห้างไฮเอนด์ชื่อ in01 มีครบทั้งช้อปปิ้ง บันเทิง ฟิตเนส และร้านอาหาร ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะเบื่อเลยครับ
ห้องพักของเราเป็นห้อง 1 King Bed ขนาดห้อง 45 ตร.ม. เป็น Room Type มาตรฐานที่ดีมากเลยล่ะครับ ตอบโจทย์ทุกความต้องการในทริปนี้ของเรา พื้นที่ในห้องแบ่งสัดส่วนลงตัวมาก ไม่รู้สึกอึดอัดเลยครับ แต่ถ้าใครอยากได้ห้องพิเศษกว่านี้ก็มีอีกหลายประเภท ห้องใหญ่สุดก็คือ 240 ตร.ม.กันไปเลย
คุณภาพเครื่องใช้ภายในห้องดีเลิศครับ เตียงนุ่มสบายกำลังดีปูด้วยผ้าปูเตียงความละเอียด 300 เส้นด้ายและผ้านวมขนเป็ด สมาร์ททีวีจอแบนขนาดใหญ่และมีเดียฮับในตัว โซนมินิบาร์มีเครื่องชงกาแฟและกาต้มน้ำสำหรับชงชาเตรียมไว้ให้บริการ ตู้เสื้อผ้าเป็นแบบ Walk-in ห้องน้ำแบ่งโซนแห้งโซนเปียกเป็นสัดส่วน มีทั้งฝักบัวและอ่างอาบน้ำ
หน้าตาอาหารเช้าที่นี่น่ากินมั้ยครับ มีให้เลือกสั่งทั้งแบบ A la carte และ ตักเองแบบ Buffet จัดเต็มมากเลย สรุปสั้นๆคือถ้ามาเที่ยวปักกิ่งและพอจะมีงบ เราก็แนะนำให้นอนที่นี่นะครับ
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Guomao เดิน 1 นาทีจากทางออก C
ย่านวัยรุ่นช้อปปิ้ง Sanlitun (ซานลี่ถุน)
เป็นอึกหนึ่งย่านที่มาปักกิ่งแล้วต้องมาแวะ เพราะที่นี่จะรวมเอาทุกแบรนด์บนโลก ร้านอาหารดังๆ เบเกอรี่ คาเฟ่ รวมไปถึงแบรนด์โลคอลของจีนด้วย แต่ละร้านก็ไม่ได้มีแค่ชั้นสองชั้นเท่านั้นนะครับ บางร้านคือเหมาตึกทั้งตึกเลย ตอนที่เราไปตึก Louis Vuitton Flagship Store และ Dior Flagship Store กำลังก่อสร้างอยู่ ถ้าสร้างเสร็จน่าจะยิ่งใหญ่มากเลย นอกจากพวกร้านแบรนด์เนม เค้ายังมีร้านให้ได้นั่งอ่านหนังสือกัน 24 ชั่วโมงอีกด้วยนะ แถมถนนหนทางฟุตบาทคือทำดีมาก เดินกันเพลินเลยครับ
เวลาเปิดปิด: ตามเวลาเปิดปิดของแต่ละร้าน
การเดินทาง: MRT Line 10 สถานี Tuenjiehu ทางออก A แล้วเลี้ยวขวาที่สี่แยกตรงหน้า เดินตรงไปอีกประมาณ 400 เมตร
พระราชวังต้องห้าม Forbidden City
เพื่อนๆสามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้ที่ https://bookingticket.dpm.org.cn/ โดยต้องจองล่วงหน้า 7 วัน ประมาณ 1 ทุ่มเวลาไทย เฝ้าจอได้เลยครับ โดยรอบเช้าเปิดให้เข้าชมเวลา 8:30 - 12:00. รอบบ่ายเปิดให้เข้าชมเวลา 11:00 เป็นต้นไป บางทีถ้าตรงกับวันหยุดยาวจีนก็จะหมดเร็ว แนะนำให้ไปแบบเลี่ยงวันหยุดยาวจีนนะครับ
พระราชวังต้องห้าม หรือ The Forbidden City คือนครที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิจีนในอดีต เป็นที่ประทับของจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง รวมทั้งสิ้น 24 พระองค์ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่งเลยครับ สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ จักรพรรดิลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์หมิงผู้ย้ายราชธานีจากนานกิงมาปักกิ่ง การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปีค.ศ. 1406 หลังจากขับไล่ชาวมองโกออกนอกกรุงปักกิ่งได้หมด ใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้น 14 ปี ปัจจุบันพระราชวังต้องห้ามเป็นหนึ่งในเกือบ 20 สถานที่ในปักกิ่งที่ได้รับการคุ้มครองจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก
ในอดีตพระราชวังแห่งนี้เป็นเขตหวงห้ามไม่ไห้ประชาชนเข้า แม้ข้าราชการชั้นสูงยังต้องขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษ จึงเรียกพระราชวังนี้ว่า "พระราชวังต้องห้าม" แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปหลังการปฏิวัติประเทศจีนให้เป็นสาธารณรัฐในปี ค.ศ.1911 ถึงแม้ในปัจจุบันจะเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมในหลายๆจุดของพระราชวังแล้ว แต่ภายใต้ความยิ่งใหญ่นี้ก็น่าจะยังคงมีความลับต้องห้ามซุกซ่อนตัวอยู่อีกมาก
เรามาดูความเว่อร์วังอลังการของพระราชวังต้องห้ามกันดีกว่าครับ เนื้อที่ทั้งหมดคือ 720,000 ตารางเมตร คือใหญ่กว่าพระบรมมหาราชวังของไทยเรามากกว่า 3 เท่า มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง มีตำหนัก 800 องค์ พระที่นั่ง 750 และหอบูชาหลายหอ ศาลา หอพระสมุด รวมห้องลับอีกมากมาก มีสวน ลานกว้าง และทางเดินเชื่อมโยงถึงกันโดยตลอด มีคูและกำแพงที่สูงถึง 11 เมตรล้อมรอบ
ในการก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามนั้นต้องใช้สัตว์ลากจูงหลายพันตัว ช่างฝีมือกว่า 100,000 คน คนงานมากกว่า 1,000,000 คน และใช้อิฐกว่า 10,000,000 ก้อนเพื่อปูพื้นพระราชวัง วัสดุที่ใช้สร้างอาคารนั้นเป็นวัสดุชั้นยอดที่คัดมาจากทั่วประเทศจีน ทั้งไม้ “หนานมู่” จากมณฑลซื่อชวน กว่างตง และยูนนาน ไม้ซุงจากซื่อชวน เจียงซี เจ๋อเจียง ส่านซี และฮูนาน หินแกร่งหนักอึ้งจากฟ่างซานที่ถูกตัดออกมาเป็นก้อนๆยาวถึง 10 เมตร กว้าง 3 เมตร หนา 1.6 เมตร แค่การขนส่งวัสดุอย่างเดียวก็ต้องใช้ทั้งทรัพยากรและแรงงานมากมายมหาศาลเพราะประเทศจีนกว้างใหญ่ไพศาลมีหลากหลายภูมิประเทศ และภูมิอากาศมาก โดยเฉพาะไม้จากเขตภูเขาสูงและหินจากเขตหนาวเยือกแข็งก็ยิ่งลำบากเป็นพิเศษ
Opening hours ปิดวันจันทร์
April 1st - October 31st 8:30 am - 5:00 pm Last Entry 16:00
November 1st - March 31st 8:30 am - 4:30 pm Last Entry 15:30
เพื่อนๆสามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้ที่ https://bookingticket.dpm.org.cn/
สวนสาธารณะจิงซาน (Jingshan Park)
อยู่ติดกับพระราชวังต้องห้ามทางฝั่งเหนือ สวนแห่งนี้เคยเป็นสวนของจักรพรรดิในราชวงศ์หยวน หมิง และชิง นอกจากแมกไม้นานาพรรณแล้ว จุดที่สูงที่สุดของสวนจะเป็นที่ตั้งของพระตำหนักว่านชุน (Wanchun Pavillion) ซึ่งในอดีตเคยเป็นจุดที่มีความสูงที่สุดในตัวเมืองปักกิ่งชั้นใน ปัจจุบันที่นี่จึงเป็นจุดชมวิวพระราชวังต้องห้ามจากมุมสูงได้แบบพาโนรามาเลยครับ
เวลาเปิดปิด: 6:00 am - 9:00 pm
การเดินทาง: MRT Line 8 สถานี Shichahai ออกทางออก C แล้วเดินไปทางทิศใต้ประมาณ 914 เมตร
สามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้ที่ด้านหน้าทางเข้า
Voyage Coffee (Sanlihe Park Branch)
Voyage Coffee เป็นแบรนด์คาเฟ่ฟีลโฮมมี่ของปักกิ่ง มีอยู่หลายสาขาแต่เราเลือกมาที่สาขาในสวนสาธารณะ Sanlihe Park (น่าจะอ่านว่า “ซานลี่เหอ“ นะครับ) เพราะมีบรรยากาศร่มรื่นสบายๆริมน้ำ บางทีก็มีน้องเป็ดน้องไก่จากละแวกใกล้เคียงเดินผ่านมาอวดโฉมกันด้วย แต่ไม่ว่าจะนั่งข้างนอกหรือข้างในก็ชิลไม่แพ้กัน เพราะด้านในร้านก็มีโซนหนังสือท้องถิ่นให้เลือกอ่านด้วย และต่อให้เราอ่านภาษาจีนไม่ออกแต่การที่มีมุมหนังสืออยู่ในร้านก็ช่วยสร้าง Vibes ดีๆได้อย่างบอกไม่ถูก ร้านนี้ดังทั้งกาแฟและขนม โดยเฉพาะกาแฟ Dirty แต่เราสั่ง Americano กับสปาร์คลิ่งยูสุ ซึ่งก็รสชาติดีทั้ง 2 แก้วเลย
เวลาเปิดปิด: 10:00 am - 6:00 pm ทุกวัน
การเดินทาง: MRT Line 7 สถานี Qiaowan ออกทางออก D แล้วเดินไปทางทิศใต้ประมาณ 10 นาที
Li Qun Roast Duck Restaurant
ร้านเป็ดปักกิ่งชื่อดังเจ้าเก่าของเมือง เปิดมาตั้งแต่ปี 1992 (เมื่อก่อนเจ้าของเคยเป็นเชฟของร้านดังอีกร้าน แต่ลาออกมาเปิดร้านที่บ้านตัวเอง) ร้านนี้ยังคงย่างเป็ดด้วยวิธีการดั้งเดิม โดยใช้ฟืนจากไม้แอ๊ปเปิ้ลและไม้สาลี่ที่จะมีกลิ้นหอมผลไม้อ่อนๆในควันไฟ ร้านเป็ดปักกิ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านแนวภัตตาคาร แต่ร้านนี้เป็นฟีลบ้านๆเลย แต่ประเด็นหลักของการมาร้านอาหารก็คือรสชาติ ซึ่งสำหรับเรานั้นอาหารอร่อยถูกปากแทบทุกจานที่สั่งมา เป็ดปักกิ่งหนังกรอบบาง เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำไร้กลิ่นสาบ อีกจานที่เราชอบมากไม่แพ้กันก็คือปลาทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน ส่วนเรื่องราคาก็ถือว่ารับได้ครับ ไม่ได้ถูกแต่ก็ไม่ได้แพงจนเหมือนถูกปล้น สั่งเป็ดมา 1 ตัว ราคาประมาณ 1,600-1,700 บาท แบ่งกันกิน 5 คนได้กำลังดีครับ แต่เราก็สั่งอย่างอื่นมากินด้วยอีกหลายอย่างเหมือนกันนะครับ ฮ่าๆๆๆ
เวลาเปิดปิด: 10:30 am - 10:00 pm ทุกวัน
การเดินทาง: MRT Line 7 สถานี Qianmen ออกทางออก D แล้วเดินไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร
Wangfujing Street ถนนคนเดินหวังฟู่จิง 王府井大街
ตั้งอยู่ฝั่งขวาของพระราชวังต้องห้าม เป็นย่านที่ใครมาปักกิ่งครั้งแรกต้องแวะ เพราะที่นี่มีร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านแบรนด์เนมให้เลือกชิมเลือกช้อปเยอะแยะมากมาย รวมไปถึงร้าน POPMART ยอดฮิตด้วยนะครับ ร้านเยอะคนก็เยอะด้วยเช่นกัน ให้อารมณ์แบบชินจูกุที่โตเกียว สามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ โดยรถไฟใต้ดินสถานี Wangfujing สายสีเขียวเข้ม หรือ แดงเข้ม
Aesop Wangfujin WF CENTRAL House 19
ที่นี่เป็นร้านเอสอปสาขาแรกในจีนเปิดตัวช่วงปลายปี 2022 ตั้งอยู่ในย่านหวังฝูจิ่งของกรุงปักกิ่งภายในอาคารสีเหอหยวนซึ่งหมายถึงบ้านแบบจีนโบราณที่มีลานร่มรื่นอยู่กลางบ้าน จึงให้บรรยากาศที่ดูแปลกตาไปกว่าร้านอื่นๆของ Aesop บ้านหมายเลข 19 หลังนี้เป็นแบบจำลองของที่อยู่อาศัยของลูกพี่ลูกน้องของจักรพรรดิปูยี ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์คลาสสิกแบบราชวงศ์หมิงผสมกับองค์ประกอบอื่นๆที่มีความร่วมสมัย
นอกจากสินค้าทั่วไปของ Aesop แล้ว สาขานี้ยังแบ่งพื้นที่พิเศษให้กับน้ำหอมคอนเส็ปต์ไม่เหมือนใครของแบรนด์ ถึงกับมีห้องส่วนตัวสำหรับทดลองกลิ่นโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีโครงการ Rinse and Return ของแบรนด์ โดยนำบรรจุภัณฑ์ Aesop ที่ใช้หมดแล้ว ล้างให้สะอาดแล้วมาคืนที่ร้าน เพื่อนำไปรีไซเคิลต่อ เป็นแนวคิดที่ดีมากครับ (แต่แอบคิดว่าน่าจะมีการแลกเปลี่ยนให้ส่วนลดในบิลถัดไปเพื่อเป็นแรงจูงใจเพิ่มเติมซักหน่อย อิอิ) ใครมีเวลาแวะไปดูได้น้าา
ร้านเอสอปสาขานี้อยู่ใกล้กับ Dover Street Merket Beijing
เวลาเปิดปิด: 10:00 am - 10:00 pm เปิดทุกวัน
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน Line 1 สถานี Wangfujing ทางออก C2 หรือ B.
กำแพงเมืองจีน (Mutianyu ด่านมู่เถียนยวี่)
ว่ากันว่าใครมาปักกิ่งแล้วไม่มากำแพงเมืองจีน ถือว่ามาไม่ถึง ฮ่าๆ เราเลยบุ๊คตั๋วแล้วมาสำรวจกำแพงเมืองจีนโดยไม่รีรอ กำแพงเมืองจีนเริ่มก่อสร้างมาเมื่อ 2,200 กว่าปีที่แล้ว (ตั้งแต่ก่อนพระเยซูเกิดอีกอ่ะ) และมีความยาวรวมกว่า 20,000 กิโลเมตร ฉะนั้นจึงมีจุดให้เข้าชมได้หลายจุดมาๆ สำหรับครั้งแรกครั้งนี้ของเรา เราเลือกมากำแพงเมืองจีนที่ด่านมู่เถียนยวี่ (Mutianyu) บอกเลยว่าประทับใจมาก! ที่นี่เป็นหนึ่งในด่านที่สภาพของกำแพงยังสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ที่สุด จุดเด่นของด่านนี้ คือ ทางเดินง่าย วิวสวย มีหอคอยเยอะ เดินทางง่ายจากปักกิ่งแค่ 1.30 ชั่วโมงเท่านั้น แถมยังมีให้เลือกขึ้นไปชมกำแพงเมืองจีนแบบทั้งกระเช้าลอยฟ้า (cable car) แบบกั้นหมด กับ แบบไม่มีอะไรกั้น และลงแบบรางสไลด์ (toboggan) ที่ทำให้การเดินทางขึ้นลงกำแพงสะดวกสุด ๆ เหมาะกับการพาครอบครัวและเด็ก ๆ มาเที่ยวมาก และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก บริการต่าง ๆ สำหรับนักท่องเที่ยว ห้องน้ำก็ถือว่าสะอาดมากนะครับ
สามารถซื้อทัวร์ได้ที่: https://www.beijingmubus.com/
โดยรถทัวร์แต่ละวันจะมีออกจากปักกิ่ง 2 รอบ คือ 8:00 AM และ 10:00 AM
Meeting Point: ขึ้น Subway Line 2 หรือ Line 13 มาลงสถานี Dongzhimen Station(东直门地铁B口)ออกทางออก B แล้วมองหาคนถือธง MUBUS สีแดง
To Summer | 观夏
แบรนด์เครื่องหอมสัญชาติจีนจากปักกิ่งเองที่เน้นการปรุงกลิ่นจากพืชพรรณแถบเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นดอกหอมหมื่นลี้ มะลิ กล้วยไม้ ไผ่ ส้มพันธุ์ต่างๆ และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้งานดีไซน์แบรนดิ้งต่างๆก็จะใส่แนวคิดแบบตะวันออกผสมลงไปในความโมเดิร์นและมินิมอลไว้ได้อย่างลงตัว เช่น ฝาขวดน้ำหอมทรง 8 เหลี่ยม เป็นต้น ซึ่งเราชอบมากครับ ภายในร้านมีสินค้าทั้ง Home Fragrances ไปจนถึง Niche Perfume ราคาก็อยู่ในระดับกลางค่อนสูง แม้แบรนด์จะเปิดตัวได้ไม่นานแต่เราสัมผัสได้ถึงความฮิตกำลังติดตลาดอย่างรวดเร็วในหมู่คนจีนที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับแบรนด์ท้องถิ่นมากขึ้นกว่าแบรนด์จากชาติตะวันตก ส่วนเราเองก็โดนไป 1 ขวดเช่นกัน ฮ่าๆๆๆ
观夏 To Summer ในปักกิ่งมี 5 สาขา
ส่วนสาขาที่เราไปตั้งอยู่ชั้น 1 ห้าง China World Mall ตรงข้าม Park Hyatt Beijing
เวลาเปิดปิด: 10:00 am - 10:00 pm เปิดทุกวัน
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน สถานี Guomao
Dover Street Market Beijing
ร้านรวมแบรนด์สตรีทแฟชั่นสุดล้ำโดย Rei Kawakubo แห่ง Comme Des Garçons มีหน้าร้านอยู่ในเพียง 7 เมืองทั่วโลก และปักกิ่งก็คือหนึ่งในนั้น สาขานี้มีพื้นที่ถึง 3 ชั้นซึ่งเต็มไปด้วยไอเท่มพิเศษที่คัดสรรมาจากกว่า 60 แบรนด์เฉพาะกลุ่มตั้งแต่ Stüssy, Lemaire, Miu Miu, Dries Van Noten, Sacai, The Row และอีกมากมาย แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือไลน์สินค้าที่แตกแยกย่อยของ Comme Des Garçons เอง สายสตรีทแวร์ห้ามพลาดนะครับ
ร้าน Dover Street Merket Beijing อยู่ในย่าน Wangfujing street
เวลาเปิดปิด: 10:00 am - 10:00 pm เปิดทุกวัน
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน สถานี Jinyu Hutong
Documents
อีกหนึ่งแบรนด์เครื่องหอมจากแดนมังกรที่กำลังมาแรงเตรียมตัวไประดับโลกเพราะได้เงินอัดฉีดก้อนโตจาก Ushopal Group บริษัทบิวตี้เจ้าใหญ่ของจีน Documents เป็นแบรนด์ที่ถือกำเนิดขึ้นที่ Shanghai อีกเมืองยักษ์ใหญ่ของจีน แม้จะโฟกัสไปที่วัตถุดิบท้องถิ่นในการปรุงกลิ่นเช่นเดียวกับแบรนด์ To Summer แต่คาแรคเตอร์ของสินค้าและการสื่อสารแบรนด์นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง Documents จะเน้นไปที่วิถีชีวิตคนเมืองที่มีความล้ำสมัยกล้าที่จะแหวกแนว ซึ่งก็สอดคล้องกับคาแรคเตอร์ของเซี่ยงไฮ้ที่มีความเป็นเมืองยุคใหม่มากกว่าปักกิ่ง กลิ่นของ Documents นั้นมีโน้ตของโป๊ยกั๊ก ถั่ววอลนัท ดอกยูหลานแมกโนเลีย ไปจนถึงต้นจิงจูฉ่าย และราคาน้ำหอมก็เริ่มต้นตั้งแต่ขวดละประมาณ 4,000 บาทเลยทีเดียว
สาขาที่เราไปตั้งอยู่ชั้น 1 ห้าง China World Mall ตรงข้าม Park Hyatt Beijing
เวลาเปิดปิด: 10:00 am - 10:00 pm เปิดทุกวัน
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน สถานี Guomao
ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.instagram.com/documentsperfume/
สรุปความประทับใจ
เราตกหลุมรักเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีนแห่งนี้เข้าอย่างจังเลยล่ะ นอกจากบ้านเมืองจะสะอาดทันสมัยยิ่งใหญ่อลังการแล้ว สิ่งที่เกินคาดที่สุดกลับเป็นผู้คนที่เฟรนด์ลี่มากๆพร้อมช่วยเหลือตลอด แม้จะสื่อสารกันคนละภาษาต้องแปลกันผ่านแอ๊ป แต่เราก็รู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรที่จริงใจ ส่วนอาหารก็ถูกปาก (ตัดสินเฉพาะจากร้านที่เราเลือกไปกินนะครับ) การเดินทางก็สะดวกปลอดภัย ที่ถูกใจอีกเรื่องก็คือทั้งเมืองนั้นขับรถไฟฟ้ากันเกือบทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการแก้ปัญหามลพิษของทั้งรัฐบาลและประชาชน ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เราแทบจะไม่ได้กลิ่นควันรถหรือได้ยินเสียงรถเลยครับ ถ้าจะมีก็น่าจะมาจากบุหรี่บ้างเพราะคนปักกิ่งสูบบุหรี่จัดมากกกก 4 วันที่ปักกิ่งนี้ทำให้เรารู้เลยว่าเวลาแค่นี้ไม่พอครับ ฮ่าๆๆๆ เพราะยังมีอีกหลายสิบย่านที่เรายังไม่ได้ไปสำรวจ รอบหน้าจะเผื่อเวลามากขึ้นและจะกลับมาเที่ยวเมืองปักกิ่งอีกแน่นอน
Comments