Amansara เยี่ยมยลนครวัดอย่างแขกคนสำคัญ กับประสบการณ์ Once-In-A-Lifetime
“งามสง่า อบอุ่น รุ่มรวย และทำให้เรารู้สึกเหมือนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด” คือตัวอย่างของคำบรรยาย Amansara ที่เรานึกขึ้นได้ครับ บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ แต่มีเพียง 24 ห้องพัก และมีพนักงานดูแลกว่า 70 คน (เท่ากับมีพนักงานดูแลอย่างน้อย 3 คนต่อ 1 ห้องพัก) ทำให้รีสอร์ทแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์และมีความ Exclusive ขั้นสุด สมกับที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรือนรับรองแขกคนสำคัญของกษัตริย์กัมพูชา และการเข้าพักที่ Amansara ในคราวนี้นั้นก็ช่วยยกระดับทริปเสียมเรียบ (เสียมราฐ) และการสำรวจนครวัด-นครธมของเราให้กลายเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะจดจำไปไม่รู้ลืมเลือน ยิ่งได้มาในช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวยังบางตาแบบนี้ ก็เท่ากับว่าเราแทบจะได้ทั้งมหาวิหารเป็นของตัวเองเลย วันนี้ hoparound.co ขออาสาพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับ Amansara ด้วยกันนะครับ บอกใบ้นิดนึงว่า hoparound.co มีข้อเสนอพิเศษที่ Amansara ให้กับชาว #hopsters โดยเฉพาะด้วย
Amansara Overview
ชื่อ Amansara เกิดจากการผสมคำว่า Aman (ชื่อแบรนด์รีสอร์ทซึ่งแปลว่าความสงบ) + Sara (มาจาก Apsara หรือนางอัปสร นางสวรรค์ผู้ดูแลสถานที่สำคัญในวัฒนธรรมขอม) ดังนั้น Amansara จึงแปลว่า ความสงบสุขดุจสรวงสวรรค์นั่นเอง และจากประสบการณ์ของเราก็พอจะยืนยันได้ครับว่าที่นี่สงบสุขดุจสรวงสวรรค์จริงๆ
จากเรือนรับรองพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุที่สร้างขึ้นอย่างงามสง่าในช่วงปี 60s เลอค่าทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ในยุคก่อนความขัดแย้งยาวนานภายในประเทศ สถาปัตยกรรมแบบ New Khmer Style ที่หรูหราทว่าเรียบง่ายและอบอุ่น ไปจนถึงโลเคชั่นที่อยู่ห่างจากทางเข้านครวัดเพียง 10 นาทีเท่านั้น Amansara ได้เกิดขึ้นเพื่อจุดประกายความรุ่งโรจน์ให้กับสถานที่อันทรงเกียรติแห่งนี้อีกครั้งในปี 2002 ในฐานะรีสอร์ทสุด Private ที่มีห้อง Suite เพียง 12 ห้อง (ณ ขณะนั้น) และประตูหน้าที่ปิดตลอดเวลา จะเปิดให้เฉพาะแขกของรีสอร์ทเข้า-ออกเท่านั้น ทำให้ Amansara มักจะได้ต้อนรับแขกระดับ VVIP ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวขั้นสุด ไม่ต่างจากแขกบ้านแขกเมืองของกษัตริย์ในวันวาน
ในปี 2005 Amansara ได้เชิญคุณ William Kerry Hill สถาปนิกระดับตำนานของโลกชาวออสเตรเลียนให้มาออกแบบส่วนต่อขยายเพิ่มเติมอีก 12 ห้อง จากเดิม 12 ห้องพักกลายเป็น 24 ห้องพร้อม Private Pool ทำให้แต่ละห้องมีพื้นที่ถึง 141 ตร.ม.เลยทีเดียว และห้องพักของเราก็อยู่ในส่วนที่สร้างใหม่นี่เองครับ เราสามารถสัมผัสได้ถึงความเคารพอย่างสูงที่คุณ Hill มีต่อสถาปัตยกรรมดั้งเดิม เพราะหากพนักงานไม่ได้แจ้งเราก็แทบแยกไม่ออกระหว่างส่วนดั้งเดิมกับส่วนต่อขยายเลย เพราะทุกอย่างนั้นมีความกลมกลืนต่อเนื่องกันมากเลยครับ
มาตรฐานความ Ultra-luxury ของแบรนด์ Aman ทำให้เราวางใจได้ว่าการบริการที่ Amansara นั้นสมฐานะความดีงามของตัวสถานที่อย่างแน่นอน แม้ในช่วงโควิด ทางรีสอร์ทก็ยังมีทีม Amansanti (ศัพท์เฉพาะของทาง Aman ที่ใช้เรียกทีมงาน) เฉลี่ยถึง 3 คนในการดูแล 1 ห้องพัก ลดลงนิดหน่อยจากช่วงปกติ ทุกๆ Touch Point นั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้การเข้าพักที่นี่เป็นมากกว่าการเข้าพักรีสอร์ทหรูทั่วๆไป แต่เป็นประสบการณ์พิเศษที่ย้ำให้เรารู้สึกถึงความเป็นคนสำคัญ ตั้งแต่เช็คอินจนเช็คเอ้าท์ พร้อมเชื้อเชิญให้จ่อมจมลงในประวัติศาสตร์ วัตนธรรม และวิถีชีวิตอันงดงามของชาวเสียมเรียบตลอดระหว่างการเข้าพัก
The Arrival
เพียง 1 ชม.จากสนามบินดอนเมือง เราก็ลงจอดที่เสียมเรียบด้วยความนุ่นมวล ในช่วงที่เราไปกัมพูชานั้นคนไทยไม่ต้องมีวีซ่า ไม่ต้องตรวจ ATK เพียงแต่ต้องมี Vaccine Passport ติดตัวไปด้วย แต่สำหรับแขก Amansara นั้นพิเศษมากขึ้นด้วยบริการผ่านด่านตม.แบบ Fast-Track แค่เพียงเซ็นเอกสาร แล้วก็ไปรอรับกระเป๋าได้เลย เพราะทาง Amansara มีเจ้าหน้าที่คอยจัดการเรื่องอื่นๆให้ทั้งหมด
เมื่อออกมาจากสนามบินแล้ว เราก็ได้พบกับรถลิมูซีนวินเทจในตำนาน เป็นรถยนต์คันยาวที่ดูโอ่อ่าสง่างามมาก เพราะสั่งให้ Mercedez Benz ประกอบขึ้นเป็นพิเศษในปี 1962 ในพระนามพระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุ กษัตริย์กัมพูชาในขณะนั้น แค่เพียงมาถึงสนามบิน Amansara ก็ทำให้เรารู้สึกราวกับเป็นแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญเลยครับ ลองคิดดูว่าเราได้นั่งที่นั่งเดียวกันกับพระราชาในอดีตเลยนะครับ ภายในรถนั้นกว้างขวาง มีบริการน้ำดื่มและผ้าเย็นกลิ่นตะไคร้หอม พร้อมทั้งคนขับรถและพนักงานต้อนรับที่ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถและสถานที่ต่างๆตลอดเส้นทางการไปรีสอร์ทซึ่งใช้เวลาเพียง 15-20 นาทีเท่านั้น ระหว่างทาง เราได้เห็นทั้งวิถีชีวิตชาวบ้าน และความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ และแน่นอนครับเราขับผ่านทางเข้านครวัดด้วย
เมื่อเรามาถึง ประตูสีดำด้านหน้า Amansara ก็ค่อยๆเปิดออกเพื่อต้อนรับเรา รถวินเทจคันงามก็พาเราเข้าสู่บริเวณรีสอร์ทที่ร่มรื่นและเงียบสงบ หลังจากจอดเทียบที่ Lobby เรียบร้อยแล้ว เราก็ได้ยินเสียงต้อนรับทักทายจากพนักงาน Front Office ที่เรียงแถวรอรับการมาถึงของเรา พื้นที่บริเวณ Lobby นั้นมี Vibes ที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของ Aman เป็นอย่างมาก มีความมินิมอลที่เปี่ยมรสนิยมและทันสมัย แต่ก็สะท้อนถึงความรุ่มรวยของวัฒนธรรมท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่คู่กับสถานที่แห่งนี้มายาวนานก็ให้ร่มเงาต้อนรับเราด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ ที่พิเศษมากยิ่งขึ้นสำหรับ Amansara ก็คือมนตร์เสน่ห์ของตัว Property ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนยุคไปเป็นแขกบ้านแขกเมืองผู้ทรงเกียรติยังไงยังงั้นเลยครับ เป็นความรู้สึกพิเศษที่อบอุ่นเป็นกันเอง ไม่ทำให้รู้สึกเกร็งเลย การมาถึงของเรานั้นเป็นความประทับใจแรกที่ยากจะลืมเลือนเลยครับ
Our Room
ห้องพักของเรา เป็น Pool Suite ขนาด 141 ตร.ม.ที่อยู่ในโซนต่อเติมมาจากอาคารดั้งเดิม แต่ดูเนียนเป็นเนื้อเดียวกันกับของเดิมโดยที่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เลยครับ แถมโซนนี้ยังร่มรื่นมากๆด้วย เพราะอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ถึง 3 ต้นที่ Courtyard ตรงกลาง ในข้อเสนอพิเศษที่ทาง Amansara ทำร่วมกับ hoparound.co หากโซนนี้มีห้องว่าง เพื่อนๆที่ใช้โค้ดของเราในการจองตรงกับทางรีสอร์ท นอกจากจะได้ราคาพิเศษที่ลดลงกว่าครึ่งจากราคาปกติแล้ว ก็จะได้อัพเกรดมาเป็นห้อง Pool Suite ฟรีเลยด้วยครับ คุ้มที่สุดแล้วครับ
มาชมห้องของเรากันดีกว่าว่าเป็นยังไงกันบ้าง การจัดพื้นที่ใช้สอยนั้นมีคอนเส็ปต์ Open Plan Living โดยเน้นความต่อเนื่องของพื้นที่แต่ละโซน ทั้งห้องนอน มุมนั่งเล่น ห้องน้ำ ไปจนถึงพื้นที่ Outdoor บริเวณสระส่วนตัวด้านนอก ภายในห้องนั้นตกแต่งด้วยโทนสีขรึมคลาสสิคอย่างสีขาว-ดำ-น้ำตาล เมื่อเข้าห้องซ้ายมือจะเป็น Dressing กับ Minibar มี Mini Island Bench อยู่ด้านหน้า ซึ่งตอบโจทย์ทั้งเรื่องประโยชน์ใช้สอย และความสวยงาม ข้างใต้มีตระกร้าผ้าที่ใส่แล้วเพื่อส่งซักรีดได้ฟรี เพราะรวมอยู่ในข้อเสนอพิเศษของเราด้วยเช่นกัน ขอบอกว่าบริการเนี้ยบมากเลยครับ
ต่อมาเป็นโซนโซฟานั่งเล่นที่มีที่นั่งรองรับได้ถึง 4 คน พร้อมผลไม้และหนังสือประวัติคร่าวๆของรีสอร์ทและนครวัด-นครธมที่เราสามารถนั่งอ่านและนำกลับเป็นที่ระลึกได้ เราชอบฝาผนังห้องที่ประดับด้วยภาพลายนูนต่ำสีขาวที่ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะขอม ดูเรียบง่ายทันสมัยและสะท้อนความเคารพต่อสถานที่ตามวิถีของ Aman ได้เป็นอย่างดี บริเวณหัวเตียงนั้นทำ 2 หน้าที่ไปพร้อมๆกัน นอกจากจะเป็นหัวเตียงแล้ว ยังเป็นโต๊ะยาวสำหรับนั่งทำงาน พร้อมเครื่องเขียนให้ด้วย นอกจากนี้ด้านหลังหัวเตียงยังเป็นประตูเลื่อนไม้ตีเกล็ดที่เอาไว้เปิด-ปิดได้ตามใจชอบ ซึ่งเราคิดว่าเป็นการออกแบบที่ชาญฉลาดและลงตัวมากเลยครับ
มาต่อกันที่โซนห้องน้ำกันครับ ตรงนี้เป็นพื้นที่ต่างระดับที่ต้องเดินบันไดลงมา 1 ขั้น จุดศูนย์กลางของห้องน้ำก็คืออ่างอาบน้ำขนาดแช่ 1 คน และมีอ่างล้างหน้า 2 ฝั่งขนาบด้านซ้ายและขวา โดยมีชุดเทียน ธูปหอมให้จุดสร้างบรรยากาศกันด้วย รวมไปถึง Amenities ต่างๆ ตั้งแต่สบู่ล้างมือ ยาฉีดกันยุง เจลแอลกอฮอล โลชั่นบำรุงผิว และสำลี-คอตต้อนบัด ในโซนนี้ทางฝั่งซ้ายจะเป็นโซนห้องอาบน้ำแบบฝักบัวและชักโครก เราปลื้มกับการจัดพื้นที่ใช้สอยที่เป็นสัดส่วนดีมากๆ โดยเฉพาะห้อง Shower นั้นมีผนังเป็นกระจกใส ที่สามารถดูวิวสระว่ายน้ำส่วนตัวด้านนอกไปได้ด้วย
ไฮไลท์แน่นอนว่าอยู่ด้านนอกครับ เป็นพื้นที่ Private Pool ดาวเด่นก็คือสระน้ำที่ปูด้วยกระเบื้องสีดำเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับผนังที่ประดับไปด้วยภาพนูนต่ำที่เราตกหลุมรัก ขนาดของสระ 25 ตารางเมตรกำลังดีครับ เอาไว้แช่เล่นเพลินๆ ว่ายได้นิดน่อย จะถ่ายรูปก็ดูสวยขลังไม่เหมือนใครเลยครับ
Late Lunch at The Dining Room
ท้องเริ่มหิวกันแล้ว เราไปที่ห้องอาหารของรีสอร์ทกันดีกว่าครับ พอมาถึง The Dining Room สิ่งที่อิ่มก่อนท้องของเราก็คือสายตาครับ ต้องบอกว่าห้องอาหารทรงกลมนี้สวยมากๆ แสงธรรมชาติที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกบานสูงรอบอาคารสลับกับเสาหินนั้นทำให้พื้นที่ดูสว่างปรอดโปร่ง ให้ความรู้สึกโอ่อ่าภูมิฐานและอบอุ่นไปพร้อมๆกัน สำหรับเมนูของที่นี่นั้นจะมี 3 ส่วน คือส่วนที่เป็น All-Day Dining ก็จะเป็นอาหาร Comfort Food ทั้งแบบกัมพูชาและแบบสากลที่อร่อยง่ายๆเสิร์ฟตลอดวัน ถัดมาจะเป็นเมนูอาหารเช้าที่เสิร์ฟช่วงเช้าเท่านั้น และส่วนสุดท้ายคือดินเนอร์ที่จะเปลี่ยนเมนูทุกวัน โดยในแต่ละมื้อนั้นจะมีตัวเลือกให้ทั้งอาหารกัมพูชาและอาหารตะวันตก อ้อ! เค้ามีบริการ Afternoon Tea ด้วย ซึ่งจะมีทั้ง Bakery แบบตะวันตกและขนมกัมพูชาที่ใช้วัตถุดิบคล้ายๆบ้านเรา แต่การปรุงและรสชาติอร่อยต่างไปนะครับ
เรามาใช้บริการที่นี่แทบทุกมื้อเลยครับ รสชาติดีไม่มีผิดหวัง โดยเฉพาะมื้อเย็นที่เราจะตั้งตารอว่าวันนี้จะมีอะไรให้เราเลือกลองชิมบ้าง แถมยังมีความพิเศษตรงที่ทุกๆคืนจะมีนักดนตรีมาบรรเลงเพลงแบบเขมรดั้งเดิม โดยจะมีการสลับสับเปลี่ยนเครื่องดนตรีชิ้นเดี่ยวให้ต่างไปในแต่ละคืน ทั้งมินิมอลและไพเราะมาก คลอไปกับบรรยากาศที่สวยงามเพื่อเพิ่มความสุนทรีย์ในระหว่างที่เราละเลียดความอร่อย สำหรับเราแล้ว เรา Enjoy เมนูซุปร้อนๆในมื้อค่ำมากๆครับ โดยเฉพาะในวันที่ออกไปเที่ยวชมเมืองและโบราณสถานมาหนักๆ ซุปทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้ดีสุดๆเลย เป็น Trick ที่อยากแนะนำดูครับผม
เรามาบ่อยจนเริ่มสนิทกับพนักงาน (Amansanti) ข้อมูลที่เราเอามาเล่าต่อให้เพื่อนๆฟังก็มักจะได้มาจากการพูดคุยกับพนักงานที่นี่แหละครับ น่าประหลาดใจที่พนักงานทุกคนรู้เรื่องราวของรีสอร์ทอย่างละเอียด แม่นไปจนถึงปีไหนเกิดอะไรขึ้นบ้าง
Walking around the property
ได้เวลาเดินสำรวจและทำความรู้จักอมันสราแล้วครับ เนื้อที่โรงแรมไม่ใหญ่มาก ทำให้เรารู้สึกว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้าน ฟีลโฮมมี่มากๆ แอบกระซิบว่าเค้ากำลังจะขยายพื้นที่ เพิ่มเติมห้อง Pool Villa ด้วยนะครับ
The Pools & Fitness
นอกจากสระน้ำส่วนตัวในห้องแล้ว หากเราอยากเสพบรรยากาศสระว่ายน้ำใหญ่ Amansara ยังมีสระไว้ให้บริการอีก 2 สระ สระแรกก็คือ Main Pool ที่ยาวถึง 27 เมตรเหมาะสำหรับเล่นน้ำทั่วๆไป หรือจะนอนอาบแดด จิบค็อกเทล สั่งอาหารมากินริมสระก็ได้เช่นกัน สระหลักนี้อยู่โซนดั้งเดิมและปรากฏอยู่ในภาพโปรโมทรีสอร์ทบ่อยๆ ฉะนั้นหากเราลงเล่นน้ำและถ่ายรูปที่สระนี้ คนที่รู้จัก Amansara ก็จะอ๋อแกมอิจฉาทันทีเลยครับ
แต่หากเพื่อนๆอยากออกกำลังจริงจัง ด้านหลังของโซนต่อขยายจะมีอีกสระซึ่งเป็น Lap Pool ที่ยาวถึง 25 เมตร โบนัสของสระนี้ก็คือความ Private ที่มากกว่า เพราะซ่อนอยู่ด้านในสุดของรีสอร์ท และมีฟิตเนสขนาดย่อมแต่อุปกรณ์ครบครัน ที่สำคัญคือโปร่งสบายด้วยกระจกสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดานอยู่ในบริเวณเดียวกันกับ Lap Pool ด้วยครับ ฉะนั้นสาย Active สบายใจได้เลยครับ
หากอยากจะเข้าคลาสพิเศษอื่นๆ ไม่ว่าจะฟลายอิ้งโยคะ หรือเรียนรำอัปสราก็สามารถสอบถามทางรีสอร์ทได้เช่นกัน เพราะที่นี่นั้นมีห้อง Movement Studio เอาไว้รองรับคลาสพิเศษโดยเฉพาะเลย ซึ่งบรรยากาศดีมากเลยครับ เพราะอยู่ในส่วนเดียวกันกับสปาจึงสวยสงบและร่มรื่นสุดๆครับ
Amansara Spa
สปาที่ Amansara นั้นงดงามมีมนตร์จริงๆครับ ทันทีที่ก้าวเท้ามาก็รู้สึกได้ถึงความสงบปราศจากการรบกวนใดๆ แม้จะมีห้อง Treatment เพียง 4 ห้อง แต่ทุกห้องก็มีห้องอาบน้ำ ห้องอบไอน้ำส่วนตัว รวมไปถึงห้องให้นั่งพักผ่อนหลังจบ Treatment ด้วย อีกสิ่งที่เราชอบมากๆในงานตกแต่งก็คือภาพสลักนูนต่ำบนหินทรายที่ยาวกว่า 43 เมตรตลอดแนวกำแพงสปา ซึ่งทั้งงดงาม มีเอกลักษณ์ และสะท้อนถึงศิลปะขอมและความเป็น Aman ได้อย่างลงตัว
วันนี้เราเลือกลองกันคนละทรีตเมนต์ครับ คุณเค้กเลือก Full Body Oil Massage (Massa Preng) ด้วยเทคนิครีดกล้ามเนื้อแบบกัมพูชา ส่วนคุณเฟิร์สเลือก Temple Walk ซึ่งเป็นทรีตเม้นต์ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่เหนื่อยล้าหลังจากออกไปเดินสำรวจโบราณสถานในเขต Angkor โดยเฉพาะ ซึ่งจะเริ่มด้วยการขัดเท้าแล้วบำรุงด้วยโลชั่นฤทธิ์เย็นของ Aman จากนั้นจึงนวดด้วยน้ำมันทั้งที่เท้า ขา และคอ บ่า ไหล่ เอาเข้าจริงๆเราก็จำอะไรไม่ได้มากเพราะเคลิ้มหลับไปด้วยความสบายซะเป็นส่วนใหญ่
เสร็จทรีตเม้นต์กันแล้ว ก่อนออกจากสปา อย่าลืมแวะดูสินค้าแบรนด์ Aman ด้วยนะครับ น่าสนใจหลายชิ้นเลย
Library & Boutique
ไม่รู้ว่ามีใครเป็นเหมือนเรามั้ยนะครับ เวลามาพักรีสอร์ทดีๆ เราชอบเข้าไปนั่งทำงาน-อ่านหนังสือในห้องสมุด เพราะเรารู้สึกว่าเป็นอีกจุดที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจที่คนมักมองข้าม และห้องสมุดของ Amansara นั้นก็สวยสมเกียรติสถานที่ครับ หนังสือที่นี่เน้นเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม งานออกแบบ และรีสอร์ทต่างๆของ Aman และอยากจะบอกว่าตรงนี้เป็นที่หลบร้อนระหว่างวันที่ดีมากๆเลยครับ การบริการก็เป็นเลิศอีกเช่นเคยครับ ทันทีที่เราเข้าใช้ห้อง พนักงานก็เข้ามาถามว่าอยากรับเครื่องดื่มอะไรระหว่างนั่งทำงานมั้ย เรียกว่ารู้ใจในทุกโมเม้นต์เลยครับ
นอกจากห้องสมุดแล้ว ใกล้ๆกันก็จะมีห้อง Boutique ที่รวบรวมเอางานฝีมือของชาวกัมพูชาที่ทาง Amansara คัดสรรมาแล้วมาวางขายสำหรับแขกที่สนใจด้วย ยังไงก็อย่าลืมแวะเข้าไปชมกันนะครับ
Biking Around Siem Reap
แค่เพียงใช้เวลาในรีสอร์ทก็คุ้มค่ามากแล้วครับ แต่ที่นี่ยังมีกิจกรรมอีกมากให้เลือกทำครับ เริ่มต้นเบาๆด้วยการปั่นจักรยานชมเมืองเสียมเรียบ จะไปซื้อกาแฟ กินอาหาร หรือช็อปปิ้งก็เพลินมาก ในเสียมเรียบนั้นมีร้านเก๋ๆซ่อนตัวอยู่ค่อนข้างเยอะกว่าที่เราคิดไว้แต่ต้องรู้จักและหาข้อมูลไปล่วงหน้านิดนึงนะครับ ส่วนตัวเมืองนั้นร่มรื่นและถนนกว้างดีมาก แต่หากใครขี้เกียจปั่นจักรยานก็สามารถให้ทางรีสอร์ทขี่รถลากพ่วง (Remork) ไปส่งได้ทั่วโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเลยครับ เพราะรวมอยู่ในค่าห้องพักแล้ว
แต่แน่นอนว่าเสียมเรียบมีอะไรให้สำรวจอีกเยอะมาก และเพื่อนๆก็สามารถเลือกซื้อแพ็คเก็จต่างๆเพิ่มเติมกับทาง Amansara ได้ตามความสนใจเลยนะครับ
Breakfast at Dining Room
เมื่อคืนเราหลับกันสบายมาก ตื่นมาดูเวลาอีกทีได้เวลาอาหารเช้าแล้วครับ มื้อเช้าที่นี่หลากหลายมากๆ ครับ มีทั้งอาหารสไตล์ฝรั่ง ขนมอบ ครัวซองต์ รวมไปถึงอาหารสไตล์กัมพูชาด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นแบบอาลาการ์ทที่สั่งได้ไม่อั้น แต่อย่าลืมทานให้หมดนะ บอกเลยว่าอาหารที่นี่ถูกปากเรามากๆ
Angkor Wat
วัตถุประสงค์ของการมาเยือนเสียมเรียบของคนส่วนใหญ่ก็คือมาชมนครวัดนี่แหละครับ ถึงขนาดมีคำกล่าวโดย Arnold Toynbee นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษว่า “See Angkor Wat and die.” เพราะที่นี่เป็นศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งกินอาณาเขตกว่า 1,000 ไร่ และเป็นสิ่งก่อสร้างแห่งอารยธรรมเขมรหรือขแมร์ (Khmer) ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดด้วย โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นคริสตศตวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าสุรยวรมันที่ 2 เพื่อให้เป็นพระราชสุสานของพระองค์เอง จนถึงปัจจุบันรวมอายุได้กว่า 900 ปีแล้ว ถือว่าอายุไม่มากเมื่อเทียบกับอีกหลายๆโบราณสถานในเขมรนะครับ
ในปี 1854 มีบาทหลวงชาวฝรั่งเศสชื่อ คุณพ่อ Charles-Emile Bouillevaux ได้เขียนบันทึกไว้หลายฉบับเอาไว้ว่าเขาได้มาพบนครวัด ซึ่งบทความเหล่านั้นบังเอิญได้มาผ่านสายตาของ Henri Mouhot นักสำรวจชาวฝรั่งเศส ทำให้เขาดั้นด้นหาสปอนเซอร์เพื่อเดินทางมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอ้างว่ามาศึกษาพันธุ์ไม้และแมลง จนในที่สุดเขาก็ได้พบนครวัดจริงๆในเดือนมกราคม ค.ศ. 1860 (162 ปีที่แล้ว) และนครวัดจึงเป็นที่รู้จักในระดับโลกนับแต่นั้นมา ยิ่งถ้าเป็นจริงตามที่ไกด์เล่าว่าคุณ Henri นั้นได้เข้าป่าตามผีเสื้อมาจนพบนครวัดก็ยิ่งเข้าพล็อต Hollywood มากๆเลยครับ ฮ่าๆๆ
นอกจากจะเอาไว้เก็บพระบรมศพแล้ว เริ่มแรกนครวัดยังเป็นวัดในศาสนาฮินดูเพื่อบวงสรวงบูชาพระวิษณุโดยเฉพาะ ซึ่งต่างจากวัดฮินดูส่วนใหญ่ที่มักจะสร้างขึ้นเพื่อสักการะพระศิวะ โดดเด่นด้วยศิลปะภาพสลักนูนต่ำบนหินรอบอาคาร โดยเล่าเป็นเรื่องราวความเชื่อและวิถีชีวิตของผู้คนในยุคโบราณ ซึ่งมีชาวละโว้ (ลพบุรี) เป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วยนะครับ แต่ต่อมาไม่นานเมื่อศาสนาพุทธได้เข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้มากขึ้น จึงมีการปรับเปลี่ยนให้เป็นวัดพุทธ ทำให้ในปัจจุบันเราจึงสามาถเห็นได้ทั้งความเป็นพุทธและฮินดูที่นครวัด
แต่ถ้าจะให้พูดแบบข้ามมุมมองทางประวัติศาสตร์ใดๆไปเลย ก็ต้องบอกว่านครวัดสวยและขลังมากครับ และขอย้ำอีกทีว่าช่วงนี้เป็นนาทีทองที่ควรจะมาเที่ยวเพราะนักท่องเที่ยวยังบางตา (เพิ่งเริ่มกลับมาแค่ 5% เท่านั้น) ทำให้ถ่ายรูปสวยๆได้ง่ายมาก และถ้าหากซื้อแพ็คเก็จนำชมนครวัดกับทาง Amansara เราก็จะได้สิทธิทางเข้าด้านหลังที่พิเศษเฉพาะแขกรีสอร์ทโดยเฉพาะ ซึ่งจะยิ่งดีงามขึ้นไปอีกหากเราเลือกมาตอนเช้าตรู่จะได้มาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดเลย และยังมีไกด์มืออาชีพความรู้แน่นที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องปร๋อ (บางคนก็ได้ภาษาไทยนิดหน่อย) รวมทั้งรถรับส่งที่พกเอาน้ำดื่มเย็นๆและผ้าเย็นไปไว้คอยบริการเราด้วย ถ้าสนใจยังไงลองสอบถามทางรีสอร์ทถึงรายละเอียดต่างๆดูอีกครั้งนะครับ
Angkor Thom - Bayon
นครธมคืออัครนครอันแห่งสุดท้ายของอาณาจักรเขมร เชื่อกันว่าเคยมีประชากรนับล้านคนอาศัยอยู่ในเมืองหลวงอันรุ่งโรจน์ขนาด 9 ตารางกิโลเมตรแห่งนี้ แต่บ้านเมืองของผู้คนนั้นสร้างขึ้นด้วยไม้จึงผุพังมลายไปตามกาลเวลา เหลือไว้แต่เพียงโครงสร้างหินที่ตรงประตูเมืองทั้ง 4 ทิศ (แต่ละทิศใช้เดินทางเข้า-ออกด้วยวัตถุประสงค์ต่างกัน) และปราสาทบายนใจกลางเมืองที่ดูขลังราวกับมีชีวิต ในปัจจุบันเราน่าจะคุ้นเคยกับใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบบายนบนยอดปราสาทกันได้ดี ใบหน้าเหล่านี้ว่ากันว่าเป็นใบหน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างนครธรมซึ่งสถาปนาตนเป็นสมมติเทพ ทำให้มีการอ้างอิงว่าใบหน้าเหล่านี้เป็นใบหน้าเดียวกันกับใบหน้าพระพุทธเจ้าด้วย
ไม่ถึง 100 ปีหลังจากที่นครวัดสร้างเสร็จ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้กอบกู้อาณาจักรเขมรคืนจากอาณาจักรจามปาได้สำเร็จ ก็ได้สร้างปราสาทบายนขึ้นตามพุทธคติ และได้สร้างแนวกำแพงเมืองนครธมล้อมรอบโดยอยู่ห่างจากนครวัดไปทางเหนือเพียง 1.5 กม. แต่ต่อมาศาสนาฮินดูได้กลับมาเป็นศาสนาหลักในเขมรอีกครั้ง จึงมีการทำลายองค์ประกอบแบบพุทธลงแล้วใส่ความเชื่อฮินดูเข้าไปแทน ปราสาทบายนจึงมีความผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและฮินดูเข้าไว้ด้วยกันเช่นเดียวกับนครวัด เพียงแต่สลับยุคสมัยกัน
หากเพื่อนๆต้องการมาเที่ยวนครธมด้วย เราแนะนำให้วางแผนล่วงหน้านิดนึงครับ เพราะตั๋วการเข้าชมเขต Angkor นั้นมีหลายแบบ ใช้เข้าชมสถานที่ต่างๆได้มากน้อยต่างกัน หรือจะสอบถามเพิ่มเติมกับทาง Amansara ก็สะดวกดีครับ
Ta prohm
วัดตาพรหม หรือชื่อทางการว่าราชวิหาร เป็นวัดที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้ก่อตั้งนครธม ได้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระราชมารดา (และสร้างวัดพระขรรค์ซึ่งเราไม่ได้ไปในทริปนี้ เพื่ออุทิศให้กับพระราชบิดา) ไกด์บอกว่าที่คนเรียกว่าวัดตาพรหมก็เพราะไปเข้าใจว่าใบหน้า 4 ทิศตรงยอดประตูของวัดเป็นใบหน้าของพระพรหม ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดมานานนั่นเอง
แต่ในวันนี้ สิ่งที่ผู้คนจดจำวัดตาพรหมได้ก็คือรากต้นสำโรง (หรือต้นสะปง) ขนาดใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมหลังคาวัดหินโบราณ ทำให้ดูขลังอย่างมาก มีเสน่ห์ถึงขนาดเป็นหนึ่งในฉากหลักของภาพยนตร์ Hollywood เรื่อง Lara Croft: Tomb Raider ที่นำแสดงโดย Angelina Jolie เลยทีเดียว ซึ่งก็ยิ่งทำให้ภาพของวัดตาพรหมเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นไปอีก เราแอบไปค้นหาดูว่าหนังเรื่องนี้ออกฉายเมื่อไหร่ เพราะสำหรับเราแล้วก็รู้สึกเหมือนไม่นานมานี้เอง แล้วก็ต้องตกใจว่าออกฉายตั้งแต่ปี 2001 ก่อนที่ Amansara จะเปิดตัวเสียอีก ฮ่าๆๆๆ
สำหรับเราแล้ว วัดตาพรหมกลับกลายเป็นโบราณสถานที่เราชอบที่สุดในทริปนี้เลย ไม่แน่ใจว่าเพราะอากาศเป็นใจและโล่งสบายแทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นเพราะขนาดของอาคารที่ยังมีความเป็น Human Scale ไม่ได้แกรนด์เท่ากับอีก 2 ที่ที่ไปมา ผสมกับความดิบของต้นไม้ที่ขึ้นไต่ตามสิ่งปลูกสร้างแบบธรรมชาติ แต่การเดินเล่นสำรวจวัดตาพรหมคราวนี้นั้นเพลิดเพลินมากๆครับ
ใครที่ได้ไปวัดตาพรหมนอกจากจะมุมถ่ายรูปกับรากไม้ซึ่งมีหลายจุดแล้ว เราขอแนะนำอีก 3 จุดที่คนอาจจะมองข้ามครับ นั่นก็คือโถงปลดปล่อยความโศกเศร้า (อันนี้เราตั้งชื่อให้เองเพราะไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าอะไร ฮ่าๆ) เป็นพื้นที่ด้านในพระปรางค์ที่เราสามารถยืนพิงผนังอธิษฐานและทุบไปที่อกของเราจนเกิดเสียงก้อง เพื่อปลดปล่อยความทุกข์ในใจของเราได้ จุดที่สองก็คือก้อนหินหน้ายิ้มอันนี้บอกยากว่าอยู่ตรงไหน เพราะเราก็บังเอิญเจอเช่นกันแต่น้องน่ารักมากเลยครับ และจุดสุดท้ายก็คือภาพสลักบนหินรูปไดโนเสาร์ที่จนถึงทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังงงๆว่ามาโผล่ที่วัดแห่งนี้ได้ยังไง หรืออาจจะเป็นแค่เป็นผลงานของคนมือบอนก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้
นอกจาก 3 โบราณสถานที่ยอดฮิตเราพาไปสำรวจแล้ว เสียมเรียบและบริเวณใกล้เคียงก็ยังมีวัดและปราสาทหินที่เก่าแก่ยิ่งกว่านี้อีกเยอะมากครับ บ้างก็อยู่บนยอดเขา บ้างก็อยู่กลางน้ำ บ้างก็แฝงตัวอยู่กับบ้านเรือนผู้คน หากเพื่อนๆสนใจในประวัติศาสตร์เขมรก็มีที่ให้สำรวจอีกไม่รู้จบเลยล่ะครับ
Aman Khmer Village House
เที่ยวที่โบราณๆกันมาเยอะแล้ว เรามาดูชีวิตผู้คนที่ใกล้ตัวเข้ามากันบ้าง หมู่บ้านเขมรดั้งเดิมนั้นยังพอมีให้เราได้เห็นกัน แต่ก็ค่อยๆถูกสังคมแบบใหม่กลืนไปทีละน้อย และ Amansara ก็ได้พยายามช่วยอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวบ้านในวันวานเอาไว้ด้วยการเข้าไปดูแลจัดการบ้านไม้ทรงเขมรแท้ๆพร้อมกับช่วยฝึกอบรมชาวบ้านในละแวกนั้นให้มาช่วยดูแลบ้านหลังนี้ และสาธิตวิถีชีวิตจริงๆของพวกเขาให้เราดู เช่นตอนที่เราไปนั้นก็มีการสาธิตการทำเส้นขนมจีนแบบเขมรและให้เราได้มีส่วนร่วมทำได้ด้วย ถ้าพอใจกับผลงาน จะให้ทีมของ Amansara เอาเส้นไปปรุงต่อกลายเป็นอาหารเขมรฝีมือเราเองก็ได้เช่นกัน ในเคสของเรานั้นเราก็ได้รับประทานขนมจีนเขมรเป็นอาหารเช้าที่นั่นด้วย เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์น่ารักๆที่น่าจดจำมากครับ หากเพื่อนๆสนใจจองมื้ออาหารที่บ้านทรงเขมร หรือต้องการเอ็นจอยกับวิถีชีวิตชาวบ้านแบบ Authentic ก็สอบถามกับทางรีสอร์ทได้เลยนะครับ
A Vintage Jeep Ride To Siem Reap’s Outskirt & Water Blessing Ritual
อีกกิจกรรมที่สนุกมากก็คือการนั่งรถ Jeep วินเทจไปชานเมืองเสียมเรียบครับ เพราะเสียมเรียบไม่ได้มีแค่โบราณสถาน แต่ยังมีชนบทที่สวยงาม และวิถีชีวิตชาวบ้านจริงๆที่ต่างจากภาพในนิตยสาร ทริปชานเมืองของเราในวันนี้นั้น เราได้นั่งรถจี๊บบนถนนลูกรังผ่านหมู่บ้านที่ไม่ได้อยู่ในเขตท่องเที่ยว การเกษตรและปศุสัตว์ของชาวบ้านตลอดเส้นทาง และปลายทางของเราก็คือวัดพุทธที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ซึ่งเราจะมาเข้าพิธีรับพรพระสงฆ์กัมพูชาด้วยการอาบน้ำมนต์กันครับ
สิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับการบริหารจัดการของ Aman ก็คือการพยายามรักษาจิตวิญญาณดั้งเดิมของแต่ละสถานที่เอาไว้ ที่นี่ก็เช่นกันครับ ทีมงานของรีสอร์ทได้อำนวยความสะดวกจัดห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เราโดยเฉพาะ โดยยังรักษาความกลมกลืนกับวัดแห่งนี้เอาไว้ได้อย่างแนบเนียน เมื่อเปลี่ยนชุดเป็นโสร่งเสร็จ ก็ได้เวลาไปนั่งที่แคร่ และพระกัมพูชาก็จะมาสวดมนต์และอาบน้ำมนต์ให้เราประมาณ 3-5 นาที (น้ำค่อนข้างเย็นนะครับ) สดชื่นและอิ่มบุญแล้ว เราก็ไปเปลี่ยนชุดกลับ ซึ่งทุกขั้นตอนสมูธมากๆครับ หลังจากนั้นเราก็จะไปทำพิธีต่ออีกเล็กน้อยที่อุโบสถ หากอยากบริจาคช่วยเหลือวัดก็สามารถทำได้ที่นี่เลยครับ ซึ่งเราก็ทำบุญไปเช่นกัน
ขากลับโชคดีที่อากาศเป็นใจ คนขับจึงแวะ Snack Break ข้างๆทุ่งนาเขียวขจี ทางรีสอร์ทได้จัดเอาขนมและเครื่องดื่มเตรียมไว้ให้เรามาปิกนิกกันเล็กๆพร้อมมีผ้าเย็นกลิ่นตะไคร้ให้เราด้วย การแวะสั้นๆนี้เป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ Thoughtful และเซอร์ไพร้ซ์เรามาก ต้องขอชมเชยว่า Amansara ใส่ใจรายละเอียดสุดๆเลยครับ
Tonle Sap Cruise
เพื่อนๆรู้มั้ยครับว่าที่กัมพูชานั้นมีทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ด้วย ซึ่งก็คือโตนเลสาบนั่นเอง ใหญ่ขนาดไหนน่ะเหรอครับ ก็ 2,700 ตร.กม. หรือแค่ประมาณ 12 เท่าของบึงบอระเพ็ดทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในไทยเท่านั้นเอง และ Amansara ก็มีเรือเฉพาะของรีสอร์ทที่ชื่อ Amanbala ที่จะพาเราล่องไปอย่างไพรเวทเพื่อชมวิถีชีวิตชาวบ้านริมน้ำ เสพวิวที่กว้างสุดลูกหูลูกตาและรับสายลมเย็นๆจากแหล่งน้ำขนาดมหึมาและธรรมชาติรอบๆ ต้องบอกว่าชิลล์เกินคาดไปมาก หากเพื่อนๆมาตอนเย็นและโชคดีฟ้าเปิดก็จะได้เห็นวิวตะวันตกดินที่งดงามมาก นอกจากนี้บนเรือยังมีอาหารว่างเสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มด้วยครับ หรือหากเพื่อนอยากจัดเต็ เป็น Private Dinner Cruise ก็สอบถามกับทาง Amansara ได้เลยครับ
ปิดท้ายวันด้วยมื้อค่ำ ณ ห้องอาหาร Dining Room
หลังจากไปทำกิจกรรมต่างๆนอกรีสอร์ท เราก็กลับมาทานมื้อค่ำกันที่นี่อีกครั้ง ซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายก่อนจะกลับพรุ่งนี้ รอบนี้เราลองอาหารทั้งสไตล์ฝรั่ง และ กัมพูชาเลยครับ แถมวันนี้ยังได้นั่งฟังเสียงดนตรีบรรเลงจากขิม โดยคนกัมพูชาด้วยครับ
Turn Down
ได้เวลากลับห้องพักผ่อนกันแล้วครับ ค่ำคืนนี้ห้องของเราได้รับการ Turn Down พร้อมนอน ทีม Housekeeping เซอร์ไพร้ส์เราด้วยการวางพวกมาลัยมะลิ กลิ่นหอมๆ ไว้บนเตียงในคืนแรก ส่วนคืนที่สองก็นำพริกไทยกัมปอตซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อของที่นี่ คืนที่สามจัดเต็มที่สุดคือเป็นภาพถ่ายปราสาทตาพรหม พร้อมข้อความน่ารักๆ และยังมีการจัดเตรียม Bath tab ลอยดอกบัวสีชมพู ให้เราพร้อมลงไปแช่ตัวอีกด้วย ขอบคุณมากๆเลยครับ
Wrapping Up Our Trip
ไม่ต้องบอกก็คงจะเดาได้ว่าเราประทับใจกับ Amansara มากแค่ไหนนะครับ หลายปีมาแล้วสมัยที่เรายังวัยรุ่น เราเคยมาเสียมเรียบเพื่อเที่ยวนครวัดแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นประสบการณ์แตกต่างจากครั้งนี้แบบพลิกแผ่นดินเลย และตัวแปรสำคัญก็คือ Amansara นั่นเองครับ รีสอร์ทระดับ Ultra-Exclusive แห่งนี้นั้นมีบริการที่สามารถยกระดับการเดินทางของเราให้เป็น Once-In-A-Lifetime Experiece ได้แบบเหนือความคาดหมาย เรารู้สึกเป็นคนสำคัญดุจแขกบ้านแขกเมืองในวันวานที่ได้รับการดูแลแบบยอดเยี่ยมที่สุดในทุกๆวันที่เราอยู่ที่นี่
และมันไม่ใช่แค่ความหรูหราหรือสิทธิพิเศษต่างๆที่ทาง Amansara มอบให้เท่านั้น แต่เรารู้สึกได้ถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งถึงจิตใจ ยิ่งซีนที่เราเช็คเอ้าท์ และรถ Vintage Mercedez คันงามค่อยๆพาเราออกจากรีสอร์ท แล้วพนักงานทุกคนมายืนเข้าแถวโบกมือบอกลานั้น สารภาพตามตรงว่าจู่ๆก็น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเลยครับ แถมตอนพาเรามาส่งที่สนามบิน ยังแอบเห็น Tag กระเป๋าเดินทางดีไซน์พิเศษเฉพาะ AMANSARA ให้เราทั้งสองคนด้วย ไม่รู้ว่าแอบติดตอนไหนนะ บอกแล้วครับ ประสบการณ์ที่นี่ดีมากจริงๆ แล้วเราจะกลับมาอีกแน่นอนครับ :)
Amansara: Closer to home ยลนครวัดแบบ Ultra-Exclusive กับข้อเสนอสุดพิเศษที่ hoparound.co เท่านั้น
#HoparoundDeals ครั้งแรกกับห้องพักเรทพิเศษสำหรับคนไทยเริ่มต้นคืนละ 𝗨𝗦𝗗 𝟲𝟬𝟬++ เพียงแจ้งโค้ด '𝗛𝗼𝗽 𝗔𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱'
สิทธิประโยชน์:
1. ห้องพักเรทพิเศษเริ่มต้นที่ USD 600++/คืน
2. อาหารเช้า ณ The Dining Room
3. อัปเกรดห้องพักฟรีเป็นห้องพักลำดับถัดไป (ขึ้นอยู่กับห้องว่างในแต่ละวัน)
4. การเช็คอิน-เช็คเอ้าท์ที่ยืดหยุ่น (ขึ้นอยู่กับห้องว่างในแต่ละวัน)
5. ชุดน้ำชายามบ่ายพร้อมผลไม้สดทุกวันตลอดการเข้าพัก
6. บริการรถจักรยาน, ตุ๊ก ตุ๊ก และรถรับส่งภายในตัวเมืองเสียมเรียบ
7. บริการซักรีด (ไม่รวมซักแห้ง)
8. บริการจัดทัวร์เข้าชมนครวัดและโบราณสถานอื่นๆ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
9. พิเศษสำหรับผู้ที่จองและเข้าพักภายในเดือนสิงหาคม-ตุลาคมนี้ เลือกรับฟรีนวดน้ำมัน 60 นาที สำหรับสองท่าน หรือ Afternoon Tea Set สำหรับสองท่าน
สำรองห้องพัก: โทร (855) 63 760 333
อีเมล: amansarares@aman.com
อย่าลืมแจ้งโค้ด '𝗛𝗼𝗽 𝗔𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱' เมื่อสำรองห้องพัก
จองและเข้าพักได้ถึง 31 มีนาคม 2025
โอกาสทองมาถึงแล้ว เราอยากให้เพื่อนๆได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีงามอย่างที่เราได้ไปสัมผัสมา เพราะดาวเคราะห์ใบนี้เป็นของเรา มากระโดดโลดเที่ยวไปด้วยกันกับ hoparound.co นะครับ
Comments