AMANPURI จิตวิญญาณแห่งความลักชูรี่ ณ สถานที่แห่งความสงบสุข
“Welcome to Paradise!” ไม่ใช่คำพูดของพนักงานหรอกนะครับ แต่มาจากแขกต่างชาติที่บังเอิญเดินผ่านมาตอนที่เราเพิ่งมาถึงสวรรค์บนดินที่มีอายุกว่า 30 ปีแห่งนี้ แม้ว่าจะเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่คลื่นพลังพิเศษบางอย่างของ อมันปุรีก็ส่งเข้ามากระทบให้หัวใจเราพองโตได้แบบไม่พลาดเป้าเลยสักครั้ง คราวนี้เราจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ 2 คืน 3 วัน และตั้งใจว่าจะจัดสรรเวลาทำกิจกรรมในมุมต่างๆของรีสอร์ทให้มากที่สุด จะได้เก็บภาพมาฝากได้ครบ แต่แน่นอนว่าเราทำได้ “เกือบ”สำเร็จเลยนะครับ :D
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา ขออนุญาตแจ้งข่าวดีกันก่อนเลยว่า hoparound.co มีดีลลับร่วมกับ Amanpuri ในแคมเปญ Closer to Home ซึ่งพิเศษทั้งในเรื่องของเรทค่าห้องและสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกหลายรายการเลย คลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ
Amanpuri Phuket Review รีวิวอมันปุรี ภูเก็ต Aman
The Arrival
ที่สนามบินภูเก็ต หลังจากที่เราได้สัมภาระครบเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกมาพบกับพี่คนขับรถที่ชูป้าย AMANPURI รอเราอยู่ รถ BMW ที่มารับเรานั้นกว้างขวาง มีน้ำดื่ม ขนม และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แม้แต่สายชาร์จมือถือก็มีเตรียมให้เช่นกัน พี่คนขับรถแจ้งเราอย่างสุภาพว่าจะใช้เวลาประมาณ 40 นาทีในการเดินทางถึงโรงแรม แต่ความรู้สึกของเราเหมือนเร็วกว่านั้นมากเมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนส่วนตัวที่ไร้ป้ายชื่อรีสอร์ทใดๆ ไม้กั้นที่ป้อมยามยกขึ้นเปิดทางให้เราเข้าสู่ความร่มรื่นของแมกไม้ที่ขนาบสองข้างทาง บอกให้เรารู้ว่าเรากำลังเข้าสู่อีกเขตแดนหนึ่งที่ถูกสงวนรักษาไว้เป็นอย่างดี
เส้นทางที่ขึ้นๆลงๆแม้ไม่ได้ชันมาก แต่ก็ทำให้เรารับรู้ถึงสภาพภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา เพราะอมันปุรีตั้งอยู่บนเนินแหลมส่วนตัวทางทิศตะวันตกของเกาะภูเก็ต ศาลาเรือนไทยอยุธยาหลังคาสีเทาสะอาดตาเริ่มปรากฏให้เห็น และเมื่อรถจอดลงตรงจุดเทียบรถของล็อบบี้ เสียงฆ้องก็ดังกังวาลขึ้นพร้อมกับการยกมือไหว้อันพร้อมเพรียงกันของทีมต้อนรับที่มายืนเรียงหน้ากระดานรอการมาถึงของเรา เป็นการต้อนรับที่เปี่ยมไปด้วยความใส่ใจจนเรารู้สึกเหมือนได้กลับมายังบ้านอีกหลังของเรา แคมเปญ Closer to Home คงมีที่มาจากความรู้สึกนี้นี่เอง
ทันทีที่เราลงจากรถ พนักงาน (ซึ่งจำชื่อพวกเราได้!) ก็นำเอาพวงมาลัยดอกไม้สดสีขาวมาคล้องคอต้อนรับ พร้อมกับเสนอผ้าเย็นกลิ่นมะลิหอมสดชื่นให้เราได้เช็ดเหงื่อไคล ยิ่งเมื่อได้ดื่ม Welcome Drink เย็นๆก็ยิ่งทำให้เรากระชุ่มกระช่วยขึ้นมาทันที แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้กลับบ้านจริงๆเท่ากับบทสนทนาที่สุภาพและคุ้นเคยดุจมิตรที่รู้จักกันมานาน
เพื่อความผ่อนคลายสูงสุดของแขกที่เข้าพัก Amanpuri จะไม่ทำการเช็คอินกันที่ล็อบบี้ แต่พนักงานต้อนรับจะพาเราไปส่งถึงเรือนพัก เพื่อแนะนำการใช้อุปกรณ์ในทุกๆจุดและช่วยกรอกเอกสารเช็คอินกันในห้องของเราเลย
Overview
Amanpuri แปลว่า A Place Of Peace (สถานที่แห่งความสงบ) มีเนื้อที่กว่า 236 ไร่บนเนินแหลมส่วนตัวที่เต็มไปด้วยต้นมะพร้าวสูงชะลูดตัดกันกับสีฟ้าไล่เฉดของทะเลอันดามัน แหลมนี้อยู่ระหว่างหาดสุรินทร์และหาดบางเทา โดยจุดที่ Amanpuri ตั้งอยู่นั้นมีหาดพันทรีซึ่งมีลักษณะเป็นหาดปิดที่สวยมาก จึงกลายเป็นหาดส่วนตัวสำหรับแขกของ Amanpuri และ The Surin Phuket ที่อยู่ติดกันไปโดยปริยาย
จาก Landscape ที่เลอค่าอยู่แล้วนั้น เมื่อได้รับการดูแลงานสถาปัตยกรรมทั้งหมดโดยคุณ Ed Tuttle ปรมาจารย์ด้านสถาปัตย์ระดับโลกที่เพิ่งล่วงลับไปเมื่อปี 2020 จึงยิ่งทำให้ Amanpuri นั้นเป็นดั่งสรวงสวรรค์ที่มนุษย์สร้างขึ้นดีๆนี่เอง โดยตัวอาคารทั้งหมดในรีสอร์ทคุณ Tuttle ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรือนไทยทรงอยุธยาแต่นำมาปรับแต่งเส้นสายและสีสันให้เกลี้ยงเกลาและรองรับประโยชน์ใช้สอยที่ทันสมัยมากขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าเรือนไทยสไตล์อยุธยาจะทั้งโดดเด่นและกลมกล่อมไปกับบริบททะเลอันดามันและทิวมะพร้าวได้ราวกับถูกร่ายมนตร์
พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งเป็น 3 โซนหลักๆครับ โซนแรกเป็นโซนรีสอร์ท (68 ไร่) ที่ไม่ได้มาเป็นห้อง แต่มาเป็นเรือนพักทรงไทยอยุธยาแยกหลังกันทั้งหมด 40 หลัง ซึ่งที่นี่จะเรียกว่า Pavilion (พาวิลเลี่ยน) มีหลายขนาด หลายวิว หลายราคาเลือกกันได้ตามสะดวกเลยครับ สอบถามได้ที่แผนก Reservation โดยตรงนะครับ
โซนต่อมาเป็นโซน Holistic Wellness Center (17 ไร่) ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมด้วยทีมงานมืออาชีพในแต่ละด้าน พร้อมอุปกรณ์ที่ทันสมัยครบครัน มีหลายโปรแกรมให้เลือกเข้าร่วมตั้งแต่นวดผ่อนคลาย ลดน้ำหนัก โยคะ ฝึกสมาธิ ฟื้นฟูร่างกาย บำบัดด้วยน้ำ ไปจนถึงการเสริมสร้างความฟิตตามโจทย์ของแต่ละคน
และโซนสุดท้ายก็คือโซน Private Villas มีทั้งสิ้น 44 หลังซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ที่สุดกว่า 150 ไร่ เดาได้ไม่ยากว่าโซนนี้เป็นโซนที่ทั้ง Exclusive ที่สุดและ Exquisite ที่สุดของ Amanpuri แต่ละหลังนั้นมีเจ้าของที่ซื้อกรรมสิทธิ์ขาดไป แต่ยังคงให้ทางทีม Amanpuri บริหารจัดการและปล่อยเช่าให้อยู่ เดี๋ยวในโพสต์นี้เราจะพาไปเยี่ยมชม Villa บางหลังกันด้วย และถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจจะเช่าวิลล่าก็สอบถามทาง Reservation ได้เช่นกันครับ
Our Pavilion
ตัดกลับมาที่เรือนพักของเรากันดีกว่า คราวนี้เราพักในโซนรีสอร์ทครับ Pavilion ของเราหมายเลข 906 เป็น Garden Pavilion ขนาด 1 ห้องนอนที่ไม่มีสระส่วนตัว แต่มีศาลานั่งเล่นให้ 1 หลังใหญ่ และเอาเข้าจริงๆก็เห็นวิวทะเลอยู่บ้างนะครับ สวยหรูอยู่เพลินมาก และถ้าตารางของเราไม่แน่นไปด้วยโปรแกรมสำรวจซอกมุมต่างๆของรีสอร์ทแล้ว เราก็ไม่ติดเลยที่จะพักผ่อนยาวๆอยู่ในเรือนพักของเราตลอดวัน
พนักงานต้อนรับพาเราเดินไปตามเส้นทางที่ลัดเลาะบนเนินเขาใต้เงาต้นมะพร้าวพอให้ได้ออกกำลังเล็กน้อย ต้นไม้เขียวขจีนานาพันธ์ุถูกจัดวางให้บังสายตาเพื่อความเป็นส่วนตัวของ Pavilion แต่ละหลังได้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ด้านนอกของ Pavilion ทุกหลังนั้นมีเรือนนั่งเล่นแยกออกมาอีก 1 หลัง โดยยกหลังคาสูงรับลมธรรมชาติและมีพัดลมเพดานเผื่อไว้ให้ด้วย Pavilion ของเราก็เช่นกันครับ
ภายใน Pavilion นั้นแบ่งเป็น 2 โซนหลักๆ คือห้องนอนกับห้องน้ำ เราไปสำรวจกันทีละโซนนะครับ เปิดประตูปุ๊บก็เจอห้องนอนก่อนเลย ภายในตกแต่งด้วยไม้เนื้อแข็งโทนส้มอมแดง (ตระกูลไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้แดง) สลับกับผนังขาวและกระจกเงาซึ่งเป็นองค์ประกอบที่คุณ Ed Tuttle ชอบนำมาใช้เป็นอย่างมาก อารมณ์ภายในนั้นสงบขลังเหมือนบ้านผู้ดีเก่าที่ทั้งอบอุ่นและมีรสนิยม
ที่มุมห้องมีผลไม้สด และลูกชุบในตะกร้าเล็กๆ เป็น Welcome Snacks พร้อมกับโน้ตสั้นๆอธิบายว่าลูกชุบคืออะไรในภาษาอังกฤษสำหรับลูกค้าต่างชาติ รวม Welcome Message ที่เขียนด้วยลายมือและลงชื่อคุณ Gearoid Lyons ผู้จัดการรีสอร์ท
อีกมุมหนึ่งของห้องมี Surprise พิเศษสำหรับเราเป็น Sparkling Wine แบรนด์ Ferrari Trento ที่ผลิตให้ Aman โดยเฉพาะ ต้องบอกว่าสิ่งนี้เป็นของขวัญ Extra ที่ไม่ได้อยู่ในแพ็คเกจห้องปกติ ซึ่งแขกแต่ละคนในแต่ละครั้งที่เข้าพักก็อาจจะได้รับหรือไม่ได้รับ และสิ่งของก็อาจจะแตกต่างกันไป นับเป็นเสน่ห์เล็กๆที่ทาง Aman ตั้งใจสร้างความแตกต่างให้กับแขก แต่สิ่งที่เพื่อนๆชาว #hopster จะได้รับแน่นอนหากใช้โค้ด Hop Around จองห้องพักก็คือ Cocktail 2 แก้ว และเรทห้องพักที่พิเศษสุดครับ
ในตู้เย็นมินิบาร์ก็มีทั้งขนมขบเคี้ยว Soft Drinks รวมถึงชา (Dilmah) กาแฟ (ILLY) เราชอบ Exclusive Chocolate Bar ติดแบรนด์ Amanpuri เป็นพิเศษ เลยตั้งใจจะหยิบกลับมากินต่อที่บ้านมาเป็นที่ระลึกให้หายคิดถึงด้วย เพราะทั้งหมดทาง Housekeeping จะมาเติมให้ฟรีทุกวันเลย
แน่นอนว่าฟีเจอร์หลักของห้องนอนก็คือเตียงนอนนั่นเอง และเตียงที่ Amanpuri นั้นเราสามารถ Request ความนุ่มหรือความเฟิร์มได้ตามความพอใจ เพียงยกหูแจ้งพนักงานได้ง่ายๆเลยครับ
เห็นเป็นเรือนไทยดูขลังแบบนี้ แต่เทคโนโลยีภายในห้องมีการอัพเดทตลอดนะครับ เพราะทุกปีๆละ 2 เดือนรีสอร์ททั้งหมดจะปิดรับลูกค้าเพื่อซ่อมบำรุงปรับปรุงสถานที่ขนานใหญ่ เราประทับใจระบบไอแพดที่ใช้ในการควบคุมไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ ทีวี รวมไปถึงสามารถเข้าถึงเมนูอาหาร และข้อมูลกิจกรรมทั้งหมดของรีสอร์ทได้แบบสะดวกมากครับ ช่อง USB ก็มีให้หลายจุด รวมถึงที่ซ่อนอยู่อย่างแนบเนียนตรงฐานชาร์จโทรศัพท์ด้วย ส่วนทีวีนั้นจะถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนหลังประตูเลื่อนที่กั้นโซนห้องน้ำ และนี่ก็เป็นอีกความตั้งใจของแบรนด์ Aman ทั่วโลกที่อยากจะให้แขกได้ออกไปสัมผัสกับธรรมชาติด้านนอกกันมากกว่าดูทีวีอยู่ในห้อง
โซนห้องน้ำนั้นมีพื้นที่ใหญ่ไม่แพ้ห้องนอนเลย ประกอบไปด้วยพื้นที่แต่งตัวและอ่างล้างหน้าให้กับแขก 2 คนแยกกันคนละฝั่ง มี Centerpiece เป็นกระถางกล้วยไม้สวยงาม ทางรีสอร์ทเตรียมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไว้ให้ครบครัน ตั้งแต่เสื้อคลุมอาบน้ำ กระเป๋า Beach Bag หมวกแก๊ปปักโลโก้ Amanpuri (อันนี้เอากลับบ้านได้นะครับ) รวมไปถึงรองเท้า Slippers สำหรับใช้ภายในห้อง และรองเท้าแตะหูหนีบสำหรับเดินไปทะเล
ด้านในก็สุดของโซนจะเป็นห้องฝักบัวอาบน้ำ อ่างอาบน้ำ และห้องส้วมอัตโนมัติ ส่วน Amenities ทั้งหมดเป็นแบรนด์ Amanpuri ซึ่งบรรจุในภาชนะที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้เพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมครับ
Minimal Seasoning, Maximal Flavors At Nama
เมื่อเราสะกดคำว่า Aman แบบย้อนกลับก็จะได้คำว่า Nama ซึ่งแปลว่า ความเป็นธรรมชาติหรือความดิบสด (แหม ช่างลงตัวอะไรปานนั้น) Nama เป็นแบรนด์ห้องอาหารญี่ปุ่นซิกเนเจอร์ของเครือ Aman เราจึงสามารถพบกับร้าน Nama ได้ที่รีสอร์ท Aman หลายแห่งทั่วโลก สำหรับที่ Amanpuri นั้น Nama จะเปิดให้บริการเพียง 6 เดือนในแต่ละปีเท่านั้น (1 พ.ย.-31 เม.ย.) ซึ่งเราก็โชคดีมากที่ได้มาที่นี่ช่วงนี้พอดี และนี่ก็น่าจะเป็นประสบการณ์การรับประทานอาหารญี่ปุ่นริมทะเลอันดามันครั้งแรกของเราเลยครับ
อาหารของ Nama เน้นวัตถุดิบที่นำเข้าจากญี่ปุ่นโดยตรง โดยเชฟจะให้ความสำคัญกับความสด และการดึงเอารสธรรมชาติที่ดีงามของวัตถุดิบแต่ละอย่างออกมาให้ได้มากที่สุด แม้จะปรุงน้อย แต่ความพิถีพิถันนั้นเข้มข้นมาก เราแอบเห็นเชฟบรรจงล้างและเช็ดผักสลัดทีละใบ เพื่อนๆน่าจะจินตนาการถึงความใส่ใจได้ไม่ยากใช่ไหมครับ
ก่อนจะไปถึงอาหาร เราแว่บไปเห็นเมนูสาเกแบรนด์ Aman เลยลองสอบถามพนักงานดู ได้ความว่าเป็นสาเกที่ Aman สั่งผลิตพิเศษโดยแบรนด์เก่าแก่อย่าง Masumi Sake ที่เมืองนากาโนะ โดยจะมีรสชาติกลมกล่อมดื่มง่ายเข้ากับอาหารได้ทุกอย่าง เราจึงจัดมา 1 ขวด และก็ไม่ผิดหวัง หอมและดื่มลื่นคอดีมากครับ
สำหรับอาหารเราพยายามสั่งให้หลากหลายเพื่อเก็บภาพความอร่อยมาฝากกันครับ ตั้งแต่ สลัดปลาดิบ (Kaizen Salad) ซาชิมิรวม (Sashimi Moriawase) ซึ่งเชฟจะเป็นคนเลือกว่าในแต่ละวันปลาอะไรสดที่สุดก็จะจัดมากให้ครับ Amanpuri Roll ด้านในเป็นปลาโทโร่และแอมเบอร์แจ็คพร้อมกับไข่แซลมอน อาโวคาโด้และผักอื่นๆ เทมปุระรวม (Tempura Moriawase) ไปจนถึงเนื้อวากิวเกรดพรีเมี่ยม A5 ย่างถ่าน (Tokusen Wagyu) ก่อนจะตบท้ายด้วย Matcha Tiramisu แนะนำให้ค่อยๆตั้งใจทานทุกๆคำ เพื่อให้ต่อมรับรสได้สัมผัสกับความอร่อยสดจากธรรมชาติที่ผ่านการประคบประหงมมาอย่างดี
อิ่มท้องเรียบร้อยแล้ว เราพาเพื่อนๆเข้าไปชมโซน Private Villas ที่ Exclusive ที่สุดของ Amanpuri กันบ้างดีกว่า ต้องบอกว่าพิเศษจริงๆครับ เพราะโซนนี้ไม่ได้เปิดให้คนนอกเข้ามาได้ง่ายๆ และวันนี้เพื่อนๆจะได้ชมกันถึง 2 วิลล่า คือหมายเลข 23 และ 27 (จากทั้งหมด 44 วิลล่า) สำหรับความเลิศหรูของแต่ละวิลล่า เราขออนุญาตให้ภาพดำเนินเรื่องแทนนะครับ
ในภาพรวม แต่ละ Villa นั้นมีขนาดใหญ่ตั้งแต่ 3-9 ห้องนอน และเมื่อได้เข้ามาจริงๆแล้วต้องบอกว่าใหญ่กว่าที่เราจินตนาการไว้ค่อนข้างเยอะเลยครับ เพราะ 1 Villa = 1 Complex ส่วนตัวที่ประกอบไปด้วยอาคารย่อยๆอีกหลายหลัง ลดหลั่นกันลงมาตามแนวเชิงเขา 2-3 ระดับ พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่อาจจะมีทั้งสระว่ายน้ำ ลานอเนกประสงค์ ห้องรับประทานอาหาร หรือศาลาพักผ่อน ซึ่งแต่ละ Villa ก็มีความดีงามที่ไม่ซ้ำแบบกันเลย
ไม่น่าเชื่อนะครับว่าโซน Private Villa นี้จะสามารถทวีกำลังความดีงามในทุกๆด้านขึ้นไปได้อีกหลายเท่าจากส่วนของรีสอร์ทด้านนอก และจากใจจริงก็คือหากเพื่อนๆมีกำลังทรัพย์และมากันหลายคน เราคิดว่าเช่าวิลล่าไปเลยคุ้มมากๆครับ เพราะจะได้รับประสบการณ์เหนือระดับชัดเจนทั้งวิวธรรมชาติที่สวยจับใจ พื้นที่ที่กว้างขวางพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันยิ่งกว่าที่บ้านของเราเองซะอีก การบริการแบบเฉพาะตัวซึ่งมีทั้ง Butler และ Chef ประจำที่วิลล่าให้เลย และที่สำคัญก็คือความเป็นส่วนตัวขั้นสุด ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมแขกระดับ VVIP ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ไปจนถึงคนดังในวงการบันเทิงของโลกจึงต่างตกหลุมรัก Private Villa ที่ Amanpuri กันถ้วนหน้า
Signature Thai Afternoon Tea
ช่วงน้ำชายามบ่ายที่ Amanpuri นั้นแตกต่างจาก Afternoon Tea ขนบฝรั่งอย่างที่เราเห็นในโรงแรมทั่วๆไป เพราะที่นี่เน้นประสบการณ์ท้องที่แบบไทยๆ จึงเสิร์ฟเป็นขนมไทยและผลไม้สด โดยเฉพาะขนมครกที่ทำสดๆของอมันนั้นเป็นที่เลื่องชื่อฤาชาเป็นอย่างมากครับ เราชอบความหวานน้อยมากๆของขนมครก และถ้าเราอยากมีส่วนร่วมมากขึ้น ก็สามารถขอลองหยอดลองแคะขนมครกเองได้ด้วยนะครับ
Afternoon Tea ของที่นี่นั้นจัดขึ้นริมสระน้ำสีดำของรีสอร์ท จึงมีอารมณ์ของความเป็น Pool Party ผสมอยู่ด้วย ทำให้บรรยากาศช่างดูมีชีวิตชีวาดีเหลือเกิน อย่าว่าแต่แขกต่างชาติที่ดูสนุกและตื่นเต้นกันมากเป็นพิเศษ คนไทยอย่างเราเองก็พลอยตื่นตาตื่นใจไปด้วยไม่แพ้กัน ส่วนเครื่องดื่มก็มีทั้งชาร้อนหลายชนิดและเครื่องดื่มสมุนไพรเย็นๆที่ช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดีครับ
Pansea Beach
ก่อนจะไปเรื่องความงดงามของหาด ขอนอกเรื่องนิดนึงครับ เราชอบชื่อหาดพันทรี (พัน-ซี) มากเลยครับ เพราะฟังดูสละสลวยทั้งในภาษาไทยอ่านง่ายในแบบสากล ยิ่งการสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า Pansea แล้ว ยิ่งมีความหมายที่ดีมากเพราะคำว่า Pan เป็น Prefix ที่แปลว่า All (ทั้งหมด) ส่วนคำว่า Sea ก็คือทะเล เลยมีความหมายว่า หาดแห่งทะเลทั้งหมด หรือหาดแห่งทุกทะเล ซึ่งฟังดูดี๊ดีเนอะ
หาดพันทรีอาจจะไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูนักในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะหาดแห่งนี้เป็นไอเท่มลับของเกาะภูเก็ตเลยก็ว่าได้ ด้วยโขดหินทรงสวยที่กั้นทั้งฝั่งซ้ายและขวาของหาด ทำให้เป็นหาดปิดโดยธรรมชาติ ประกอบกับการที่มีเพียง 2 รีสอร์ทบนหาดนี้เท่านั้น คือ Amanpuri และ The Surin Phuket (ซึ่งเป็นรีสอร์ทในเครือเดียวกัน) จึงทำให้หาดพันทรีกลายเป็นหาดส่วนตัวไปโดยปริยาย แต่สิ่งที่ทำให้หาดส่วนตัวแห่งนี้กลายเป็นสวรรค์บนดินของแขกผู้มาเยือนก็คือความลงตัวของทุก Element ไม่ว่าจะเป็นน้ำสีฟ้าใสไล่โทนอ่อน-เข้มพร้อมอุณหภูมิที่กำลังสบายผิว ทรายที่ขาวละเอียดนุ่มเท้า ไปจนถึงความสมบูรณ์ใต้ทะเลที่มีทั้งฝูงปลาและแนวประการังให้เห็นได้ง่ายๆ
วันนี้เราพาเพื่อนๆมาทำความรู้จักและ Appreciate หาดกันเบื้องต้นก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะมาลงไปเล่นกิจกรรมทางน้ำกันนะครับ
Sunset Cocktail At The Lounge
การที่ Amanpuri ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของเกาะภูเก็ตนั้นทำให้ภาพ Sunset กลายเป็นของขวัญอันงดงามที่แขกของรีสอร์ทจะได้รับทุกยามเย็น แปรเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาและสภาพอากาศ หลายเฉดสีทั้งฟ้า ส้ม ชมพู ม่วง จะผลัดเวรกันมาแต่งแต้มท้องฟ้าทั้งผืนให้กลายเป็นดั่งงานจิตรกรรมระดับมาสเตอร์พีซ ก่อนจะฉาบเบาๆด้วยสีทองอีกชั้นด้วยแสง Finale ของดวงอาทิตย์ และสำหรับเราแล้วช่วงตะวันลับขอบฟ้าจึงเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่จะมานั่งจิบเครื่องดื่มแก้วโปรดที่ The Lounge พร้อมซึมซับเอาพลังดีๆเข้าสู่จิตใจก่อนจะมูฟไปดินเนอร์กันต่อไม่ว่าจะเป็นอาหารอิตาเลียนระดับ World Class ที่ Arva หรืออาหารไทยชั้นครูที่ Bua Bok ซึ่งเย็นนี้เราจะพาเพื่อนๆไปชิมอาหารไทยกันก่อนนะครับ
Authentic Southern Thai Dinner at Buabok
“บัวบก” คือห้องอาหารไทยอันเลื่องชื่อแห่ง Amanpuri นำเสนอรสชาติท้องถิ่นที่ถึงเครื่อง ละเมียดละไมทั้งในการคัดสรรวัตถุดิบและการปรุง เราเริ่มมื้อกันด้วยถุงทองคำเล็กๆเป็นดัง Amuse Bouche เวอร์ชั่นไทย เราสั่ง “เบือทอด” มาเป็นคอร์สเรียกน้ำย่อยตำรับภูเก็ต ซึ่งก็คือกุ้งและผักชุบแป้งผสมครื่องแกงทอด ตามด้วยยำมะม่วงปูนิ่มระนองรสจัดจ้านกลมกล่อม จานต่อมาเป็นเมนูที่เราสั่งแทบทุกครั้งที่มาก็คือแกงปูเส้นหมี่ เนื้อปูสดหวานอร่อย และน้ำแกงอร่อยเข้มข้นเหมือนเดิมครับ มีอาหารทะเลหลายจานแล้ว จานสุดท้ายเราจึงเลือกเนื้อวากิวไทยย่างบนเตาถ่าน จิ้มแจ่วรสแซ่บ เมนูของบัวบกนั้นหลากหลายครบทุกหมวดตั้งแต่ซุป สลัด จานเส้น แกง ไปจนถึงน้ำพริก ทำให้เราต้องใช้เวลาตัดสินใจอยู่พักใหญ่ ใครสนใจดูเมนูเต็มได้ที่นี่นะครับ www.aman.com
Turn Down #1
เราค่อยๆอุ้มพุงกลมๆเดินกลับมาที่ห้อง ก็พบกับห้องที่ได้รับการ Turn Down พร้อมสรรพ ผ้าห่มถูกพับมุมแง้มเปิดให้เราเข้าไปซุกตัวได้โดยง่าย และที่ปลายเตียงก็มีเทียนในกะลามะพร้าววางไว้เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆแทนการส่งยิ้มละไมให้แขกก่อนนอน ขยับมาที่โต๊ะมินิบาร์ก็มีอีก 1 เซอร์ไพร้ซ์เป็น Negroni ค็อกเทลคลาสสิคตำรับอิตาเลี่ยนเพื่อส่งเราเข้านอน โดยทางรีสอร์ทผสมและบรรจุขวดมาให้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับผิวส้มสำหรับ Garnish ด้วย เพียงเราตักน้ำแข็งและรินลงแก้วก็จิบเพลินๆได้ทันที ขอบคุณสำหรับความใส่ใจในทุกๆบริการจริงๆครับ
Bath Time!
ตอนแรกเราก็กะจะอาบน้ำฝักบัวง่ายๆกัน แต่พอเดินผ่านอ่างอาบน้ำก็อดไม่ได้ที่จะแช่น้ำตีฟองนุ่มๆซักหน่อย ยิ่งถ้าได้แช่ไปจิบ Negroni ไปด้วยก็คงดีไม่น้อยเลย คืนนี้ทั้งสบายตัวและสบายใจ หลับปุ๋ยแน่นอนครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ
Morning Sweat
เราตั้งใจจะตื่นกันเช้าหน่อยเพื่อมาออกกำลังกายที่ยิมของรีสอร์ท ว่ากันว่ายิมที่นี่ยอดเยี่ยมทั้งเรื่องความครบครันทันสมัยของอุปกรณ์ และวิวทะเลสีครามแบบพาโนรามาเลย แล้วก็จริงทุกประการ ยิมที่นี่ดีมากจริงๆครับ
ปกติแล้วคุณเฟิร์สเป็นคนขยันมากในเรื่องการออกกำลังกาย ส่วนเรา (เค้ก) ยอมรับเลยว่าขี้เกียจมากครับ แต่ยากที่สุดก็คือตอนเริ่มต้น พอเครื่องติดแล้วก็หยุดไม่ค่อยได้เหมือนกัน เราสองคนมาถึงเป็นคนแรกจึงเหมือนกับได้ยิมทั้งหมดเป็นของเราเอง ยกเว้นมีเจ้าหน้าที่ที่ดูแลยิมอีก 1 คนเท่านั้น
ตัวยิมมีทั้งหมด 2 ชั้นนะครับ ชั้นบนมีทั้งโซนเวทเทรนนิ่ง และโซนเครื่องออกกำลังไฟฟ้าซึ่งมีอุปกรณ์แทบทุกอย่างที่เราจะนึกออกในสภาพที่พร้อมใช้งานทั้งหมด ที่เหนือกว่ายิมที่อื่นก็ตรงที่มีน้ำเปล่าและผ้าขนหนูเตรียมไว้ให้ประจำทุกเครื่องเลย ส่วนชั้นล่างจะเป็นโซนต่อยมวย ห้องฝึกพีลาทีส และห้องล็อคเกอร์แยกชาย-หญิงครับ
เราสามารถที่จะจ้าง Personal Trainer เพื่อดูแลเราโดยเฉพาะแบบที่ดารา Hollywood ที่มาพักที่นี่มักจะทำกันก็ได้นะครับ ;-)
Breakfast At Buabok
ออกกำลังกันจนเพลิน ดูนาฬิกาอีกทีก็เกือบหมดเวลาอาหารเช้าแล้ว เราจึงตัดสินใจแบกร่างพร้อมเหงื่อโทรมกายมุ่งหน้าไปที่ห้องอาหาร Buabok (ที่เราดินเนอร์กันไปเมื่อวาน) อีกครั้ง แต่คราวนี้เรามาเพื่อ Breakfast แบบอาลาการ์ทที่สั่งได้ไม่อั้น ระหว่างที่สายตาสแกนเมนูทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เราก็เริ่มจดออร์เดอร์สิ่งที่อยากกินไว้ในใจ ปัญหาเดียวคือเราอยากลองหลายเมนูจนเราเองก็จำไม่หมด เราจึงค่อยๆเรียงลำดับใหม่ เริ่มจากเมนูที่เบาๆ พวกน้ำผักผลไม้ ไปจนถึงของ Healthy อย่าง Acai Bowl, Chia Pudding และ Vegan Scramble Toast เพื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายได้ดูดซึมของดีเข้าไปก่อนที่จะไปลุยของหนักๆ ตั้งแต่เมนูพิเศษประจำวันอย่างข้าวมันไก่ โจ้กปลา ไข่ดาว เบค่อน ไข่เจียวปู (ใช่ครับมีให้เลือกในรายการอาหารเช้าด้วย) ไปจนถึงหมูปิ้งและครัวซองต์ สุดท้ายทุกอย่างก็รวมกันเป็นมื้อเช้าที่หนักมากกกกกกกกอยู่ดี :D เริ่มแล้วหยุดยากทุกทีเลย
Taking A Stroll Around The Property
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวจนกลายเป็นลุคใหม่แล้ว เราก็เลยถือโอกาสเดินเล่นปล่อยใจฝันรอบๆรีสอร์ทเพื่อช่วยกระเพาะย่อยอาหารไปในตัว ใต้ร่มเงาต้นมะพร้าวที่สูงชะลูดนั้นทำให้อากาศไม่ร้อนอย่างที่คิด ยิ่งเราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรับรู้และเข้าใจความเป็น A Place Of Peace แห่งนี้ได้ลึกซึ่งยิ่งขึ้น
เรารู้สึกว่าที่นี่เป็นความสมดุลพอดีระหว่างความดิบของธรรมชาติอันงดงามกับความดูแลเอาใจใส่อย่างมีระบบของมนุษย์ เราเห็นสนามหญ้าที่ได้รับการตัดแต่งจนเรียบร้อยสะอาดตา ในขณะเดียวกันก็เห็นนกกระยางบินลงมาเดินเล่นอยู่ในสนามนั้น เราเห็นทิวต้นมะพร้าวสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วน ตัดกับท้องฟ้าสีครามและปุยเมฆสีขาว ในขณะเดียวกันหลังคาเรือนไทยสีเทาพร้อมปันลมไม้สีน้ำตาลก็เสียดขึ้นแทรกอย่างถูกจังหวะและให้ความกลมกล่อมกับสายตาอย่างยิ่ง
Shopping At The Retail Pavilion
อาจารย์สถาปนิกชาวญี่ปุ่นชื่อก้องโลกอย่างคุณ Kengo Kuma นั้นได้รับมอบหมายจากทาง Aman ให้ช่วยดูแลงานออกแบบ Retail Pavilion ที่เพิ่งเปิดให้บริการในปี 2020 ที่ผ่านมานี่เอง
ที่นี่เป็นเรือนขายสินค้าแบรนด์ Aman ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายทั้งในแบบ Leisure Wear และ Active Wear ไปจนถึงเครื่องหอมและเครื่องประทินผิว นอกจากนี้ยังมีงานฝีมือที่ทั้ง Unique และ Exotic ซึ่งทีมคัดสรรของ Aman ได้ไปเสาะแสวงหามาให้แขกได้เลือกซื้ออีกด้วย สินค้าด้านใน Retail Pavilion จึงมีความพิเศษ และหาซื้อที่อื่นได้ยาก เราเองก็อดไม่ได้ที่จะเลือก Shopping ของติดไม้ติดมือมาเล็กๆน้อยๆด้วยเช่นกัน
Casual Lunch At Beach Terrace
ขอเข้าประเด็นก่อนเลยครับว่า Amanpuri Wrap เป็นเมนูที่เราประทับใจมากในมื้อนี้ ถ้าได้มาที่นี่ อย่าลืมสั่งกันนะครับ ด้านในเป็นเหมือนทอดมันที่ไม่ใส่พริกแกงทำจากเนื้อกุ้งลายเสือกับเนื้อปลากะพงขาวเอามายีให้เป็นเนื้อเนียนผสมกัน ก่อนจะนำไปคลุกเกล็ดขนมปังทอด แล้วค่อยเอามาห่อกับส่วนผสมอื่นๆด้วยแป้ง Tortilla
ที่จริงเมนูของ Beach Terrace มีให้เลือกหลากหลายมากครับเน้นเสิร์ฟอาหารที่เราคุ้นเคยทั้งไทยและต่างชาติ อร่อยง่ายๆ แต่มีการดัดบิด Twist ให้พิเศษมากขึ้น แต่เราผู้ที่กระเพาะยังไม่ทันว่างจากมื้อเช้าเลยเลือกสั่งอะไรที่ไม่หนักจนเกินไป จึงมาลงเอยที่ Wrap จานนี้ แกล้มกับ Brittany Sea Bass Tartare เสิร์ฟพร้อมซอส Citrus & Mint Sabayon และกะเพราเนื้อราดข้าวไข่ดาวกรอบๆ (แต่ไม่สุก) อิ่มอร่อยแบบ Comfort Food กันไปอีกมื้อครับ
Spa & Hydro Facilities
แค่ได้ยินคำว่า “สปา” ก็รู้สึกผ่อนคลายแล้ว และแน่นอนว่าวันนี้เราไม่ได้มานวดกันอย่างเดียว แต่เราได้จอง Hydro Facilities เอาไว้ 1 ชั่วโมงเต็มๆเพื่อช่วงเวลาส่วนตัวที่จะมีเฉพาะเราเท่านั้น ยอมใจกับการบริการแบบ Exclusive สุดๆของ Amanpuri จริงๆครับ
Hydro Facilities นั้นก็คืออุปกรณ์บำบัดด้วยน้ำในรูปแบบและอุณหภูมิต่างๆ ตั้งแต่การแช่จากุซซี่ร้อนสลับกับการการจุ่มน้ำเย็นจัด เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและระบบอื่นๆในร่างกายอีกมากมาย ไปจนถึงการอบไอน้ำ อบซาวน่าทั้งแบบดั้งเดิมและแบบรังสี Infrared
หลังจาก 1 ชม.เต็มๆกับการใช้งาน Hydro Facilities จนเราสบายตัวมากๆแล้ว เราก็พร้อมที่จะขึ้นเตียงให้พี่ๆ Therapist กดรีดกล้ามเนื้อกันต่อทันที ที่จริง Amanpuri มีเมนูสปาที่ตอบแทบจะทุกโจทย์เลย เราทั้ง 2 จึงเลือกนวดคนละแบบกัน คุณเฟิร์สเลือก Holistic Massage ที่ช่วยผ่อนคลายแบบองค์รวม และเน้นจุดที่มีปัญหาให้ด้วย ส่วนเรา (เค้ก) เลือกนวด Integrated Deep Tissue ซึ่งจะหนักกว่าเพราะเน้นการรีดแนวกล้ามเนื้อให้ถึงมัดลึก มีการผสมเทคนิคการนวดแผนไทยเข้าไปด้วยซึ่งเหมาะกับคนที่รู้สึกตึงเป็นพิเศษอย่างเรามากๆครับ
การตกแต่งในห้องนวดนั้นสวยสง่าและสุขสงบตามสไตล์ของ Amanpuri ทุกกระเบียดนิ้ว ดนตรีที่เปิดคลอเบาๆนั้นให้ชวนให้เราผ่อนคลายได้ดีเยี่ยมจริงๆ อยากจะ Shazam เก็บไว้เปิดที่ห้องตอนนอนก็ดันลืมไปเสียสนิทเลย
ทันทีที่พี่ Therapist เริ่มนวด เราก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจในควบคุมความเนิบ น้ำหนัก และการเคลื่อนมือลงบนร่างกายของเราในแต่ละจุด เจตจำนงของการดีไซน์การกดและรีดในแต่ละครั้งนั้นปรากฏเด่นชัดมากครับ แต่เราก็มีสติอยู่ไม่ได้นานหรอกนะครับ เพราะเผลอแป๊บเดียวเราก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
Surf the water and dive down under.
เราใช้เวลาตลอดบ่ายกันที่สปา พอจบโปรแกรมนวดแดดก็เริ่มลดกำลังลงพอดี เราจึงต้องพยายามปรับโหมดอารมณ์ผ่อนคลายให้ไปสู่โหมดแอคทีฟกันอีกครั้ง เพราะเย็นนี้เราจะลงน้ำทะเลกันครับ และก็ไม่ได้ลงไปตัวเปล่านะครับ ที่ Amanpuri มีอุปกรณ์ทางน้ำให้แขกเล่นหลากหลายมาก ทั้งแบบ Manual ที่เราต้องออกแรงพายเองซึ่งสามารถใช้ได้ฟรี และแบบไฟฟ้าซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่ต้องบอกว่าคุ้มค่ามากครับเพราะเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ อุปกรณ์บางชิ้นนั้นเราแทบไม่เคยเห็นที่รีสอร์ทอื่นมาก่อนเลย เมื่อไปแอบถามก็ได้ข้อมูลมาว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าแปลกๆเหล่านั้นราคาหลายแสนต่อเครื่อง
และวันนี้เราก็จะไปทดลองเล่น 2 ตัวด้วยกันครับ คือ eFoil เป็นบอร์ดไฟฟ้าที่พาเราเหินเหนือน้ำได้โดยไม่ต้องง้อคลื่น และ Seabob เครื่องยนต์เจ็ทที่ช่วยพาเราพุ่งไปในน้ำได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นการว่ายแนวราบหรือดำดิ่งลงใต้น้ำ
เริ่มที่ eFoil กันก่อนก็แล้วกัน เจ้ากระดานโต้คลื่นไฟฟ้าที่ไม่ง้อคลื่นนี้ เราสามารถจะนั่งหรือจะยืนก็ได้ และมีรีโมทให้เราปรับความเร็วได้ตามต้องการ และหากชำนาญมากๆก็สามารถบินเหนือน้ำได้ด้วยนะครับ แต่สำหรับครั้งแรกนี้ของเรา แค่ยืนบนบอร์ดได้เราก็พอใจมากๆแล้ว พอคาดหวังต่ำเราก็มักจะมีเรื่องให้เราเซอร์ไพร้ส์ตัวเองได้เสมอและในครั้งแรกนี้ นอกจากเราจะยืนได้แล้ว เรายังตีวงเลี้ยวในท่ายืนได้ด้วย 55555 ภูมิใจมากครับ ต่อให้มันอาจจะเป็นแค่การฟลุ้คก็ตาม เรียกได้ว่าสำเร็จเกินคาดครับ
โต้คลื่นเหนือน้ำกันแล้ว ลงน้ำกันบ้างดีกว่า เราชอบชื่อ Seabob เป็นพิเศษเพราะฟังดูเหมือนชื่อตัวการ์ตูนน่ารัก เข้าถึงง่าย น้องเป็นเหมือนหัวมอเตอร์ไซค์ที่มีมือจับและปุ่มกดเร่งความเร็วได้ เราใช้เวลาทำความรู้จักกับน้องไม่นานก็เริ่มจับทางได้ ขั้นแรกเราต้องให้น้องพาเราพุ่งออกไปจากชายหาดซะก่อน และน้องก็แรงกว่าที่คิดครับ เป็นการเดินทางในน้ำที่สนุกมากทำให้เรารู้สึกราวกับเป็น Merman ที่ว่ายน้ำได้เร็วปรู๊ด เมื่อเข้าสู่ความลึกประมาณนึง เราจึงจะทดลองให้น้องพาดำลงไปใต้น้ำได้ ซึ่งสเต็ปนี้จะ Advanced กว่า เพราะต้องควบคุมลมหายใจดีๆ พร้อมกับต้องเคลียร์หูเป็นระยะๆ
แม้เราจะเคยดำ Scuba มาก่อน แต่คราวนี้ไม่เหมือนกันเลย จึงต้องฝึกหน้างานกันพักใหญ่ หากใครเคยดำน้ำแบบ Free Dive มาแล้วน่าจะใช้ Seabob ดำน้ำเป็นง่ายกว่ากันเยอะเลย แต่สุดท้ายเราก็ทำให้น้องพาเราลงใต้น้ำจนได้ครับ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่ไกลจากหาด ใต้น้ำจะมีฝูงปลาและปะการังเยอะขนาดนี้ พี่เจ้าหน้าที่ที่มาประกบสอนเราบอกว่าวันไหนน้ำใส (วันที่เราไปน้ำค่อนข้างขุ่นจากฝนที่ตกไปก่อนหน้า) ยิ่งช่วงเช้าๆ ปลาจะเยอะกว่านี้มาก และแม้จะอยู่ใต้น้ำ Aman ก็ไม่หยุดซ่อนความประทับใจไว้ครับ เพราะที่พื้นทรายใต้ทะเลจะมีโลโก้ตัว A อยู่ด้วย เป็น Item ลับที่อยากให้เพื่อนๆไปลองดำหากันนะครับ
Amanpuri Sea Platform
อีกหนึ่ง Icon ของ Amanpuri ก็คือแพล็ตฟอร์มทรงกลมกลางทะเลที่ใครๆก็อยากจะมาถ่ายรูปกันโดยเฉพาะช่วงตะวันใกล้ตกดิน ข้างบนแพล็ตฟอร์มมีเตียงอาบแดดอยู่ 2 ตัว พร้อมกับน้ำดื่มและ Beach Towel เตรียมไว้ให้ แพล็ตฟอร์มนี้มาได้หลายวิธีไม่ว่าจะว่ายน้ำมา หรือใช้อุปกรณ์กีฬาทางน้ำของรีสอร์ทพายมาก็ได้ หรือถ้าไม่อยากออกแรงก็ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยออกเรือมาส่งก็ได้เช่นกัน แต่ต้องขึ้นอยู่กับจังหวะคลื่นลมในทะเลด้วยนะครับ
การเดินทางมายากนั้นมีข้อดีนะครับ เพราะทำให้คนมาน้อย และหากเราหาจังหวะดีๆ ก็อาจจะได้ทั้งแพล็ตฟอร์มเป็นของเราเองเลย จะกระโดดตู้มลงไปว่ายน้ำกับฝูงปลา หรือจะนอนอาบแดดชิลๆ หรือจะแค่ไปโพสท่าสวยๆถ่ายรูปอวดเพื่อนๆก็ทำได้เต็มที่เลย ถ้าไปดูตะวันตกดินก็อย่าลืมเผื่อเวลากลับด้วยนะคับ เดี๋ยวจะมืดซะก่อน
Italian Dinner At Arva
วันนี้เป็นวันที่แน่นไปด้วยกิจกรรมพิเศษ และดินเนอร์มื้อนี้ของเราก็พิเศษมากเช่นกัน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันใหม่ (อีกรอบ) เราก็เดินมารับประทานมื้อค่ำกันที่ Arva แบรนด์ร้านอาหารอิตาเลียนที่มีอยู่ใน Aman อีกหลายแห่งในโลก ไม่ว่าจะเป็น Aman Venice, Aman Tokyo, Aman Sveti Stefan (มอนเตเนโกร), และ Amanyangyun (เซี่ยงไฮ้)
Arva แปลว่า ดินแดนที่ถูกเพาะปลูก ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากขนบการเข้าครัวของชาวอิตาเลียนตอนใต้ที่จะไปเก็บเกี่ยวเอาพืชผลสดๆมาจากฟาร์มหรือป่าเขาไปจนถึงท้องทะเลในละแวกนั้น เพื่อมาปรุงแบบตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน จนกลายเป็นอาหารที่ช่วยเยียวยาจิดใจมื่อได้ลิ้มลอง
ระหว่างที่เรากำลังสำรวจเมนูกันอย่างขะมักเขม้น พนักงานชาวตุรกีจาก Amanruya ผู้ย้ายมาศึกษางานที่ Amanpuri ชั่วคราว ก็นำ Grissini และ Foccacia มาเสิร์ฟให้เรากินเล่นกันไปพลางๆ แต่เมื่อเราได้ลิ้มรสเนื้อนุ่มๆและกลิ่นหอมของขนมปัง Foccacia ก็ตกหลุมรักแบบ Love at first bite ทันที จนเผลอกินเกือบหมดก้อนเลย นอกจากนี้ยังมี Amuse-Bouche เป็น Tartare ปลาเนื้อขาวคำเล็กๆซึ่งอร่อยมากเช่นกัน
เราเริ่มสั่ง Antipasto มาคนละจาน เราเลือกเป็น Granchio Avocado E Lattuga (สลัดปูอาโวคาโด้) กับ Vitello Tonnato (เนื้อลูกวัวซูวีดสไลซ์บางๆราดด้วยซอสทูน่า) ซึ่งเราไม่เคยลองมาก่อนและเป็นจานแนะนำด้วย พนักงานบอกว่าถ้าใช้ Foccacia ปาดซอสทูน่าจะอร่อยมากๆ แต่เรากินขนมปังไปจนเกือบหมดก่อนหน้านี้แล้ว พนักงานจึงเอามาเติมให้ ซึ่งเราทั้งดีใจและรู้สึกผิดต่อพุงไปพร้อมๆกัน
จานหลักของเราเป็น Linguine Astice (เส้นลิงกวินี่ที่ทำจาก Durum Wheat สายพันธุ์เดี่ยวจากเมือง Puglia ผัดกับบลูล็อบสเตอร์จาก Brittany ฝรั่งเศสในซอสมะเขือเทศรสเผ็ดเล็กน้อย) และ Merluzza Ceci & Salsa Verde (ปลาคอดจาก Brittany นึ่งเสิร์ฟกับซอสเขียวที่ทำจากถั่วลูกไก่ พาร์สลีย์ แองโชวี่ส์และกระเทียม) รสชาติอร่อยง่ายๆไม่ซับซ้อน แต่อบอุ่นหัวใจครับ
คอร์สสุดท้ายคือเมนู Dolci ของหวานคลาสสิค เราเลือก 2 รสชาติที่คอนทราสต์กันครับ จานแรกคือ Tiramisu ของโปรดที่เราสั่งเวลาไปร้านอิตาเลียนทุกที่ ของที่ Arva นั้นหนักแน่นในรสชาติทว่าเบานุ่มในเนื้อสัมผัส จึงเพอร์เฟ็คท์มากๆเลย ส่วนอีกจานก็คือ Lemon Tart เสิร์ฟพร้อม Sorbet รสเปรี้ยวหวานสดชื่นตัดเลี่ยนได้ชะงัดมากๆ
และก็เช่นเคยครับ เราตบท้ายมื้อจริงๆกันด้วยชาร้อนๆ คุณเฟิร์สเลือกชาตะไคร้ ส่วนเราเลือก Peppermint Tea เช่นเคย ซึ่ง Amanpuri เสิร์ฟชามาพร้อมกับน้ำผึ้งป่าด้วย มื้อนี้อิ่มเอมเปรมปรีดิ์ทั้งพุงและหัวใจเลยครับผม
Library
ตอนแรกกะว่าจะเดินกลับห้องกันเลย แต่อีกใจก็อยากจะเดินย่อยซักหน่อย มีอีกจุดหนึ่งที่เรายังไม่ได้พาเพื่อนๆไปดูเลย นั่นก็คือห้องสมุด ที่แขกสามารถเข้ามาใช้พื้นที่อ่านหนังสือ นั่งพักผ่อน หรือจะนัดประชุมงานทั้งแบบ Online หรือ Offline ก็ได้ พื้นที่ภายในค่อนข้างกว้างขวางมากครับ แต่คนเข้ามาใช้ไม่เยอะ จึงมีมุมส่วนตัวให้จับจองได้สบายๆ ส่วนหนังสือที่มีอยู่ก็น่าสนใจเยอะแยะเลย ส่วนมากจะเน้นประเภทงานออกแบบ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม
Turn Down #2
เรือนพักหมายเลข 906 ที่รัก เรากลับมาแล้วววว โปรแกรมสำหรับวันนี้จบลงด้วยดี ถือว่าเป็นอีกวันที่ Productive สุดๆ ไม่น่าเชื่อว่าพรุ่งนี้ก็ถึงเวลาต้องเช็คเอาท์แล้ว ค่ำคืนนี้ห้องของเราได้รับการ Turn Down พร้อมนอนเช่นเคย แต่เซอร์ไพร้ส์วันนี้จัดเต็มกว่าเดิมไปอีก ทีม Housekeeping ได้ยกกระถางกล้วยไม้กลางห้องน้ำของเราออกไป แล้วแทนที่ด้วยกระถางใหม่ที่จัดแสดงด้วยกิ่งไม้ห้อยด้วยช็อคโกแลตโลโก้ Aman และแอลมอนด์
อีกหนึ่งความประทับใจที่เราลืมบอกไป ก็คือการที่พนักงานช่วยจัดเรียงของที่เราอาจจะวางระเกะระกะ ให้เป็นระเบียบสวยงาม แม้กระทั่งสายชาร์จโทรศัพท์ก็มีการจัดระเบียบและมัดด้วยถามมัดแบรนด์ Amanpuri ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหากเพื่อนๆขับรถมา ทางรีสอร์ทจะล้างรถให้เมื่อเช็คเอ้าท์ด้วยนะครับ เมื่อสิ่งเล็กๆน้อยๆต่างๆเหล่านี้มาประกอบรวมกัน ความแตกต่างในวิถีแบบ Aman จึงปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ยังไงวันนี้เราขอตัวไปนอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้เรายังเหลือกิจกรรมอีกอย่างหนึ่ง ยังไม่บอกว่าคืออะไร ไว้ไปดูกันพรุ่งนี้เช้าครับ
Tennis At Ten
เราติดใจยิมของ Aman มากเลยคับ ตอนแรกก็อยากจะกลับไปใช้บริการอีกครั้ง แต่นึกขึ้นได้ว่ามีอีกหนึ่งกิจกรรมออกกำลังกายที่เรายังไม่ได้สัมผัสเลย นั่นก็คือการเล่นเทนนิสนั่นเองซึ่งเป็นกีฬาที่เราเคยเล่นมาบ้างในวัยเด็กและครั้งล่าสุดที่เราได้ตีเทนนิสมาก็หลายปีมาแล้ว โดยสรุปก็คือตอนนี้เราก็เป็นมือใหม่ดีๆนี่เอง แต่ไม่ต้องห่วงเลยครับเพราะที่ Amanpuri มีหนุ่มมือโปรเทนนิสชาวฝรั่งเศสสุดหล่อ คุณ Philippe หรือเรียกสั้นๆว่าคุณ Phil มาช่วยฝึกสอนให้ เพียงแค่เราจองเวลาล่วงหน้ากันก่อนนะครับ
คุณ Phil ใจเย็นกับเรามากครับ ตีโดนลูกบ้าง ไม่โดนบ้าง ติดเน็ตบ่อย ออกสนามเป็นว่าเล่น แต่คุณ Phil ก็ยังคงยิ้มสนุกไปกับเราด้วย แถมยังสอนเทคนิคต่างๆเพิ่มให้เราตลอด แต่ไม่ว่าเราจะตีเทนนิสแย่ขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วเหงื่อที่เปียกชุ่มก็เป็นหลักฐานยืนยันได้ถึงการได้ออกกำลังกายอย่างเต็มที่มากๆครับ
Late Check-Out
เราเหลือเวลาอยู่ที่ Amanpuri อีกไม่นานแล้ว แต่เราทำเรื่องขอ Late Checkout ไว้ ซึ่งก็โชคก็เข้าข้างครับ เพราะยังมีห้องว่างอยู่ ทางรีสอร์ทจึงอนุญาตให้เราพักผ่อนต่อได้ถึง 14:00 น. เราจึงมีเวลาที่จะเตรียมตัว อาบน้ำ เก็บของแบบได้แบบสบายๆ นอกจากนี้แล้วเรายังมีเวลาที่จะได้นั่งทบทวน และสรุปความประทับใจทั้งหมดที่เรามีต่อ Amanpuri กันที่ศาลาหน้าเรือนของเรากันอีกด้วย
Wrapping Up Our Stay
ระหว่างมื้ออาหารกลางวันที่ Beach Terrace เมื่อวาน คุณ Mirko Radulovic ผู้จัดการ F&B ของ Amanpuri
เดินเข้ามาทักทาย เราจึงพูดคุยกันถึงแบรนด์ Aman ซึ่งกำลังเติบโตในระดับโลกอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่ม City Hotels ที่กำลังเกิดขึ้นทั้งที่ Tokyo, New York รวมถึงกรุงเทพฯของเรา คุณ Mirko บอกว่าเขาหวังว่าทางแบรนด์จะประสบความสำเร็จในการนำ “Spirit Of Aman” ไปยังทุกๆโลเคชั่น เราจึงถามกลับไปว่า แล้วอะไรล่ะคือ Spirit Of Aman
คุณ Mirko ตอบกลับมาด้วยความมั่นใจในทันทีว่า “Peace”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ความสงบ” ในใจนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนต้องการ และ Aman ก็พยายามจะตอบโจทย์สุงสุดนี้ แต่การจะประกอบกิจการระดับ Ultra-Luxury เพื่อทำให้คุณค่านามธรรมอย่าง “ความสงบ” เป็นสิ่งที่ลูกค้าจับต้องสัมผัสได้นั้นดูไม่ง่ายเลย เพราะด่านที่อยู่ก่อนความสงบนั้น ก็คือ “ความวางใจ” โดยสมบูรณ์จากลูกค้า
นอกจากสภาพแวดล้อมที่สวยงามดีต่อใจอย่างยิ่งแล้ว Aman ยังได้ใช้เวลาไปกับการสร้าง “ความวางใจ” ผ่านการบริการจากมนุษย์สู่มนุษย์ปีแล้วปีเล่า ขัดเกลาทุกรายละเอียดจนเกิดเป็นวิถีชีวิตบางอย่างที่ค่อยๆดึงดูดผู้คนให้กลายมาเป็นสาวกซึ่งค่อยๆเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นคำเฉพาะที่ใช้เรียกผู้คนที่หลงไหลความเป็น Aman เหล่านี้ว่า Aman Junkie
เราไม่รู้หรอกว่า Aman มีวิธีการอะไรอย่างไรบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว “ความสงบ” ก็คือสิ่งที่เรารู้สึกได้ในขณะที่นั่งอยู่ ณ ศาลาพักผ่อนหน้าเรือนพักของเรานี้ เราเองก็เริ่มสงสัยว่าหรือว่าก็กำลังจะกลายเป็น Aman Junkie ไปกับเค้าด้วยหรือเปล่า
หากจิตวิญญาณของ Aman คือ “ความสงบ” อันมีพื้นฐานมาจาก “ความวางใจ” ของลูกค้าที่ได้จมจ่อมลงไปในประสบการณ์ที่มีมาตรฐานสูงเกินคาด บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณแห่งความลักชูรี่ทั้งหมดก็เป็นได้
โปรโมชั่นพิเศษ AMANPURI CLOSER TO HOME
#สุดยอดดีลพิเศษ กับรีสอร์ทหรู 𝗔𝗠𝗔𝗡𝗣𝗨𝗥𝗜 ภูเก็ต จุดเริ่มต้นของ 𝗔𝗠𝗔𝗡 แบรนด์ระดับ 𝗨𝗹𝘁𝗿𝗮-𝗹𝘂𝘅𝘂𝗿𝘆 เริ่มต้นเพียงคืนละ 𝟭𝟳,𝟬𝟬𝟬++
**พิเศษสุดๆ** สำหรับชาว Hoparound.co โปรดแจ้ง Code: HOP AROUND เพื่อรับราคาและสิทธิ์พิเศษ
อัตราค่าห้องพักพิเศษเฉพาะ Hoparound.co : ⛱ เริ่มต้นที่ 𝟭𝟳,𝟬𝟬𝟬++
สิทธิพิเศษเฉพาะ Hoparound.co :
𝟭. อาหารเช้า ณ พาวิลเลียน หรือ ห้องอาหารบัวบก สำหรับ 𝟮 ท่าน
𝟮. บริการรถรับส่งสนามบินไป – กลับจากอมันปุรี เมื่อสำรองห้องพาร์เชียลโอเชียล พาวิลเลียน เป็นต้นไป
𝟯. ชุดน้ำชา เครื่องดื่มพิเศษประจำวันและขนมครกยามบ่าย
𝟰. มินิบาร์ (เติมให้วันละ 𝟭 ครั้ง)
𝟱. บริการอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมทางน้ำ (สำหรับเครื่องเล่นชนิดที่ไม่มีเครื่องยนต์)
𝟲. โปรดสำรองห้องพักอย่างต่ำ 𝟮 คืนเพื่อรับข้อเสนอดังกล่าว
𝟳. ระยะเวลาในการจองและเข้าพัก: วันนี้ - 𝟯𝟭 มีนาคม 𝟮𝟱𝟲𝟲
𝟴. อัตราค่าห้องพักอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตขึ้นอยู่กับนโยบายของอมัน
เรทสุดคุ้มและให้เยอะแบบนี้ บอกได้คำเดียวว่า “ดีที่สุด” ในรอบ 𝟯𝟰 ปี ตั้งแต่ 𝗔𝗠𝗔𝗡 เริ่มก่อตั้งมาเลย ใครที่หมายปองความสงบหรูหราหาที่เปรียบไม่ได้ในแบบ 𝗔𝗠𝗔𝗡 นี่คือโอกาสทองที่เกิดขึ้นยากกว่าสุริยุปราคาเต็มดวงซะอีก จองเลยไม่ต้องรอ!!!
สำรองห้องพัก: โทร 𝟬𝟳𝟲-𝟯𝟮𝟰𝟯𝟯𝟯
อีเมล 𝗮𝗺𝗮𝗻𝗽𝘂𝗿𝗶𝗿𝗲𝘀@𝗮𝗺𝗮𝗻.𝗰𝗼𝗺
𝗟𝗶𝗻𝗲: 𝗵𝘁𝘁𝗽𝘀://𝗹𝗶𝗻.𝗲𝗲/𝗽𝗙𝟲𝟭𝗛𝟱𝗨
Gabile chat uygulaması ücretsiz.https://www.gevezeyeri.com/gabile-chat
Cinsel chat uygulaması ücretsiz.https://www.gevezeyeri.com/cinsel-chat
Gabile sohbet uygulamaları ücretsiz.https://www.gevezeyeri.com/gabilesohbet.html
Cinsel sohbet uygulamaları ücretsiz.https://www.gevezeyeri.com/cinselsohbet.html
Sohbet uygulamaları.https://www.gevezeyeri.com/
Mobil sohbet uygulamaları ücretsiz.https://www.gevezeyeri.com/mobil-sohbet.html