แม้ตอนนี้หน้าหนาวจะผ่านไปแล้ว แต่เชียงใหม่ก็ยังมีที่ให้เรา #กระโดดโลดเที่ยว กันได้อย่างอิ่มอกอิ่มใจได้ทั้งปี เอาล่ะ ชาว #hopsters ทั้งหลาย บัดนี้เราจะพาคุณมาเสพกาแฟไทยที่ดังไกลถึงยุโรป แกล้มเรื่องราวสุดยอดแรงบันดาลใจเบื้องหลังความสำเร็จที่ใช้ “ใจบันดาลแรง” ของเขากันที่ Akha Ama Living Factory อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ที่เพิ่งเปิดให้เข้าชมเมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมานี้เอง
เรื่องราวของ “อาข่า อามา” นั้นทั้งน่าทึ่งและน่าภูมิใจมากจริงๆ เริ่มตั้งแต่ที่มาของแบรนด์ที่เกิดขึ้นจากสำนึกรักบ้านเกิดของคุณลี (ชื่อจริงคือ “อายุ จือ ปา”) ชาวเขาเผ่าอาข่า และความมุ่งมั่นที่เขาอยากจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวอาข่าที่ปลูกกาแฟพันธุ์พระราชทานจากในหลวงร.9 กันมาหลายรุ่นเป็นเวลาเกือบ 50 ปี แต่ผลผลิตก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับเสียที โดยที่ตอนเริ่มต้นโปรเจ็คท์นี้เมื่อปี 2552 ความรู้เรื่องกาแฟของคุณลีแทบไม่มีเลยก็ว่าได้
การเดินทางของอาข่า อามา (คงพอจะเดากันได้ว่า ‘อามา’ แปลว่า ‘แม่’ และผู้หญิงในโลโก้ก็คือคุณแม่ของคุณลีนั่นเอง) เริ่มต้นด้วยความอยากรู้ว่าคุณภาพกาแฟที่ชาวอาข่าผลิตได้นั้นอยู่ในระดับไหน คุณลีและทีมจึงช่วยกันระดมสมองหาวิธีพิสูจน์ จนลงเอยด้วยการเปิดหน้าร้านกาแฟแถวช้างเผือก ในเมืองเชียงใหม่ให้ลูกค้าได้เข้ามาลิ้มลองในปี 2553
พร้อมกันนั้นก็ส่งตัวอย่างเมล็ดกาแฟออกไปให้นักชิมกาแฟไทย รวมถึงร้านกาแฟ และร้านอาหารในประเทศทดลองใช้ แต่ผลลัพธ์กลับน่าผิดหวัง เพราะคนไทยในสมัยนั้นยังมีอคติลบๆกับเมล็ดกาแฟของไทยอยู่มาก แค่เพียงได้ยินว่าเป็นกาแฟไทย ต่างก็ปฏิเสธกันแบบไม่ต้องคิดกันแทบทุกราย
เมื่อแสงแห่งความหวังในประเทศเริ่มริบหรี่ ประตูอีกบานที่ใหญ่กว่าก็ค่อยๆเปิดออก เพราะในปีเดียวกันนั้นเองทีมคุณลีก็ตัดสินใจส่งผลผลิตของตนไปยังเวทีคัดสรรในยุโรปที่ชื่อว่า SCAE (Specialty Coffee Association of Europe) หรือสมาคมกาแฟพิเศษแห่งยุโรป และถูกคัดเลือกให้เข้ารอบ 21 รายสุดท้ายจาก 2000 กว่ารายที่ส่งเข้ามาประกวดจากทั่วโลก
ขั้นตอนการคัดเลือกนั้นก็เข้มงวดสมกับมาตรฐานยุโรป ตั้งแต่การตรวจหาสารตกค้าง และประเมินความสมบูรณ์ของเมล็ดในห้อง Lab โดยละเอียด รวมไปถึงการทดสอบรสชาติแบบ Blind Test คือไม่เปิดเผยชื่อผู้ส่งเข้าประกวดให้กรรมการทราบเพื่อความยุติธรรม
แม้ผลลัพธ์จะน่าพอใจอย่างมาก แต่ทีมอาข่า อามาก็ยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น พวกเขาอยากจะยืนยันว่าคุณภาพของเขานั้นดีจริงๆไม่ใช่แค่ฟลุก จึงส่งไปที่เวทีเดิมซ้ำอีก 2 ครั้งในปี 2554 และ 2555 ผลก็คืออาข่า อามานั้นได้รับคัดเลือกทุกปี จนในปีต่อๆมาทางคณะกรรมการ SCAE นั้นก็ได้เชิญอาข่า อามา มาเป็นพาร์ทเนอร์ถาวรกับเวทีนี้โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือกอีกต่อไป
เมื่อเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ รสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟอาข่า อามาก็ออกฤทธิ์ทำให้คนไทยเริ่มตาสว่างขึ้นมาเห็นคุณค่ากาแฟไทยมากขึ้น ในปี 2556 อาข่า อามาจึงขยับขยายไปเปิดอีก 1 สาขาที่บริเวณคูเมืองใกล้วัดพระสิงห์ โดยเริ่มมีการติดตั้งเครื่องคั่วของตัวเองไว้ในร้านเป็นครั้งแรกอีกด้วย
ในระยะเวลา 3-4 ปีแรกนี้ที่พวกเขาได้ลองผิดลองถูก ค่อยๆสะสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับกาแฟเพิ่มเติมทีละเล็กละน้อยตั้งแต่การปลูก การคั่ว ไปจนถึงการชง ทำให้ทีมอาข่า อามามั่นใจว่าองค์ความรู้ที่ถูกต้องนี่เองที่จะช่วยเหลือเกษตรกรบ้านเกิดได้อย่างยั่งยืน
สำหรับ Akha Ama Living Factory บนพื้นที่กว่า 5 ไร่นี้ที่เราพามาเยี่ยมชมในวันนี้ ก็เป็นการตอกย้ำความสำคัญขององค์ความรู้ และการเกื้อหนุนกันและกันเพื่อความยั่งยืนซึ่งเป็นแก่นของแบรนด์
ที่แห่งนี้นับเป็นอีกก้าวที่กล้าหาญของอาข่า อามาโดยทางทีมใช้เวลาการเตรียมงานและซื้อที่ดินกันมาตั้งแต่ปี 2557 จนมาแล้วเสร็จเมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมานี้เอง ที่นี่เป็นมากกว่าร้านกาแฟเก๋ๆให้คนมาเช็คอินตามกระแส เพราะพวกเขาตั้งใจให้ Akha Ama Living Factory นี้เป็นบ้านที่เปิดเพื่อแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับกาแฟและอาหารที่ยั่งยืน โดยมีการสาธิตการคั่วกาแฟ (ในวันอาทิตย์ อังคาร และศุกร์) และเร็วๆนี้จะมี Workshop ให้ชิมกาแฟเพื่อแยกกลิ่นพื้นฐานที่อบอวลอยู่ในเมล็ดกาแฟอย่างถูกต้องตามหลักสากล นอกจากนี้ช่วงกลางปีก็จะเริ่มก่อสร้างโรงครัวซึ่งจะนำเสนอวิถีที่ยั่งยืนเกี่ยวกับอาหารอีกด้วย
ในวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา พวกเขาก็ได้เปิดให้ใช้พื้นที่บ้านหลังใหม่หลังนี้ เพื่อจัดงาน Good Seeds Good Food Festival ครั้งที่ 3 ซึ่งเน้นไปที่วิถีการเกษตรแบบออร์แกนิค การสร้างอาชีพทางการเกษตร และอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพาะปลูกได้ฟรีๆสำหรับ “กลุ่มคนไร้บ้าน” เพื่อเป็นรายได้ให้กับผู้ด้อยโอกาสอีกด้วย
แม้ความสำเร็จของอาข่า อามา จะเดินทางมาได้ไกลจนถึงจุดนี้ พวกเขาก็ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะขยายร้านกาแฟในแบรนด์ตัวเองเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทางทีมคอนเฟิร์มว่าอาข่า อามายังคงชัดเจนในวิสัยทัศน์ที่ตั้งใจจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อเกษตรกรกับลูกค้า และใช้องค์ความรู้ที่ถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาอาชีพของเกษตรกรที่ปลูกกาแฟให้ดีขึ้นตามแนวทางที่ในหลวงร.9ได้ทรงริเริ่มไว้ให้เมื่อเกือบ 50 ปีก่อนให้ยั่งยืนต่อไป
ต้นไม้จะเติบโตยิ่งใหญ่ได้ ย่อมต้องมีรากที่ลงลึกแข็งแรง ต้นไม้ที่ชื่อ อาข่า อามา ต้นนี้ก็เช่นกัน ลูกค้าอย่างเราๆ ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าจะช่วยอุดหนุนเป็นน้ำ เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ต้นนี้เติบใหญ่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป ในวันนี้ชาว hopsters คงได้รับคาเฟอีนทางใจจากเรื่องราวของอาข่า อามาที่เราเลือกมานำเสนอไปเต็มที่แล้ว การช่วยๆกันแชร์เรื่องราวนี้ออกไปก็คงจะยิ่งทำให้ความตั้งใจดีๆส่งแรงกระเพื่อมออกไปในวงที่กว้างมากขึ้นเรื่อยๆนะครับ
www.akhaama.com
www.facebook.com/akhaamacoffee
FB/IG @hoparound.co
Website www.hoparound.co
#รีวิวAkhaAmaLivingFactory #อาข่าอ่ามาลิฟวิ่งแฟคโตรี่ #ร้านกาแฟเชียงใหม่ #โรงคั่วกาแฟเชียงใหม่ #อาข่าอ่ามา #รีวิวAkhaAma #โรงคั่วกาแฟ #เที่ยวเชียงใหม่ #รีวิวเชียงใหม่ #เชียงใหม่ไปไหนดี
Comments